
ลมปากจากคนสนิท หรือคนที่อวดอ้างว่าร่ำรวยและประสบความสำเร็จจากการลงทุนนั้นช่างหอมหวาน
พวกเขามีเงินมากมาย และเมื่อพวกเขาถามคุณว่า "จะเอาด้วยไหม ?" นั่นคือจังหวะที่หัวใจของคุณจะสั่งให้ตอบตกลงก่อนสมองจะเริ่มคิดวิเคราะห์ด้วยซ้ำ
นี่คือเรื่องราวการหลอกเอาเงินนักเตะอาชีพในเวทีพรีเมียร์ลีกครั้งใหญ่ ... คาดว่ามีนักบอลกว่า 200 คนที่โดนหลอกจากการลงทุนที่คล้าย ๆ "แชร์ลูกโซ่" ครั้งนี้ พร้อมด้วยยอดความเสียหายกว่า 400 ล้านปอนด์
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดกับ Main Stand
ทางรอดระยะยาวของหมาล่าเนื้อ
มีการพูดกันอยู่ทุกยุคทุกสมัยว่า นักฟุตบอลคืออาชีพที่ไม่ต่างกับ "หมาล่าเนื้อ"
วันไหนที่คุณมีเรี่ยวมีแรงและแข็งแกร่ง คุณจะทำเงินได้มากมาย ทว่าใครจะไปอยู่บนจุดสูงสุดได้ตลอด และช่วงเวลาแห่งความมั่งคั่งก็มักอยู่ไม่นาน เมื่อถึงเวลาต้องเลิกเล่น พวกเขาจะทำอะไร ? นี่คือเรื่องที่นักฟุตบอลหลายคนกลัว
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพยายามทำในสิ่งที่นักฟุตบอลอาชีพ (ส่วนใหญ่) ไม่ถนัด นั่นคือการหาช่องทางการลงทุนเพื่อต่อยอดทรัพย์สินที่มีให้มากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันที่ขาลงมาถึง พวกเขาจะได้แลนดิ้งลงอย่างนุ่มนวล เกิดความสะเทือนน้อยที่สุด
อย่างไรก็ตาม ตรงข้ามกับข้อดีของการเป็นอาชีพที่รายได้สูงก็คือ นักฟุตบอลอาชีพ (โดยเฉพาะยุคเก่า ๆ) มักจะมีความรู้จำกัด เพราะการเติบโตในโลกฟุตบอล ไม่ได้มาพร้อมการศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนหรือการวางแผนการเงินเชิงซับซ้อน ทำให้พวกเขาต้องจ้างใครสักคนเข้ามาเป็นที่ปรึกษาในส่วนนี้ หากคิดจะเอาเงินที่หามาได้ ไปลงทุนกับอะไรสักอย่าง

จุดนี้แหละ ถือเป็นจุดที่พวกเขาเริ่มเปิดช่องให้คนอื่นที่พวกเขาไม่รู้จักมักจี่ ไม่รู้ไส้รู้พุง แฝงตัวเข้ามา เนื่องจากนักฟุตบอลมักเชื่อเพื่อนร่วมทีมหรือเอเยนต์ที่อยู่ในวงการเดียวกัน ทำให้มิจฉาชีพใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นเครื่องมือหลอกล่อได้โดยง่าย
เหมือนกับคดีดังที่ชื่อว่า "V11" คดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่ว่ากันว่ามีนักฟุตบอลระดับพรีเมียร์ลีกกว่า 200 คนโดนมิจฉาชีพหลอกให้ลงทุน ด้วยหลักการที่แทบไม่แตกต่างกับยุคนี้ นั่นคือการเสนอผลตอบแทนเกินจริง เช่น ดอกเบี้ยสองหลัก หรือ โครงการอสังหาริมทรัพย์หรู ทำให้ผู้เล่นมองข้ามความเสี่ยง ... แม้จะเป็นวิธีที่ดูง่ายดาย และไม่น่าเชื่อถือในปัจจุบัน แต่ย้อนกลับไปเมื่อสัก 30-40 ปีก่อน วิธีแบบ "แชร์ลูกโซ่" ก็เป็นอะไรที่หลอกเอาเงินได้อย่างมหาศาล อย่างเช่นคดี V11 นี้
เหตุจากอยากรวย
จุดเริ่มต้นของคดี V11 คือบริษัทที่ชื่อว่า "คิงส์บริดจ์ แอสเซ็ต" ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1992 ซึ่งตรงกับปีที่ฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษ รีแบรนด์จาก "ดิวิชั่น 1" ขึ้นมาเป็น "พรีเมียร์ลีก"
การเปลี่ยนแปลงมาเป็นพรีเมียร์ลีก เกิดขึ้นเพื่อสร้างรายได้ในอุตสาหกรรมฟุตบอลของอังกฤษให้มากขึ้นในทุก ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่นเดียวกับนักฟุตบอลที่มีแนวโน้มจะได้รายรับเพิ่มขึ้นด้วย
คิงส์บริดจ์ ใช้จังหวะนี้เพื่อแนะนำให้นักเตะอาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มนักเตะพรีเมียร์ลีก ได้ลองเอาเงินที่พวกเขาหามาได้ ให้มาลงทุนในโครงการต่าง ๆ เพื่อทำให้เม็ดเงินงอกเงย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในธุรกิจภาพยนตร์, อสังหาริมทรัพย์ และอื่น ๆ ซึ่งในเวลานั้น มีกฎหมายภาษีที่ชื่อว่า "Tax Relief" คือ สิทธิประโยชน์ทางภาษี ที่รัฐให้แก่ผู้เสียภาษี
ความหมายง่าย ๆ ยกตัวอย่างคือ สมมติว่าคุณต้องจ่ายภาษีปีละ 100,000 ปอนด์ หากคุณมีสิทธิ์ Tax Relief จำนวน 20,000 ปอนด์ คุณจะจ่ายจริงเพียง 80,000 ปอนด์เท่านั้น ... สิ่งนี้เองที่ทำให้โครงการลงทุนมีแรงจูงใจทางภาษีอย่างมาก โดยเฉพาะนักฟุตบอลที่ต้องจ่ายภาษีเยอะกว่าคนทั่วไป

แดนนี่ เมอร์ฟี่ อดีตนักเตะของ ลิเวอร์พูล ที่เป็นหนึ่งในนักเตะที่ร่วมลงทุนกับ คิงส์บริดจ์ เล่าว่า ตอนแรกเขาก็มีความลังเลที่จะเดินทางสายนี้ แต่ที่ปรึกษาทางการเงินบอกว่า มีนักเตะหลายคนเริ่มเข้าสู่การลงทุนแล้ว และหลายคนก็ได้เงินปันผลจำนวนมาก ซึ่งรูปแบบการลงทุนเป็นไปในลักษณะ "เข้าก่อน ได้ก่อน" ซึ่งนักเตะในลีกอีกกว่า 200 คนก็คิดแบบเขานี่แหละ
"ตอนที่คุณยังเป็นนักเตะหนุ่มอายุ 20 กว่า ๆ แถมยังไม่มีใครในครอบครัวของคุณที่มีประสบการณ์ด้านการลงทุน คุณมักจะต้องปรึกษากับคนในวงการฟุตบอลนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ หรือคนอื่น ๆ"
"ผมได้รับโบร์ชัวร์มา 1 ใบ และมันทำให้ผมตาเป็นประกาย เพราะคุณได้เห็นคนที่อยู่ในกลุ่มลงทุนก่อนหน้านี้เป็นเบอร์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็น มาร์ติน โอนีล (อดีตกุนซือ เลสเตอร์), โฮเวิร์ด วิลคินสัน (อดีตกุนซือ ลีดส์ ยูไนเต็ด) และ ไบรอัน ดีน (อดีตดาวยิงทีมชาติอังกฤษ)"
"พวกเขารู้ว่าคุณจะตื่นเต้น และนั่นทำให้พวกเขาค่อย ๆ แทรกตัวเข้ามาในชีวิตของคุณ แสดงตัวว่าเป็นเพื่อนของคุณได้หากคุณต้องการ ซึ่งปลายทางคือ คุณจะเริ่มวางใจกับพวกเขาด้วยความไร้เดียงสา"
เมอร์ฟี่ เป็นตัวแทนเล่าสิ่งที่เขาและนักเตะในรุ่นนั้นต้องเจอ และเริ่มเปรียบเทียบว่า ยิ่งคุณเริ่มร่ำรวยมากเท่าไหร่ ก็เหมือนคุณลอยตัวอยู่ในทะเลแล้วมีเลือดออกมากเท่านั้น เหล่าฉลามจะว่ายวนรอบตัวคุณและชิงเล่นงานตอนคุณเผลอ ... นั่นคือหลักการที่มิจฉาชีพลุยหนัก และเริ่มหาวิธีเอาเงินออกจากกระเป๋าพวกเขา
มันคือแชร์ลูกโซ่ ที่ตอนแรกพวกเขาได้เงินตอบแทนไม่ขาดมือ จนทำให้พวกเขาเริ่มลงทุนมากขึ้นอีก ... ซิ่งก็ตามตำราที่ทำกันซ้ำ ๆ เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่ง จะไม่มีการปันผล และจะมีแต่การโอนเงินเข้าไปลงทุนเพิ่ม เพื่อพยายามเอาทุนกลับมา นั่นแหละเป็นจุดที่นักเตะเริ่มขาดทุน และมิจฉาชีพได้ในสิ่งที่สวนทางกัน

เมื่อเวลาผ่านไป การลงทุนในโครงการเหล่านั้น "ล้มเหลว" อย่างหนัก รายงานของ TLW ระบุว่าโครงการอสังหาริมทรัพย์ในสเปน หรือบ้านในฟลอริดา มีการประเมินมูลค่าสูงเกินจริง และผลตอบแทน 15–20% ที่เคยสัญญาไว้ ไม่เกิดขึ้นตามที่พูด
นักเตะหลายคนเริ่มประสบปัญหา บางคนต้องขายบ้าน, บางคนใกล้ล้มละลาย, บางคนถูกไล่ออกจากบ้านเพราะติดหนี้จำนอง เพราะพวกเขาไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าภาษีจากการลงทุนได้
สิ่งสำคัญคือ นักเตะหลายคนไม่กล้าที่จะออกมาเรียกร้องในตอนนั้น พวกเขาขาดทุน และจมลงด้วยเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เมอร์ฟี่ เล่าว่ามีหลายคนอายที่จะออกมาบอกว่าตัวเองเสียค่าโง่ ทว่าเขาและนักเตะระดับพรีเมียร์ลีกอีกกว่า 10 คน เลือกทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป เมื่อพวกเขาโดนหลอก พวกเขาลุกขึ้นสู้ โดยมีภรรยาของ เคร็ก ชอร์ต (อดีตนักเตะ เอฟเวอร์ตัน, แบล็กเบิร์น) ที่มีอาชีพเป็นทนายความ เริ่มหาข้อมูล และพยายามที่จะเอาเรื่องนี้ขึ้นศาล จนคดีนี้ได้ชื่อว่า V11
สุดท้ายก็สายไปแล้ว
ปัญหาเริ่มปรากฏ เมื่อมีนักเตะบางคนสงสัยว่า ผลตอบแทนไม่ตรงกับที่สัญญา และเริ่มตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของ คิงส์บริดจ์ ซึ่งเมื่อเรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่การสืบสวนและสอบสวนจึงเริ่มขึ้น
ทว่าเรื่องนี้พวกเขารู้สึกตัว และรวมตัวกันสู้เพื่อหาความจริงช้าเกินไป ว่ากันว่า คิงส์บริดจ์ เตรียมทางหนีทีไล่ของเรื่องนี้ไว้แล้ว พวกเขาโอนเงินเข้าบัญชีนอกประเทศ เพื่อปิดบังเส้นทางการเงินในคดีนี้
นอกจากนี้พวกเขายังแก้ต่างว่า มันเป็นไปตามกลไกของตลาด เมื่อตลาดเปลี่ยน การลงทุนจึงเปลี่ยนตาม กลายเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง จนเป็นเหตุนำมาสู่การขาดทุนครั้งใหญ่ ที่รวมแล้วมีมูลค่ามากถึง 417 ล้านปอนด์ (2,922,770,000 บาท เมื่อเทียบกับค่าเงินปอนด์ในช่วงเวลานั้น)
แม้ตำรวจลอนดอนจะสอบสวนเรื่องนี้อย่างหนักจาก คิงส์บริดจ์ แต่กลับไม่พบหลักฐานเพียงพอสำหรับดำเนินคดี นั่นทำให้เหล่านักเตะที่ลงทุนจนหมดตัว ยังคงถูกจัดประเภทเป็นเหยื่ออาชญากรรม แต่ยังต้องจ่ายภาษีหลายล้านปอนด์ที่พวกเขาค้างเอาไว้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นการสร้างความเจ็บปวดให้เหยื่อแบบซ้ำแล้วซ้ำอีก ... แต่ก็ทำอะไรไมไ่ด้ นอกจากต้องรับผิดชอบกับการตัดสินใจของตัวเองเท่านั้น

เรื่องนี้ BBC ถึงกับทำสารคดีมาตีแผ่คดี V11 ในชื่อตอน The Story of the V11 ที่มีนักเตะดังอย่าง แดนนี่ เมอร์ฟี่, ร็อด วอลเลซ, ไบรอัน ดีน, ทอมมี่ จอห์นสัน, ไมเคิล โธมัส และ เคร็ก ชอร์ต ออกมาเล่าเรื่องนี้แบบที่ยอมรับว่า พวกเขาผิดพลาดเอง และได้ออกมาเตือนนักฟุตบอลรุ่นหลังว่า ยิ่งมีชื่อเสียงมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องคัดกรองสิ่งที่คนอื่นพูดคุยกับพวกเขามากขึ้นเท่านั้น
และสิ่งสำคัญที่สุดที่พวกเขาอยากจะบอกต่อคือ ความเก่งกาจและรู้แต่เรื่องฟุตบอลอย่างเดียว อาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต แต่การมีความรู้ด้านอื่น ๆ การมีสติ และมีความคิดวิเคราะห์ที่ดี จะช่วยให้อาชีพของพวกเขามั่นคงมากขึ้น
เรียกได้ว่าคดี V11 สร้างแรงกระเพื่อมให้กับเหล่านักเตะอาชีพ ให้ระแวดระวังเรื่องการลงทุน และการตัดสินใจเชื่อใครสักคนที่เข้ามาเพื่อหาผลประโยชน์กับพวกเขาได้เป็นอย่างดี
แหล่งอ้างอิง
https://www.theguardian.com/tv-and-radio/2025/sep/02/footballs-financial-shame-the-story-of-the-v11-review
https://www.reddit.com/r/TheOther14/comments/1n76yr8/footballs_financial_shame_the_story_of_the_v11/?rdt=58744
https://www.clarkewillmott.com/news/v11-football-scandal/
https://talksport.com/football/3524564/danny-murphy-victim-millions-football-financial-shame/