
จากสงครามฝ่ายกษัตริย์ vs ฝ่ายรัฐสภา สู่ยุคอุตสาหกรรมที่สองเมืองเติบโตต่างกัน จนกลายมาเป็นดาร์บี้ที่เต็มไปด้วยความแค้น ศักดิ์ศรี และอารมณ์ร่วมที่ไม่เคยมอดลง
นี่คือเรื่องราวของเกมดาร์บี้แมตช์ที่ร้อนแรงที่สุดคู่หนึ่งในฟุตบอลอังกฤษ ความเกลียดชังและแตกแยกของ นิวคาสเซิล กับ ซันเดอร์แลนด์ เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ติดตามกับ Main Stand
ความขัดแย้งเริ่มอย่างไร ?
เมื่อพูดถึง "อีสานดาร์บี้" ของอังกฤษ หรือที่คนอังกฤษเรียกว่า "Tyne–Wear Derby" ระหว่าง นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และ ซันเดอร์แลนด์ เอเอฟซี หลายคนอาจนึกถึงเพียงเกมฟุตบอลที่เต็มไปด้วยความดุเดือด ความเกลียดชังในสนาม และเสียงเชียร์กระหึ่มจนแทบทะลุแก้วหู
แต่ความเดือดในสนามฟุตบอลนี้ล้วนต้องมีที่มา เพราะรากเหง้าของความขัดแย้งนี้ "ไม่ใช่ฟุตบอล" และเรื่องราวนี้ต้องย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ 17 หรือเรื่องราวเมื่อ 300 กว่าปีที่แล้วเลยทีเดียว

ย้อนกลับไป ณ เวลานั้น เป็นยุคที่เกิด สงครามกลางเมืองอังกฤษ (English Civil War)ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์การเมืองที่แตกแยกสังคมอังกฤษมากที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นละเอียดอ่อนมาก และเป็นจุดตัดของการเมืองและการปกครองของประเทศอังกฤษที่ต้องเลือกระหว่าง ฝ่ายกษัตริย์ (Royalists) และฝ่ายรัฐสภา (Parliamentarians)
นิวคาสเซิล เป็นเมืองท่าใหญ่และศูนย์กลางอุตสาหกรรมถ่านหิน จึงประกาศสนับสนุน ฝ่ายกษัตริย์ เพื่อผลประโยชน์ของทั้งเมือง ขณะที่ ซันเดอร์แลนด์ คือขั้วตรงกันข้าม พวกเขาเป็นเมืองอู่ต่อเรือที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับสกอตแลนด์ กลับยืนฝั่ง รัฐสภา ซึ่งในสงครามครั้งนั้น ฝ่ายรัฐสภาที่ ซันเดอร์แลนด์ หนุนหลังเป็นฝ่ายชนะ
เมื่อทั้งสองเมืองเลือกยืนคนละขั้ว คนละอุดมการณ์ ความรู้สึก "พวกเรา vs พวกมัน" จึงฝังอยู่ในโครงสร้างสังคมตั้งแต่แรก และส่งต่อไปยังคนรุ่นหลังตามกาลเวลา
ความแบ่งแยกนี้ชัดขึ้นอีกในยุคอุตสาหกรรม โดยฝั่งนิวคาสเซิลเติบโตเป็นเมืองการค้า เมืองคนทำเหมือง และรุ่งเรืองกว่า ส่วนซันเดอร์แลนด์ที่เป็นเมืองอู่ต่อเรือ ก็ซบเซาลงไปตามยุคสมัย ทำให้เกิดสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่เท่ากัน ช่องว่างระหว่างสองเมืองจึงยิ่งขยาย คนซันเดอร์แลนด์มักมองว่าตัวเองทำงานหนักกว่า แต่ไม่ได้รับความสำคัญเท่า ความต่างด้านสถานะ ทำให้สองเมืองมีความรู้สึก "แข่งขันกันเอง" เสมอ
ก่อนที่ฟุตบอลจะเข้ามาเป็น "เวทีชัดเจนที่สุด" ให้ความขัดแย้งปะทุขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า กับความเป็นอริกันของ 2 สโมสรดังแห่งแดนอีสานที่ตั้งชื่อสโมสรตามชื่อเมืองตรง ๆ อย่าง นิวคาสเซิล และ ซันเดอร์แลนด์
ไทน์-เวียร์ ดาร์บี้
ชื่อเรียกของเกมดาร์บี้แมตช์ระหว่าง นิวคาสเซิล vs ซันเดอร์แลนด์ ตามชื่อท้องถิ่นคือ "ไทน์-เวียร์ ดาร์บี้" โดย นิวคาสเซิล มาจากฝั่ง ไทน์ไซด์ และ ซันเดอร์แลนด์ มาจากฝั่ง เวียร์ไซด์ และสนามของพวกเขาห่างกันเพียงแค่ 20 กิโลเมตรเท่านั้น

แค่เหตุผลที่กล่าวมาในข้างต้น ก็ไม่ต้องสืบต่อแล้วว่าในเกมฟุตบอลที่คล้าย ๆ กับสงครามย่อส่วนของ "ไทน์-เวียร์ ดาร์บี้" หรือที่คนไทยเรียกกันว่า "อีสานดาร์บี้" จะเดือดแค่ไหน ความต่างทางวัฒนธรรมและการเมืองในภูมิภาคถูกถ่ายทอดมาถึงฟุตบอลโดยตรง จึงไม่น่าแปลกที่การพบกันระหว่าง 2 ทีมนี้ ถือเป็นหนึ่งในดาร์บี้ที่รุนแรงที่สุดของอังกฤษ
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ถูกพูดถึงทั้งในแง่ดีและไม่ดีเกิดขึ้นมากมายในอีสานดาร์บี้ โดยเรื่องการปะทะกันในสนามของแฟนบอลทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เข้าสู่ศตวรรษที่ 19 จนกระทั่งถึงเหตุการณ์ปะทะที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ดาร์บี้ในปี 1990
โดยเหตุการณ์ครั้งนั้น แฟนบอลทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะอย่างหนักในตัวเมือง ตำรวจต้องประกาศยกระดับดูแลความปลอดภัยเป็นพิเศษ ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานในการปราบฮูลิแกนที่ทางอังกฤษใช้มาจนถึงทุกวันนี้
ช่วงหนึ่ง ซันเดอร์แลนด์ ครองชัยชนะเกมดาร์บี้หลายปีติด จนสร้างความกดดันให้ "สาลิกาดง" สุด ๆ ส่วนอีกช่วงหนึ่ง นิวคาสเซิล คือทีมยักษ์ใหญ่ของพรีเมียร์ลีกที่มีชื่อชั้นสูงกว่า เรียกได้ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน แต่เรื่องการผลัดกันข่ม ผลัดกันกด ได้ทำให้ทุกเกมมีเดิมพันสูงกว่าคะแนนในตาราง
ทุกอย่างตั้งแต่เศรษฐกิจ สังคม การเมือง จนถึงฟุตบอล ได้กลายเป็นเชื้อเพลิงให้ "ดาร์บี้แดนอีสานอังกฤษ" ไม่เคยมอดลงเลย เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อย ๆ ตามยุคสมัย ซึ่งยุคนี้ก็มีความเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากยุคเก่า ๆ เช่นกัน
ดาร์บี้ที่ยังคงเป็นหัวใจของฟุตบอลอังกฤษ
มาถึงตอนนี้ต้องยอมรับว่า โลกฟุตบอลได้เปลี่ยนไปอย่างมาก หากเทียบจากยุคที่แฟนบอล ซันเดอร์แลนด์ และ นิวคาสเซิล ยกพวกตีกันทั้งในสนามและในเมือง ยุคนี้กลายเป็นยุคที่สโมสรถูกซื้อโดยชาวต่างชาติ โครงสร้างฟุตบอล = โครงสร้างเชิงธุรกิจ การบริหารต้องยึดหลักความยั่งยืนและผลกำไร และแน่นอนว่า การทำการตลาด สำคัญไม่แพ้ผลงานในสนาม

ทั้ง นิวคาสเซิล และ ซันเดอร์แลนด์ ก็หนีไม่พ้นการเปลี่ยนแปลงนี้ ทั้งคู่มีเจ้าของชาวต่างชาติ มีเป้าหมายเชิงธุรกิจที่ชัดเจนขึ้น และต้องการรักษาสถานะในลีกสูงสุดเพื่อส่วนแบ่งรายได้ที่มหาศาล นี่คือเรื่องที่สำคัญกว่าสิ่งไหน และเชื่อว่าแฟนบอลของพวกเขาก็เข้าใจความสำคัญของสิ่งนี้ดี
ถ้าคุณได้ดูสารคดีเรื่อง Sunderland 'Til I Die คุณจะพบว่า สิ่งที่แฟนบอล ซันเดอร์แลนด์ อยากจะได้ที่สุดคือ ผู้บริหารที่เก่งกาจ พาทีมของพวกเขากลับมาสู่ความรุ่งเรือง และให้ความสำคัญกับแฟนบอลท้องถิ่นไปพร้อม ๆ กัน ... ซึ่งตอนนี้พวกเขามีเจ้าของสโมสรผู้ทำในแบบที่พวกเขาต้องการ อย่าง คีริล หลุยส์-เดรย์ฟัส ลูกครึ่งชาวฝรั่งเศส-สวิส ที่ปัจจุบัน (ปี 2025) อายุแค่ 27 ปีเท่านั้น แต่ก็ใช้ความเป็นคนหัวก้าวหน้า สร้างทีมกลับมาอยู่ในลีกสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อฟุตบอลกลายเป็นเรื่องของทุนนิยมแบบเต็มระบบ เรื่องความเกลียดชังที่เคยรุนแรงในอดีต เริ่มเหลือเพียงในเชิงสัญลักษณ์มากขึ้น แฟนบอลรุ่นใหม่จำนวนมาก สนใจผลงานในสนามมากกว่าเรื่องเมือง vs เมือง หรือการเมืองในอดีต
แต่ถึงอย่างนั้น ความรุนแรง ความเป็นอริ และความแตกต่างทางความคิดกับวัฒนธรรม ของ ซันเดอร์แลนด์ และ นิวคาสเซิล ถือเป็นตัวอย่างที่ยืนยันถึงรากเหง้าของการเป็นฟุตบลอังกฤษได้เป็นอย่างดี เพราะนี่คือฟุตบอลอังกฤษ ที่เติบโตมาจากดินแดนของผู้ใช้แรงงานจริง ๆ
ความเป็นธุรกิจอาจจะสำคัญในยุคนี้ แต่ไม่สามารถลบความเชื่อ ความภาคภูมิใจ และความเป็นชุมชนท้องถิ่นได้ทั้งหมด

สำหรับแฟนบอลสองเมืองนี้ "อีสานดาร์บี้" คือศักดิ์ศรี คือ "เราต้องเหนือกว่าอีกฝ่าย" ไม่ว่าลีกจะเปลี่ยน โลกจะเปลี่ยน หรือเจ้าของสโมสรจะเป็นชาติไหนก็ตาม
และนี่คือเสน่ห์ของฟุตบอลอังกฤษ ลีกที่ไม่ได้มีดีแค่การแข่งขันระดับสูง แต่มีรากทางวัฒนธรรม ความเชื่อ และตัวตนของชุมชนที่แข็งแรงที่สุดระบบหนึ่งของโลก
เพราะไม่ว่าฟุตบอลจะก้าวไปไกลแค่ไหน ตราบใดที่ยังมี ชาวจอร์ดี้ (นิวคาสเซิล) และ ชาวแม็คเคม (ซันเดอร์แลนด์) ดาร์บี้แมตช์คู่นี้ก็ยังคงเดือด มีแพชชั่นล้นเต็มสนาม และยังคงเป็นถือว่าเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่สะท้อนความเป็นฟุตบอลอังกฤษได้ชัดเจนที่สุด ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
แหล่งอ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/Tyne%E2%80%93Wear_derby
https://headliners.org/the-newcastle-sunderland-divide-an-old-persons-problem-from-a-young-persons-perspective/
https://universityofsunderland.shorthandstories.com/hate-thy-neighbour-part-5-a-never-ending-story/index.html
https://www.theguardian.com/football/2005/oct/23/newsstory.spor
https://www.themag.co.uk/2022/02/newcastle-and-sunderland-this-means-things-will-never-be-the-same-between-them-newcastle-united/
en.wikipedia.org