
หากจะให้นึกถึงชื่อผู้จัดการทีมหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง ณ เวลานี้ ที่อายุประมาณ 30-40 ต้น ๆ เราอาจจะนึกถึง ฟาเบียน เฮือร์เซเลอร์ จาก ไบรท์ตัน, ชาบี อลอนโซ่ ของ เรอัล มาดริด หรือแม้แต่ รูเบน อโมริม ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แต่ ณ เวลานี้ มีเฮดโค้ชอีกคน ที่ก็ถือเป็นกุนซือหนุ่มและเพิ่งผันตัวเข้าสู่เส้นทางการคุมมาได้ไม่นาน ทว่าหลังผ่านไปได้ประมาณปีเศษ ๆ เขากลายเป็นกุนซือในลีกนอกกระแสที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด นั่นคือ ฟิลิเป้ หลุยส์
อดีตแบ็กซ้ายของ แอตเลติโก มาดริด ทำอย่างไร ถึงได้พาให้ต้นสังกัดปัจจุบันอย่าง ฟลาเมงโก้ ก้าวไปสู่ความเป็นเลิศทั้งในระดับประเทศและในระดับทวีป? ติดตามได้ที่ Main Stand
แซมบ้าสายเลือดยุโรป
ก่อนอื่นคงต้องย้อนรอยเส้นทางของเขาตั้งแต่การเป็นผู้เล่น ฟิลิเป้ หลุยส์ กัสมีร์สกี้ (Filipe Luís Kasmirski) เป็นเด็กที่เกิดและเติบโตในประเทศบราซิล และถึงแม้จะเป็นชาวแซมบ้าตั้งแต่กำเนิด แต่นามสกุลที่ห้อยท้ายชื่อของเขา ดูไม่ใช่คนบราซิลแบบขนานแท้เลย
นั่นก็เป็นเพราะว่าบรรพบุรุษของ ฟิลิเป้ หลุยส์ ทั้งคุณปู่คุณย่า ไม่ใช่ชาวบราซิล หรือไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับทวีปอเมริกาใต้เลย แต่พวกเขาเป็นผู้อพยพจากทวีปยุโรป ที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทวีปมาตั้งรกรากที่เมืองซานตา กาตาริน่า ในประเทศบราซิล
ปู่ของ ฟิลิเป้ หลุยส์ เป็นชาวโปแลนด์ ที่อพยพออกนอกประเทศมาอยู่ที่บราซิลตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ ฟิลิเป้ หลุยส์ มีเชื้อสายโปแลนด์ผ่านทางสายเลือดบรรพบุรุษ

ส่วนเส้นทางอาชีพของ ฟิลิเป้ หลุยส์ เริ่มต้นกับสโมสรในบราซิลอย่าง ฟิเกเรงเซ่ ก่อนที่ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม จะดึงตัวไปค้าแข้งในทวีปยุโรปด้วยสัญญายืมตัวในปี 2004 และเคยถูกยืมตัวไปเล่นกับ เรอัล มาดริด กาสตีย่า ทีมสำรองของทัพราชันชุดขาวในช่วงสั้น ๆ ด้วย
แต่ทีมที่ทำให้ ฟิลิเป้ หลุยส์ เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในยุโรป คือ เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า เริ่มจากสัญญายืมตัวในปี 2006 จนกระทั่งกลางปี 2008 ลา กอรุนญ่า ก็จ่ายเงินประมาณ 2 ล้านยูโรเพื่อดึงตัวมาร่วมทีมแบบถาวร
เขาลงเล่นอย่างต่อเนื่องและฟอร์มดีถึงขั้นมีชื่อติดทีมชาติบราซิลเป็นครั้งแรกในปี 2009 ซึ่งการได้มาโชว์ฟอร์มที่ลีกสเปน ก็ไปเข้าตาบรรดาทีมใหญ่ในลีกเดียวกัน จน แอตเลติโก มาดริด ยอมควักเงินให้มากกว่าที่ซื้อมาถึง 6 เท่า คือ 12 ล้านยูโร จนได้แบ็กซ้ายรายนี้เข้ามาเสริมแกร่งในปี 2010
การสวมเสื้อสีแดงขาวของทัพตราหมีของ ฟิลิเป้ หลุยส์ ถือเป็นตัวหลักที่พาทีมคว้าแชมป์ 4 ถ้วยภายในเวลา 4 ปี ทั้งแชมป์ลาลีกา, โกปา เดล เรย์, ยูฟ่า ยูโรป้าลีก รวมไปถึง ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ
ด้วยความโดดเด่นที่เกินจะมองข้าม ทำให้แสงออร่าไปเข้าตา เชลซี ซึ่งตอนนั้นเจ้าของทีมอย่าง โรมัน อับราโมวิช ก็ทุ่มเงินก้อนโตให้ แอต. มาดริด เพื่อสอย ฟิลิเป้ หลุยส์ และหนีบเอากองหน้าอาวุธหนักอย่าง ดีเอโก้ คอสต้า มาพร้อมกันในตลาดซัมเมอร์ ปี 2014
ถึงแม้ว่าฤดูกาล 2014-15 เชลซี จะเสริมตัวผู้เล่นเข้ามาน้อย นอกจาก ฟิลิเป้ หลุยส์ และ คอสต้า แล้ว อีก 2 คนที่ดึงเข้ามาพร้อมกัน คือ โลอิก เรมี่ และ เชส ฟาเบรกัส แต่กุนซือของเชลซีในปีนั้นอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ ก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์ ลีกคัพ และ พรีเมียร์ลีก มาครองได้สำเร็จ
แม้จะมีถ้วยแชมป์ติดไม้ติดมือถึง 2 รายการ แต่ ฟิลิเป้ หลุยส์ กลับไม่สามารถเบียดเป็นตัวจริงเหนือ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ได้ ทำให้เขาอยู่ เชลซี เพียงแค่ปีเดียว ก่อนที่ แอต. มาดริด จะรีบดึงเขากลับไปอีกครั้ง

การคัมแบ็กรอบนี้ ฟิลิเป้ หลุยส์ ก็ยังได้เป็นตัวจริงให้ทีมดังเดิม ภายใต้กุนซือที่เขาคุ้นเคยอย่าง ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ และคราวนี้เขาก็ยังมีส่วนพาทีมได้แชมป์ ยูโรป้าลีก และ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ เพิ่มอีกอย่างละ 1 สมัย
เบ็ดเสร็จแล้ว แบ็กซ้ายชาวบราซิลลงเล่นให้ทัพตราหมี 8 ซีซั่น ลงสนาม 333 นัด ทำไป 12 ประตู กับอีก 30 แอสซิสต์ ก่อนที่ในปี 2019 เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น ฟิลิเป้ หลุยส์ เลยขอกลับบ้านหลังหมดสัญญา ไปอยู่กับทาง ฟลาเมงโก้ หนึ่งในสโมสรชั้นนำของลีกบราซิล
เส้นทางใหม่กับทีมเก่า
ต่อให้ตอนที่ย้ายกลับบ้านเกิด ฟิลิเป้ หลุยส์ จะเข้าสู่วัย 30 กลาง ๆ แล้ว แต่ก็ยังคงได้ลงเล่นอยู่หลายเกม รักษาความฟิตเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยให้ทีมเดินหน้าคว้าแชมป์มาได้ครบทุกรายการ ไล่ตั้งแต่แชมป์ลีก, แชมป์บอลถ้วยในประเทศ, แชมป์ระดับภูมิภาค รวมไปถึงแชมป์ถ้วยใหญ่ในทวีปอย่าง โกปา ลิเบอร์ตาโดเรส (Copa Libertadores) และแชมป์ เรโกปา ซูดาเมริกาน่า (Recopa Sudamericana) หรือแชมป์ ซูเปอร์คัพ เวอร์ชั่นอเมริกาใต้
เขาใช้เวลาค้าแข้งที่ ฟลาเมงโก้ 4 ปีครึ่ง ลงเล่น 176 นัด 4 ประตู 9 แอสซิสต์ แต่สามารถพาทีมคว้าแชมป์มาได้ถึง 10 ถ้วย ถือเป็นช่วงระยะเวลาที่แฟนบอล ฟลาเมงโก้ แฮปปี้มีความสุขอยู่ไม่น้อย ก่อนที่เดือนมกราคมปี 2024 ฟิลิเป้ หลุยส์ จะประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพอย่างเป็นทางการ

หลังอำลาเส้นทางค้าแข้งได้ไม่นาน เขาก็ผันตัวมารับงานโค้ช หันมาเอาดีด้านการคุมทีมดูบ้าง โดยเริ่มฝึกปรือฝีมือจากการคุม ฟลาเมงโก้ ชุด U-17 และเมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึง 2 เดือน เขาก็ถูกดันให้มาคุมชุด U-20 ซึ่งกับทีมชุดนี้ ฟิลิเป้ หลุยส์ ได้เริ่มสัมผัสการคว้าถ้วยแชมป์ในฐานะโค้ช จากการเอาชนะ โอลิมเปียกอส 2-1 เถลิงแชมป์ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี ในเดือนสิงหาคม 2024
ก่อนที่ช่วงต้นเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ฟิลิเป้ หลุยส์ ในวัยแค่ 39 ปีถูกผลักดันให้ขึ้นมาคุม ฟลาเมงโก้ ชุดใหญ่ แทนที่กุนซือมากประสบการณ์อย่าง ติเต้ ที่เพิ่งจะโดนปลดไปก่อนหน้านี้
ตอนที่เริ่มรับงาน ฟลาเมงโก้ รั้งอยู่อันดับ 4 ในลีกบราซิล ตามหลังทีมจ่าฝูงอย่าง โบตาโฟโก้ มากถึง 8 คะแนน แถมทีมที่ตามหลังมาก็มีทั้ง เซา เปาโล, อินเตอร์นาซิอองนาล และ บาเฮีย ที่มีโอกาสทำอันดับแซงหน้าพวกเขา แต่หลังจบซีซั่น ปรากฏว่า ฟลาเมงโก้ ขึ้นมารั้งอันดับที่ 3 แม้จะตาม โบตาโฟโก้ ไม่ทัน แต่ทีมก็ถือว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น
หลังจากพลาดโอกาสในการไล่ล่าถ้วยแชมป์ลีก แต่ปีนั้น ฟลาเมงโก้ ก็ยังคงมีลุ้นแชมป์บอลถ้วยรายการอื่น ๆ อยู่ด้วย อย่างเช่น โกปา ดู บราซิล (Copa do Brasil) หรือแชมป์ฟุตบอลถ้วยในประเทศ ทีมของ ฟิลิเป้ หลุยส์ ได้เข้าชิงไปเจอกับ แอตเลติโก้ มิไนโร่ ก่อน ฟลาเมงโก้ ถล่มเอาชนะไปด้วยสกอร์รวมสองนัด 4-1 คว้าแชมป์บอลถ้วยบราซิลไปครอง ซึ่งนี่คือแชมป์แรกในฐานะโค้ชชุดใหญ่ของ ฟิลิเป้ หลุยส์ ทั้งที่เพิ่งเข้ามารับงานคุมทีมได้แค่ประมาณ 6 สัปดาห์

จากนั้น ฟลาเมงโก้ ก็ไปชิงแชมป์ ซูเปร์โกปา เฮย์ (Supercopa Rei) หรือ บราซิล ซูเปอร์คัพ ซึ่งเขาเอาชนะแชมป์ลีกอย่าง โบตาโฟโก้ ด้วยสกอร์ 3-1 คว้าแชมป์ชนแชมป์ในประเทศไปครองได้สำเร็จ เช่นเดียวกับรายการ กัมเปอาวนาตู การิอูก้า (Campeaonato Carioca) หรือ แชมป์ระดับภูมิภาค ที่ ฟลาเมงโก้ ทำผลงานได้ดีในเกมรอบแบ่งกลุ่ม ตามด้วยการปราบ วาสโก ดา กาม่า ในรอบรอง และชนะ ฟลูมิเนนเซ่ ในรอบชิงด้วยสกอร์ 2-1
ภายในเวลาเพียงแค่ 6 เดือน ฟลาเมงโก้ ภายใต้การคุมทีมของ ฟิลิเป้ หลุยส์ สามารถคว้าแชมป์บอลถ้วยมาครองได้ถึง 3 รายการ นับเป็นฤดูกาลที่ถือว่าน่าพอใจมาก ๆ สำหรับกุนซือที่ตอนนั้นเพิ่งจะอายุ 39 ปีและมีประสบการณ์คุมทีมชุดใหญ่ที่น้อยกว่าใครเพื่อน
หนึ่งเดียวที่ล้มแชมป์โลก
ตัดภาพไปยังช่วงกลางปี 2025 ในฟุตบอลสโมสรชิงแชมป์โลก ฟลาเมงโก้ ได้สิทธิ์เป็นหนึ่งในสโมสรตัวแทนจากทวีปอเมริกาใต้ที่ได้เข้าไปเล่น จากการคว้าแชมป์ โกปา ลิเบอร์ตาโดเรส มาครองในปี 2022
พวกเขาถูกจับสลากอยู่กลุ่ม ดี เจอกับ เอสเปรานซ์ เด ตูนิส ตัวแทนจากทวีปแอฟริกา, ลอสแอนเจลิส เอฟซี ตัวแทนจากโซนคอนคาเคฟ และ เชลซี ตัวแทนจากทวีปยุโรป ที่ได้เข้ามาจากการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2020-21
ในรอบแบ่งกลุ่ม ฟลาเมงโก้ โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ในเกมเจอกับ เชลซี ที่ตอนนั้นกำลังมั่นใจสุดขีด หลังจากคว้าแชมป์ ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ลีก ก่อนหน้านั้นไม่ถึง 1 เดือน

จริงอยู่ที่ช่วงต้นเกม เชลซี จะออกนำไปก่อน แต่ครึ่งหลัง ฟิลิเป้ หลุยส์ ก็ใช้ฝีมือในการแก้เกม ทำให้ ฟลาเมงโก้ พลิกแซงเป็น 2-1 แถม เชลซี ยังมาเสียเปรียบตัวผู้เล่นจากการที่ นิโกลัส แจ็คสัน โดนใบแดงไล่ออก สุดท้ายเกมนั้นผลจบลงที่ ฟลาเมงโก้ ยัดเยียดความปราชัยให้กับ เชลซี แบบหมดรูปด้วยสกอร์ 3-1 ส่งพวกเขาเข้ารอบเป็นที่ 1 ของกลุ่ม
แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว ฟลาเมงโก้ จะจอดป้ายเพียงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยน้ำมือของ บาเยิร์น มิวนิค ในขณะที่ เชลซี ผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ และเอาชนะ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 3-0 คว้าแชมป์มาครองได้แบบเหนือความคาดหมาย แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทีมหนึ่งเดียวที่สามารถปราบ เชลซี ได้ในศึกชิงแชมป์สโมสรโลก นั่นก็คือ ฟลาเมงโก้ ของกุนซือมาดเท่อย่าง ฟิลิเป้ หลุยส์
สอย 5 แชมป์เพียงแค่ปีเศษ
หลังผ่านพ้นศึกชิงแชมป์สโมสรโลก ฟลาเมงโก้ ก็หันกลับมาโฟกัสเกมในประเทศของพวกเขาอีกครั้ง
และจากที่ทีมของ ฟิลิเป้ หลุยส์ เคยผิดหวังในการลุ้นแชมป์ลีกบราซิลเมื่อปีที่ผ่านมา ทำให้ในฤดูกาล 2025 ฟลาเมงโก้ เสริมทัพผู้เล่นที่มีประสบการณ์ในเวทียุโรปเข้ามาร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็น เอแมร์ซอน รอยัล ฟูลแบ็กจาก เอซี มิลาน, ซามูเอล ลิโน่ ตัวริมเส้นจาก แอตเลติโก มาดริด รวมไปถึงเซ็นฟรีกับ 2 กองกลางจอมเก๋าอย่าง ซาอูล ญิเกซ ของ แอต. มาดริด และจอร์จินโญ่ จาก อาร์เซน่อล

เมื่อมีผู้เล่นประสบการณ์สูงเข้ามา ประกอบกับบทเรียนที่พวกเขาได้รับจากการลุ้นแชมป์ในปีก่อน ทำให้ ฟลาเมงโก้ เดินหน้าเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะในเกมลีก หรือเกมบอลถ้วยหลาย ๆ รายการ
ก่อนหน้าที่จะเริ่มฤดูกาลใหม่ ฟิลิเป้ หลุยส์ พาทัพนกแร้งแดงดำ คว้าแชมป์บอลถ้วยภายในประเทศไปได้ถึง 3 รายการ ซึ่งคราวนี้ทีมมาพร้อมกับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น นั่นก็คือ การคว้าแชมป์บราซิล เซรีอา หรืออาจจะรวมไปถึงแชมป์ใหญ่ในระดับทวีปอย่าง โกปา ลิเบอร์ตาโดเรส
และแล้วจุดหมายที่สโมสรตั้งเป้าเอาไว้ พวกเขาก็ทำมันได้สำเร็จ โดยเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ในศึก โกปา ลิเบอร์ตาโดเรส ฟลาเมงโก้ ทะลุเข้าถึงรอบชิง เจอกับคู่ปรับร่วมลีกอย่าง พัลไมรัส ก่อนชนะไป 1-0 จากประตูชัยของ ดานิโล่ อดีตกองหลังของ แมนฯ ซิตี้ และยูเวนตุส
จากนั้นอีกเพียงแค่ 5 วัน ในเกมนัดสุดท้ายของลีกบราซิล ฟลาเมงโก้ ก็เอาชนะ เซียร่า เอสซี ทีมท้ายตารางไป 1-0 ทำให้ทีมของ ฟิลิเป้ หลุยส์ เข้าป้ายคว้าแชมป์ลีกมาครองได้ตามที่คาดหวัง แถมเป็นการย้ำแค้นใส่ พัลไมรัส คู่แข่งที่เพิ่งเจอมาในนัดชิงแชมป์ทวีป
การเป็นกุนซือชุดใหญ่ครั้งแรกของ ฟิลิเป้ หลุยส์ สามารถพาทีมกวาดแชมป์รายการใหญ่ไปได้ถึง 5 รายการ ภายในเวลาเพียงแค่ 14 เดือน หรือ 1 ปีเศษ ซึ่งถ้วยต่อไปที่เขาน่าจะเฝ้ารอและพร้อมไล่ล่ามาประดับตู้โชว์อย่างแชมป์ชนแชมป์ระดับทวีป หรือ เรโกปา ซูดาเมริกาน่า ทาง ฟลาเมงโก้ ก็พร้อมสู้เต็มที่ เพื่อให้ทีมของกุนซือหนุ่มรายนี้ได้ประกาศศักดาครองความยิ่งใหญ่ทั้งในประเทศรวมถึงในทวีปอเมริกาใต้

การก้าวขึ้นมารับงานเผือกร้อนที่ ฟลาเมงโก้ ถือเป็นจุดที่สุ่มเสี่ยงมาก แล้วยิ่งเลือกโค้ชรุ่นใหม่ไฟแรงเข้ามาจับงาน ทั้งที่ยังไม่มีประสบการณ์ชุดใหญ่ มันก็ยิ่งสุ่มเสี่ยงมากขึ้นเป็นทวีคูณ
แต่กลายเป็นว่าภายในเวลาเพียงแค่ปีเศษ ฟิลิเป้ หลุยส์ กลับทำผลงานดีเกินคาด แถมเดินหน้าล่าแชมป์ให้ทีมได้อย่างต่อเนื่อง นับเป็นอีกหนึ่งกุนซือหนุ่มนอกกระแสที่น่าจับตามอง และคาดว่าในอนาคต เราอาจได้เห็น ฟิลิเป้ หลุยส์ ย้ายมารับงานคุมทีมในลีกยุโรปดูบ้าง
แหล่งอ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/Filipe_Lu%C3%ADs
https://www.transfermarkt.com/filipe-luis/profil/trainer/128436
https://www.transfermarkt.com/filipe-luis/erfolge/trainer/128436
https://www.transfermarkt.com/flamengo-rio-de-janeiro/alletransfers/verein/614
https://www.beinsports.com/en-us/soccer/articles/filipe-luis-and-flamengo-look-to-complete-a-historic-double-after-winning-the-libertadores-2025-12-03