ในฟุตบอลโลก 2018 โครเอเชีย เป็นทีมชาติที่ต้องเล่นเกมต่อเวลาพิเศษถึง 3 จาก 4 เกมในรอบน็อกเอาต์ พวกเขาชนะในการดวลจุดโทษ 2 ครั้ง และยิงประตูชัยปิดเกมใส่อังกฤษในรอบตัดเชือกก่อนหมดเวลาเพียง 5 นาที
นี่คือคุณสมบัติที่ควรนำมาถูกชำแหละว่า ทำไมเมื่อถึงเวลาที่กดดันและดูแล้วน่าจะหมดหวัง พวกเขาถึงดูเป็นเซียนสำหรับการรับมือกับเรื่องแบบนี้มากมายนัก ?
เบื้องหลังเกมบีบหัวใจเหล่านี้คืออะไร ? ติดตามเรื่องราวได้ที่นี่กับ Main Stand
ประเทศเล็กที่ฝันใหญ่
โครเอเชีย เป็นประเทศที่เกิดใหม่ได้ไม่นานจากการแยกประเทศออกมาจากยูโกสลาเวียในปี 1992 พวกเขาเป็นประเทศเล็ก ๆ มีประชากรแค่ 4 ล้านคนเท่านั้น แต่เรื่องฟุตบอลและความฝันของพวกเขาไม่เล็กตาม...
ในฟุตบอลโลก 1998 ฟุตบอลโลกครั้งแรกของพวกเขา โครเอเชียได้อันดับ 3 ในการแข่งขันครั้งนั้น ก่อนจะมีส่วนร่วมในฟุตบอลโลกทุกครั้ง จนกระทั่งฟุตบอลโลกปี 2018 ปีที่พวกเขาเข้าใกล้แชมป์โลกมากที่สุด
ทีมชุดนั้นเป็นทีมที่พวกเขาเรียกว่ายุคทอง ตั้งแต่ผู้รักษาประตูถึงกองหน้า หรือแม้กระทั่งเหล่าตัวสำรอง คือทีมชุดที่มีนักเตะที่ดีที่สุดในรอบหลายปี พวกเขาเดินทางไปแข่งฟุตบอลโลกปี 2018 ด้วยรถบัสประจำทีมที่สกรีนข้อความบอกทุกอย่างถึงสิ่งที่พวกเขาเป็นนั่นคือ "Mala zemlja, veliki snovi" (ประเทศเล็ก ๆ แต่ฝันเรานั้นช่างยิ่งใหญ่)
ไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะกล้าฝัน เพราะ ยูโกสลาเวีย ต้นกำเนิดของโครเอเชีย คือดินแดนที่ถูกเรียกว่า "บราซิลแห่งยุโรป" เหตุผลก็เพราะว่าพวกเขามีนักเตะระดับอัจฉริยะอยู่ในทีมมากมาย หลายคนได้รับการยอมรับในวงกว้าง และพิสูจน์ตัวเองมาแล้วในลีกแถวหน้าของยุโรป และเวทีระดับโลกไม่ว่าจะเป็น เดยัน ซาวิเซวิช, ซินิซ่า มิไฮโลวิช, วลาดิเมียร์ ยูโกวิช, ดราแกน สตอยโกวิช, โรเบิร์ต โปรซิเนซกี้, อเลน บ็อกซิช หรือ ดาวอร์ ซูเคอร์
ตัดภาพกลับมาทีมชุดปัจจุบัน โครเอเชียยังคงเป็นทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะชั้นยอด พวกเขามีร่างกายแข็งแรงเหมือนกับนักเตะยุโรป และมีทักษะที่ยอดเยี่ยม คล่องแคล่ว คล่องตัว ตามฉบับนักเตะบราซิล ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ ลูก้า โมดริช น่าจะเห็นภาพได้ง่ายที่สุด เพราะแม้จะตัวเล็ก ๆ แต่แข็งแรง และในเวลาเดียวกันกลับมีเซนส์ฟุตบอลชั้นยอด จะบู๊ หรือ จะบุ๋น คุณจะสู้แบบไหน นักเตะโครเอเชียสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งหมด นี่คือความยอดเยี่ยมของโครเอเชียที่สืบเชื้อสายมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
สิ่งเหล่านี้คือสไตล์ เว็บไซต์ CNN เขียนถึงเบื้องหลังของวงการฟุตบอลโครเอเชียที่รุ่งเรื่องมาทุกยุคทุกสมัยว่า "เคล็ดลับความสำเร็จของโครเอเชียคือ นี่คือประเทศฟุตบอลเหมือนกับ อังกฤษ, อาร์เจนตินา, ฝรั่งเศส และ บราซิล พวกเขาเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเป็น พวกเขามีนักเตะที่เป็นเหมือนไทป์ต้นแบบที่กลายเป็นพิมพ์เขียวในการผลิตนักเตะรุ่นต่อ ๆ ไป ... เมื่อใดก็ตามที่ประเทศของคุณหลงรักเกมฟุตบอลที่สวยงาม เมื่อนั้นคุณจะสามารถสร้างผลผลิตที่เก่งกาจและยอดเยี่ยมได้เช่นกัน"
นักเตะโครเอเชียเป็นแบบนั้น ไม่ว่าจะเก่งหรือไม่เก่งแล้วแต่คุณจะตัดสินเขา แต่ที่แน่ ๆ นักเตะพวกนี้เป็นกลุ่มนักเตะที่ห้าวหาญ มั่นใจในตัวเองสูง คุณดูอย่าง เดยาน ลอฟเรน เอาก็ได้ อดีตกองหลังของ ลิเวอร์พูล ถูกยี้เมื่อเล่นให้กับสโมสร แต่พอเปลี่ยนมาเล่นให้กับทีมชาติ มีนักเตะที่รู้อกรู้ใจกันดี เขากลับเป็นกุญแจสำคัญของทีมโครเอเชียชุดฟุตบอลโลก 2018 อย่างไม่น่าเชื่อ
"ผมคิดว่า ทุกคนควรจะยกย่องให้ผมเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดของโลก และผมไม่ได้พูดอย่างไม่มีเหตุผลนะ แต่ผมแสดงให้เห็นว่า ผมสามารถพาทีมลิเวอร์พูลผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้ และตอนนี้ผมพาชาติตัวเองผ่านเข้าชิงฟุตบอลโลกได้อีกด้วย" นี่คือสิ่งที่ลอฟเรนให้สัมภาษณ์ ก่อนทีมโครเอเชียของพวกเขาจะเข้าไปเล่นในนัดชิงชนะเลิศ ... จะมีใครกล้าพูดอะไรแบบนี้ก่อนเกมที่สำคัญที่สุดในชีวิตและสำหรับประเทศชาติหรือไม่ ?
คำตอบจากการย้อนความไปในฟุตบอลโลกหลายครั้งหลัง เราไม่เคยพบนักเตะคนไหนที่เปิดหน้าท้าชนแบบนี้ก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศมาก่อน พวกเขาสงวนท่าที เก็บความมั่นใจไปใช้ในสนามกันทั้งนั้น สิ่งที่ลอฟเรนบอกนั้นมันอาจจะดูน่าหมั่นไส้สำหรับใครบางคน แต่สาเหตุที่พวกเขามั่นใจได้ขนาดนี้คือ เมื่อโครเอเชียผ่านแต่ละเกมมาในรอบก่อนหน้านี้ พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของ จิตใจ และ ร่างกายที่สัมพันธ์กัน ... ไม่แปลกที่พวกเขาจะไม่กลัวแพ้ หรือไม่กลัวโดนถล่มหากต้องพูดอะไรแบบนี้ออกไป
ทักษะในการเอาชนะความกดดัน
ประการแรก ก่อนที่คุณจะรู้ถึงความยอดเยี่ยมและสภาพจิตใจที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ของนักเตะโครเอเชีย คุณอาจจะต้องรู้ปูมหลังประเทศของเขาเพิ่มสักหน่อย ก่อนหน้านี้คุณได้รู้แล้วว่า โครเอเชียแยกประเทศมาจากยูโกลสลาเวีย แต่ในส่วนของรายละเอียดการแยกประเทศนั้น ไม่ได้สวยหรูหรือง่ายดายแบบที่เดินไปบอกยูโกสลาเวีย ว่า "ผมจะย้ายออกไปตั้งประเทศใหม่นะ" ... มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่นอน
กว่าที่โครเอเชียจะแยกประเทศได้ พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับการไม่เห็นด้วยของยูโกสลาเวีย จนถึงขั้นเกิดสงครามที่ชื่อว่า "สงครามประกาศเอกราชโครเอเชีย" นี่คือสงครามแบ่งประเทศของแท้ เพราะมีประชาชนชาวโครเอเชียออกมาร่วมต่อสู้กับ สมัชชาโครเอเชีย (ในสภายูโกสลาเวีย), รัฐบาลโครเอเชีย, กองทัพปลดแอกโครเอเชีย และ กองกำลังตำรวจโครเอเชีย ... นี่คือสงครามที่ทั้งประเทศมีบทบาทและได้ลิ้มรสความโหดร้ายกันอย่างถ้วนหน้า
สงครามไม่เคยทำให้ใครเป็นผู้ชนะที่แท้จริง แม้จะเป็นแยกประเทศสำเร็จ แต่ช่วงเวลาที่ยากลำบากยังคงดำเนินต่อไป ในช่วงที่โครเอเชีย ก่อตั้งประเทศใหม่ ๆ กลุ่มนักเตะชุดรองแชมป์โลก 2018 นี่กำลังอยู่ในช่วงวัยเด็ก และหลายคนก็ออกมาเล่าว่า ชีวิตช่วงเวลานั้นสอนให้พวกเขาสู้เพื่อเอาตัวรอดตั้งแต่จำความได้
ยกตัวอย่างเช่น ลูก้า โมดริช ที่บ้านของเขาพังจากยุคสงครามปี 1991 ครอบครัวของเขาต้องลี้ภัยสงคราม ไม่มีบ้านอยู่ ใช้ชีวิตอยู่ในโรงแรมสำหรับผู้ลี้ภัยนานถึง 7 ปี โมดริช ยังเคยเล่าถึงอดีตว่า ปู่ของเขาถูกสังหารโดยกลุ่มกบฏเซิร์บในละแวกใกล้บ้าน ... นั่นคือความโหดร้ายของสภาพแวดล้อม
กลุ่มนักเตะทีมชาติโครเอเชียหลายคนยืนยันตรงกันว่า สิ่งที่จะทำให้เขาพ้นจากคุณภาพชีวิตที่ไม่รู้จะโดนเชือดคอเมื่อไหร่ คือการสร้างฐานะ อำนาจ และความสำเร็จ ซึ่งฟุตบอลคือตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เกิดสิ่งนั้นได้ เพราะอย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ว่าพวกเขามีนักเตะรุ่นพี่หลายคนที่แสดงให้เห็นว่า ฟุตบอลสามารถเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตได้ดีขนาดไหน
เมื่อคุณได้ลองลิ้มชิมรสความลำบากมาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่แปลกที่คุณจะโตขึ้นด้วยทัศนคติที่แข็งแกร่ง คุณผ่านสิ่งที่ยากระดับสงครามและความตายมาแล้ว จะมีอะไรน่ากลัวกว่านี้อีก ?
ทักษะการเอาตัวรอดภายในช่วงเวลายากลำบากเหล่านี้ ถูกส่งต่อไปยังทุกเรื่องไม่เว้นแม้กระทั่งฟุตบอล ทีมโครเอเชียชุดฟุตบอลโลก 2018 นั้นมีสิ่งหนึ่งที่ยอดเยี่ยมเสมอคือเรื่อสภาพจิตใจ ในรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาเอาชนะคู่แข่งจาก 3 ทวีป อย่าง อาร์เจนตินา, ไนจีเรีย และ ไอซ์แลนด์ ได้ทั้ง 3 เกม
และถ้าลงลึกในรายละเอียดคุณจะเห็นว่ายิ่งถึงช่วงท้ายเกมเมื่อไหร่ โครเอเชียจะยิ่งฮึกเหิมเป็นพิเศษ ช่วง 20 นาทีสุดท้ายคือช่วงเวลาทองในการทำประตูของพวกเขา เมื่อนำแล้วพวกเขาจะยิ่งบดขยี้เพื่อเอาประตูต่อไป และเมื่อพวกเขาถูกนำไปก่อน หรือสกอร์ยังเสมอกัน พวกเขาจะเรียกพลังก๊อก 2 ออกมาได้เสมอ โดยในรอบแบ่งกลุ่ม โครเอเชียยิงประตูจากช่วง 20 นาทีสุดท้ายได้ทั้งหมด 4 ประตู (จากทั้งหมด 7 ประตู)
พวกเขาฝังอาร์เจนตินาที่นำโดย ลิโอเนล เมสซี่ ด้วยการยิง 2 ประตูปิดเกมในนาทีที่ 80 และ 90+1 (ชนะ 3-0) จากนั้นในเกมสุดท้ายพวกเขากำลังจะเสมอกับไอซ์แลนด์อยู่แล้ว แต่ก็ยังมายิงประตูชัยจาก อิวาน เปริซิช ในนาทีที่ 90 (ชนะ 2-1) ... คุณได้เห็นทักษะการดิ้นรนขั้นเทพของพวกเขาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มแล้วเพียงแต่หลายคนยังไม่สังเกต
เหตุผลอาจจะเป็นเพราะในรอบแบ่งกลุ่มนั้นมีหลายทีมให้โฟกัส แต่เมื่อมาถึงรอบน็อกเอาต์ ทักษะการเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ยากลำบากของพวกเขาถูกจดจำและประจักษ์แก่สายตาคนทั้งโลกจนได้
ยิ่งเข้าใกล้ใจยิ่งสู้
ว่ากันว่าเลือดนักสู้นั้นถูกแสดงออกมาให้เห็นในหลายรูปแบบ สำหรับชาวโครเอเชียนั้นสาเหตุที่พวกเขารักและคลั่งไคล้ในเกมลูกหนังนั้นเป็นเพราะฟุตบอลมอบในสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถหาได้จากการเมืองและเศรษฐกิจที่รุนแรงภายในประเทศ ... ดังนั้นเมื่อพวกเขายิ่งเข้าใกล้การเป็นทีมที่เก่งที่สุด พวกเขายิ่งไม่ยอมหยุดวิ่งกันง่าย ๆ
ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โครเอเชียเล่นกับ เดนมาร์ก ในเกมนั้นพวกเขาโดนยิงประตูตั้งแต่นาทีที่ 1 แต่พวกเขากลับไม่มีตื่นตระหนกใช้เวลาให้หลังเพียง 3 นาทีก็ยิงประตูตีเสมอได้ จากนั้นก็เปิดฉากบุกตลอด 90 นาที เกมยังเสมอ 1-1 และต้องต่อเวลาพิเศษ ... โดยในช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 116 โครเอเชีย ได้โอกาสดีมาก ๆ ที่จะปิดเกมนั้น โมดริชจ่ายบอลให้ อันเต้ เรบิช เข้าไปโดนทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ
ผู้ตัดสินให้จุดโทษแก่โครเอเชีย โดย ณ เวลานั้นนักเตะแต่ละคนเริ่มแข้งขาอ่อนกันแล้ว ดังนั้นโมดริชที่เป็นกัปตันทีมจึงอาสาเป็นคนรับผิดชอบจุดโทษลูกนั้น ... เขายิงและถูก แคสเปอร์ ชไมเคิล เซฟได้ โมเมนตั้มไหลไปทางฝั่งเดนมาร์ก จากจุดโทษที่ผิดพลาดของโมดริช ... จากนั้น 4 นาที ผู้ตัดสินก็เป่าจบเกม 120 นาที เสมอ 1-1 ต้องหาผู้ชนะด้วยการดวลจุดโทษ
ซลัตโก้ ดาลิช กุนซือของ โครเอเชีย เผยความลับลึก ๆ ว่าในตอนนั้นเขามีอาการวิตกกังวลมาก เพราะการพลาดจุดโทษของกัปตันทีมก่อนเวลาหมดไม่กี่นาทีอาจจะส่งผลถึงสภาพจิตใจนักเตะทั้งทีมในช่วงดวลจุดโทษได้ แต่แล้วปัญหานี้ก็จบลง เมื่อทุกคนมองหน้าโมดริช และมีการตบอกชกไหล่เพื่อให้กำลังใจ จากนั้นกัปตันทีมก็พูดกับ ซลัตโก้ ดาลิช ว่า "ผมจะยิงจุดโทษตัดสินผลแพ้ชนะเอง"
โมดริช อาสาเป็นคนยิงจุดโทษคนที่ 3 หนนี้เขาแก้ตัวสำเร็จด้วยการยิงเข้า จากนั้น โคเอเชีย ก็ชนะในการดวลจุดโทษไป 3-2 พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งด้านจิตใจอีกครั้ง
"นี่คือการไถ่โทษของ ลูก้า โมดริช ภายในเวลาไม่กี่นาที ตอนนี้จุดโทษลูกแรกที่เขาพลาดไปถูกจดจำเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการแข่งขันเท่านั้น ไม่ใช่จุดโทษที่ตัดสินผลการแข่งขัน ... ผมยืนยันได้ว่าเขาอาสาขอเป็นมือยิงด้วยตัวเอง"
ถ้าเขาที่เป็นกัปตันทีมผ่านประสบการณ์ความกดดันมากที่สุดไม่กล้ายิงจุดโทษ คุณลองคิดดูสิว่านักเตะคนอื่นจะรู้สึกแบบไหน ? ต่อให้โครเอเชียจะชนะในการดวลจุดโทษ แต่ถ้าโมดริชไม่กล้ายิงจุดโทษ เรื่องนี้จะรบกวนเขาจนกว่าทัวร์นาเมนต์จะสิ้นสุดลงแน่ เขาจะขาดความมั่นใจ และจะต้องกดดันตัวเองมาก ๆ ... โมดริชตัดสินใจจบเรื่องนี้และใช้ช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาทีวิเคราะห์ว่าเพราะอะไรเขาถึงพลาดจุดโทษครั้งแรก
เขาคิด และวิเคราะห์ ก่อนจะประมวลผลอย่างใจเย็น เขาเผยภายหลังว่าเขาศึกษาวิธีการเซฟจุดโทษของชไมเคิลมาอย่างดีแล้วก่อนเกมจะเริ่มขึ้น ชไมเคิลไม่เคยยืนตรงกลาง เขาจะโยกตัวหลอกให้คนยิงกดดัน จากนั้นเขาจะอ่านหน้าเท้า และพุ่งไปยังมุมที่เลือกสุดตัว ... ด้วยความสูงใหญ่ การพุ่งไปยังมุมที่เลือกของ ชไมเคิล สามารถเก็บได้เกือบหมดไม่ว่าจะมุมต่ำ มุมสูง หรือแม้กระทั่งเล็งไปที่หน้าต่าง
การยิงรอบแรกนั้น โมดริชเสียท่า เขายิงไปทางขวามือของตัวเอง และชไมเคิลก็อ่านทาง รับบอลแน่นไม่มีกระฉอก แต่เมื่อถึงรอบดวลจุดโทษ โมดริชแค่ปล่อยให้ชไมเคิลพุ่งไปก่อน และเขาก็ยิงง่าย ๆ ตรงกลางประตูเข้าไป ... นี่คือทักษะการเอาตัวรอดที่ยอดเยี่ยม
โดยหลังจากได้ชัยชนะในรอบ 16 ทีมสุดท้าย สื่อก็ถาม ซลัตโก้ ดาลิช ว่า โมดริชพลาดจุดโทษแบบนี้เขาจะมอบหมายให้โมดริชเป็นมือยิงเบอร์ 1 ไปจนจบทัวร์นาเมนต์หรือไม่ ? ... สิ่งที่ดาลิชตอบชัดเจนมากจนทำให้หมดคำถามทุกข้อสงสัย เขาตอบแค่ว่า
"ลูก้า โมดริช คือกัปตันทีมของเรา เป็นผู้นำของเรา เขาแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบและความกล้าหาญอย่างมากหลังจากพลาดจุดโทษ เขากล้าจะอาสายิงจุดโทษอีกครั้งในการดวลจุดโทษและเขาก็ทำได้ มันโชว์ให้เห็นคลาสของเขา" ดาลิชกล่าว "นี่คือความแตกต่างระหว่างนักเตะทั่วไปกับนักเตะอย่าง ลูกา โมดริช ถ้าทีมมีโอกาสได้จุดโทษอีก เขาจะเป็นคนยิง"
กัปตันทีมที่ดีจะสามารถผลักดันผู้เล่นคนอื่น ๆ ในสนามได้ โมดริชเองก็เป็นเช่นนั้น คาแรคเตอร์สู้ไม่ถอยของเขาทำให้นักเตะโครเอเชียวิ่งไม่มีพักในทุก ๆ เกมที่เหลือ พวกเขาลงเล่นรอบ 8 ทีมสุดท้าย เอาชนะรัสเซียได้ในการดวลจุดโทษ โดยสถานการณ์ก่อนมาถึงช่วงดวลจุดโทษนั้นก็ดูว่าพวกเขาไม่น่ารอด เพราะโครเอเชียนำรัสเซีย 2-1 ก่อนจะโดนตีเสมอในช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 115 ... รัสเซีย ที่เป็นเจ้าภาพเป็นต่อทั้งเสียงเชียร์และโมเมนตั้มของเกม
เกมระหว่างรัสเซียและโครเอเชีย ถูกยกให้เป็นเกมที่มันที่สุดในฟุตบอลโลก 2018 ไม่ใช่ในแง่ของเกมที่เข้มด้วยแทคติก แต่มันคือเกมที่วัดกันด้วยหัวใจนักสู้ นักเตะทั้งสองทีมวิ่งกันจนตะคริวขึ้น แต่ก็ยังไม่หยุดวิ่ง และสุดท้ายทีมที่สภาพจิตใจแข็งแกร่งกว่าอย่างโครเอเชียเป็นฝ่ายเอาชนะไป
ความไม่ยอมแพ้จนกระทั่งจบเกมของโครเอเชียดูชัดขึ้นในทุก ๆ รอบ พวกเขาผ่านไปเล่นกับอังกฤษในรอบ 4 ทีมสุดท้าย และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่โครเอเชียตามหลังและพลิกกลับมาชนะในช่วงต่อเวลาพิเศษ หากใครที่ยมเกมนั้นก็น่าจะพอจำกันได้ว่า อังกฤษเจอปัญหาอย่างมากกับการไล่บี้แบบรดต้นคอ และความแข็งแรงของนักเตะโครเอเชีย
พวกเขาเข้าไปชิงชนะเลิศกับฝรั่งเศส และอย่างที่รู้กัน ฝรั่งเศสชุดนั้นสมบูรณ์เกินกว่าที่โครเอเชียจะต้านไหว พวกเขาแพ้ไป 4-2 แต่ทุกคนที่ชมเกมนั้นก็ได้เห็นถึงความไม่ยอมแพ้ของนักเตะโครเอเชีย โดยเฉพาะในช่วงที่พวกเขาตามหลัง 4-1 และสกอร์ฝั่งฝรั่งเศสไหลยาวทั้ง ๆ ที่เกมผ่านไปแค่ 65 นาทีเท่านั้น
ช่วง 25 นาทีสุดท้าย ดาลิชสั่งนักเตะทุกคนบุกเต็มที่ พวกเขากระตุ้นกันตลอดทั้งเกม และสามารถกดดันฝรั่งเศสได้ แม้จะแพ้ไป 4-2 แต่โครเชียสู้จนเสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้น หลังจบเกมนั้นทั้งโลกยกย่องทีมตราหมากรุกว่าเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของทัวร์นาเม้นต์นี้
"ทีมของผมไม่เคยหยุดเชื่อแม้แต่ครั้งเดียวว่าเราสามารถเป็นผู้ชนะได้ ต่อให้เราโดนนำไป 4-1 ก็ตาม แต่นี่แหละคือชีวิตและความจริงที่เราจะยอมรับมันในตอนที่เกมจบลง โดยรวมแล้วที่คือทัวร์นาเมนต์ที่ยอดเยี่ยม เราเล่นได้อย่างแข็งแกร่ง มุ่งมั่น และมีคุณภาพ" ซลัตโก้ ดาลิช กล่าว
"นักเตะของผมเศร้าและหดหู่หลังสู้เต็มที่เมื่อเกมจบลง ผมบอกให้พวกเขาเงยหน้าขึ้น ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะเสียใจ ผมมั่นใจมาก ๆ ว่าพวกเขารีดศักยภาพที่พวกเขามีออกมาจนหมด ให้ทุกอย่างที่พวกเขาจะให้ได้กับฟุตบอลโลกครั้งนี้ ... ตอนเราชนะ เราภูมิใจกับการกัดฟันสู้เพื่อผลการแข่งขันที่ต้องการ และตอนที่เราแพ้ เราก็ยังเป็นผู้แพ้ที่สง่างาม และเป็นผู้แพ้ที่ให้ความเคารพต่อผลการแข่งขันอย่างที่สุด"
โครเอเชียได้แสดงให้เห็นว่าคุณไม่จำเป็นต้องเป็นยักษ์ใหญ่จากยุโรปหรืออเมริกาใต้เพื่อประสบความสำเร็จในฟุตบอลโลก พวกเขาทำให้โลกเห็นว่าถ้าโครเอเชียสามารถเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ เล่นแบบนี้ และกล้าที่ประกาศตัวเป็นทีมพร้อมคว้าแชมป์ อีกหลาย ๆ ประเทศก็สามารถทำได้เช่นกัน
ทัวร์นาเมนต์เหล่านี้คาดเดายากมากกว่าที่เราคิด ซึ่งเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถกำหนดเกมได้ โดยไม่มีเวลาสำหรับคนที่มีความหวั่นไหวและแปรปรวนได้แม้แต่น้อย ประเทศอื่น ๆ ควรดูโครเอเชีย ดูความสำเร็จของพวกเขา และหวังว่าวันหนึ่งจะสู้ให้ได้เหมือนกับที่พวกเขาทำ ประเทศอื่น ๆ ก็สามารถที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่เหมือนที่โครเอเชียชุดฟุตบอลโลก 2018 กล้าฝันได้
แหล่งอ้างอิง
https://www.independent.co.uk/sport/football/world-cup/world-cup-final-2018-france-croatia-zlatko-dalic-luka-modric-what-we-learned-a8449421.html
https://www.nytimes.com/2018/07/11/sports/croatia-world-cup-history.html
https://www.espn.com/soccer/fifa-world-cup/4/blog/post/3561265/luka-modric-a-potential-world-cup-winner--yet-many-in-croatia-hate-him
https://bleacherreport.com/articles/2785918-revealed-the-technology-that-is-driving-croatias-world-cup-fairytale
https://edition.cnn.com/2018/07/13/football/croatia-world-cup-france-final-russia-2018-spt-int/index.html
https://sports.ndtv.com/2018-fifa-world-cup/fifa-world-cup-2018-croatia-vs-denmark-luka-modric-finds-penalty-redemption-in-shootout-drama-1876274