
หลังจากหมดยุคของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ vs ลิโอเนล เมสซี่ หลายคนพบว่าความเดือดดาลของเกม "เอล กลาซิโก้" เริ่มลดดีกรีลงมาแบบที่ใคร ๆ ต่างก็สัมผัสได้
ทว่า ณ เวลานี้ เหล่าวัยรุ่นเลือดร้อนได้แอบเพิ่มอุณหภูมิความร้อนแรงของศึกระหว่าง เรอัล มาดริด vs บาร์เซโลน่า ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันมาปะทุเอาในวันที่ดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์ที่สุดแห่งยุคอย่าง ลามีน ยามาล ได้เอ่ยประโยคเด็ดประโยคหนึ่งขึ้นมา
ว่ากันว่าประโยคดังกล่าวคือกระสุนนัดพิเศษที่ส่งสัญญาณว่า ต่อจากนี้ เอล กลาซิโก้ จะกลับมาไฟลุกปานศึกสงครามอีกครั้ง
เรื่องทั้งหมดเป็นอย่างไรติดตามกับ Main Stand
เอล กลาซิโก้ ของเหล่าคนหนุ่ม
ศึก "เอล กลาซิโก้" ไม่เคยขาดสีสัน ไม่ว่าจะผ่านมากี่รุ่นก็ตาม แต่ในช่วงไม่กี่ปีหลัง เรากำลังได้เห็น "กลาซิโก้ยุคใหม่" ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ส่วนหนึ่งก็เพราะเพราะนี่คือ ฉากใหม่ ตอนใหม่ และมันกลายเป็น "สงครามของคนหนุ่ม" อย่างเต็มตัว
ย้อนไปในช่วง 4-5 ปีก่อน หรือช่วงต้นยุค 2020 ศึกนี้ลดความน่าสนใจลงอย่างปฏิเสธไม่ได้ เมื่อเหล่าตัวละครที่รับบทนำของเรื่องนี้ต่างก็อายุมากขึ้น บางคนออกไปหาความท้าทายอื่น และบางคนก็ลดบทบาทของตัวเองลงตามวัฏจักรของฟุตบอล เช่นการย้ายออกของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ลิโอเนล เมสซี่, เซร์คิโอ รามอส, เปเป้, ชาบี เอร์นานเดซ, เคราร์ด ปีเก้ และตัวตึงอีกหลาย ๆ คนที่ไม่ได้กล่าวถึง

นักเตะเหล่านี้ทำให้เกมฟุตบอลสนุกขึ้นได้ ก็เพราะพวกเขามีความเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ไม่ว่าจะทำอะไรสื่อก็ต้องจับตาเสมอ และยิ่งเป็นเรื่องที่มีอิมแพ็กต์ต่อคู่แข่งตลอดกาลของกันและกัน มันจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่เสมอ เราได้เห็นการไล่เตะไล่หวดกันแบบเดือดคูณสอง เราได้เห็นการให้สัมภาษณ์โจมตีและจิกกัดกันอย่างเผ็ดร้อน
ซึ่งเมื่อกลุ่มนักเตะเหล่านี้แยกย้ายกันไป ความเดือดของเกม เอล กลาซิโก้ ก็หายไปพักใหญ่ จนกระทั่งมาถึงยุคปัจจุบัน ที่ไฟแห่งความเดือดทั้งในและนอกสนามปรากฏขึ้นอีกครั้ง แบบที่คนที่ไม่ใช่แฟนบอลของทั้ง 2 ทีมก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องเสพดราม่า และเรื่องแซ่บ ๆ ที่เกิดขึ้นในเกม เอล กลาซิโก้ ฉบับคนหนุ่มครั้งนี้ด้วย
ข้อมูลในฤดูกาล 2025-26 ของ ลา ลีกา บ่งชี้ชัดว่า บาร์เซโลน่ามีอายุเฉลี่ยของผู้เล่นตัวจริงเพียง 24.8 ปี ส่วน เรอัล มาดริด ก็อยู่ราว ๆ 25.5 ปี เท่านั้น ซึ่งนี่คือตัวเลขที่น้อยกว่าทุกยุคในรอบเกือบ 20 ปีของเกม เอล กลาซิโก้ และความหนุ่มนั้นไม่ได้สะท้อนแค่ในสถิติและตัวเลขเท่านั้น แต่มันแผ่ไปถึงทุกมิลลิเมตรของสนามด้วย
คนหนุ่มของทั้งสองทีม เพิ่มความองศาของเกมด้วยพละกำลัง ความฟิต และความภาคภูมิใจของการได้สวมเสื้อแข่งที่มีโลโก้ของสโมสร พวกเขาเข้าปะทะกันแบบไม่มีใครยอมใคร แต่ละประตูที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดจากฝั่งไหนก็ต้องมีท่าดีใจที่เป็นไวรัล หรือเป็นการส่งข้อความเชิงสัญลักษณ์ของนักเตะคนนั้น ๆ
เพราะวัยหนุ่มคือวัยของ "อารมณ์" และ "การพิสูจน์ตัวเอง" ดังนั้นเมื่อสองสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในโลกเอาความทะเยอทะยานของวัยรุ่นมาชนกัน สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่ฟุตบอล แต่คือพายุแห่งพลังและความเดือดระดับอารมณ์เต็มขั้น
มันยิ่งออกรสออกชาติขึ้นไปอีกในโลกยุคที่โซเชี่ยลมีเดียอยู่ในมือของทุก ๆ คน ซึ่งก็ต้องบอกว่า เอล กลาซิโก้ ครั้งนี้เดือดขึ้นกว่าเดิมเพราะกระแสก่อนเกมบนโลกโซเชี่ยล เมื่อ ลามีน ยามาล ดาวรุ่งวัย 18 ปี ของ บาร์เซโลน่า ได้ยิงกระสุนนัดพิเศษเป็นสัญญาณเตือนให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเกมนี้รู้ว่า เอล กลาซิโก้ ของจริงกลับมาแล้ว
สัญญาณเริ่มสงคราม
ก่อนเกมจะเริ่มในวันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม 2025 ยามาล ได้พูดติดตลกผ่านการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอล "คิงส์ ลีก" ที่จัดขึ้นโดย เคราร์ด ปีเก้ โดยบอกว่า เรอัล มาดริด เป็น "พวกปากสว่างขี้ฟ้อง และขี้โกง" ... เท่านั้นยังไม่พอ เขาก็โพสต์รูปภาพบนอินสตาแกรม ซึ่งเป็นรูปในจังหวะที่แฟนบอลมาดริดกำลังโกรธแค้น เยาะเย้ยเขา หลังจากที่ทำประตูได้ที่ เบร์นาเบว ในเกมลาลีกาฤดูกาล 2024-25
คำพูดของเขาไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก แต่เด็กหนุ่มวัย 18 ปี ก็เหมือนจุดไฟแช็คซิปโป้ที่เติมแก๊สมาเต็ม ๆ แล้วโยนลงไปในกองฟาง แน่นอนว่าประโยคนี้มันทำให้ เรอัล มาดริด ที่โดยปกติแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาล้างแค้น บาร์ซ่า กันเต็มที่อยู่แล้ว เนื่องจากในซีซั่นที่แล้วพวกเขาแพ้ บาร์เซโลน่า แบบไปกลับในลีก แถมแพ้ในถ้วย ซูเปอร์โคปา และ โคปา เดล เรย์ อีก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคาดหวังกับเกมนี้ขนาดไหน

กองเชียร์ที่เบร์นาเบวส่งเสียงหวีด เสียงโห่ถึง ยามาล เป็นระยะเมื่อเขาได้สัมผัสบอล และเสียงเชียร์ดังกึกก้องเมื่อเขาแพ้ในการแย่งชิงบอลหรือจ่ายบอลพลาด มันชัดเจนว่าทุกคนได้รับรู้ถึงข้อความที่เขาส่งไป แม้แต่แฟนบอลราชันชุดขาวก็พร้อมจะทำทุกทางเพื่อช่วยนักเตะของพวกเขาเล่นงาน ยามาล ด้วย
แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ยามาล หาฟอร์มเก่งของตัวเองไม่เจอ และในห้วงเวลาที่เขายิงไกลข้ามคานในช่วงครึ่งหลัง เสียงโห่ฮายิ่งดังขึ้นอีก บางที ยามาล อาจจะคิดว่าเขาได้พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป
ช้าก่อน ... อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เราพยายามจะบอกว่าสิ่งที่ ยามาล พูดนั้นมันไม่ได้ผิดถึงขั้นเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย การบลัฟกันก่อนเกมเป็นธรรมชาติของฟุตบอล ยามาล ไม่ใช่คนแรกที่โจมตีใส่คู่แข่งก่อนเกมแบบนั้น แต่สิ่งที่อาจจะทำให้รู้สึกว่า ยามาล ทำผิดก็คือ เขาไม่ควรใช้คำพูดในเชิงปลุกใจฝังตรงข้าม ที่ทำให้คู่แข่งที่อยากชนะอยู่แล้ว เกิดความฮึกเหิม มีสมาธิ กาารเตรียมการเชิงแท็คติก สภาพจิตใจ และอยากจะจบเกมนี้ด้วยชัยชนะมากขึ้นไปอีก ยังมีคำพูดก่อนเกมที่แสบสัน และสร้างสงครามในเชิงจิตวิทยา ทำให้คู่แข่งหลงเหลี่ยมได้มากกว่านี้อีกเยอะ
คำพูดของ ยามาล ยังส่งผลถึงด้านอื่น ๆ อีกด้วยนอกจากการทำให้นักเตะ มาดริด วิ่งลืมตาย ... มันยังเป็นการเปิดช่องให้ ยามาล เป็นเป้าสำหรับนักเตะ มาดริด ได้เล่นงานด้วยคำพูด หลังจากที่ฝั่งเจ้าบ้านเป็นฝ่ายชนะ ดานี่ การ์บาฆัล และ วินิซิอุส จูเนียร์ ใช้จังหวะการทำสงครามประสาทจน ยามาล เองก็ไปไม่เป็นในเกมนี้ ถึงขั้นมีการถอดคำพูดของ ยามาล ที่มีต่อ วินิซิอุส จูเนียร์ ว่า "ออกมาเจอกันในอุโมงค์ดีกว่า" มันแสดงเห็นว่าจากที่เคยไปแหย่เขาก่อน เจ้าตัวก็เกิดอาการของขึ้นเลือดร้อนจนเสียสมาธิไปเองเหมือนกัน

เรื่องนี้แม้แต่ อีไบ ยาโนส อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังที่ทำรายการจับเข่าคุยกับ ยามาล ยังต้องออกมายอมรับหลังเกมว่า ตัวของเขาเองก็เป็นคนที่ต้องรับผิดชอบด้วย ที่ทำให้ ยามาล กลายเป็นเป้าในเกม เอล กลาซิโก้ ที่เพิ่งจบลงไป
คอนเทนท์สัมภาษณ์ ยามาล ครั้งนั้น เดิมทีไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวพาดพิงเกมระหว่าง บาร์ซ่า และ มาดริด เลย แต่เป็นการโยนคำถามเกรียน ๆ ใส่กัน จนกระทั่ง ยามาล หลุดปากและพูดถึงทีมฟุตบอล 7 คนของ อีไบ ว่า "ทีมของคุณปากสว่าง ขี้ฟ้อง ขี้โกงเหมือนกับ เรอัล มาดริด" ซึ่งประโยคนี้แหละที่โดนสื่อจับเอาไปถ่ายทอดใหม่ จนกลายเป็นที่มาของความเดือดในเกม เอล กลาซิโก้ ครั้งนี้
บทเรียนสำคัญ = โฆษณา "เอล กลาซิโก้" ชั้นดี
เมื่อ บาร์เซโลน่า จบเกมด้วยความพ่ายแพ้ไป 1-2 กฎในการเถียงกันหลังเกมบนโลกโซเชี่ยลนั้นมีอยู่ว่า "คนชนะพูดอะไรก็ได้" ... และนั่นอาจจะเป็นบทเรียนที่เด็กหนุ่มวัย 18 ปี อย่าง ยามาล จะได้เรียนรู้ เพราะเชื่อเหลือเกินว่าตลอดอาชีพของเขาที่เหลือ เขาจะต้องลงเล่นเกม เอล กลาซิโก้ อีกหลายสิบนัดแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หากมองในมุมกลับ ความเดือดที่เกิดขึ้นก็มีข้อดีหลายอย่างในแง่ของภาพรวม เพราะมันชัดเจนแล้วว่าต่อจากนี้ เอล กลาซิโก้ ที่มี ยามาล หรือ วินิซิอุส ลงเล่น อุณหภูมิเกมจะเดือดดาลขึ้นทั้งกับนักเตะในสนาม และแฟนบอลอัฒจันทร์ ที่ต่างฝ่ายก็พร้อมจะหนุนหลังนักเตะตัวเอง และโจมตีนักเตะตรงข้ามอยู่แล้ว เรียกว่าในที่สุด เอล กลาซิโก้ ก็ได้เจอคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อ เพราะ วินิซิอุส กับ ยามาล ก็ถือว่าเป็นกลุ่มนักเตะวัยรุ่นที่มีความสามารถในระดับหัวแถวของโลก และมี DNA ของทั้งสโมสรในตัวสูงมาก
บางทีการจับคู่กันของ ยามาล และ วินิซิอุส อาจจะเป็นคู่เอกระเบิดความเดือดได้มากกว่าไฮไลต์ของ เอล กลาซิโก้ ในอดีตที่มี โรนัลโด้ และ เมสซี่ เป็นพระเอกของแต่ละฝั่งก็เป็นได้

สำหรับคนนอกที่ไม่ได้เกี่ยวอะไร และเป็นคนที่ชอบดูฟุตบอล การที่นักเตะสายเปิดของทั้ง 2 ทีมทำแบบนี้ก็ถือว่าเป็นกำไรของคนดู เพราะมันแทบจะการันตีได้ว่า ความสนุกจะเกิดขึ้นแน่เมื่อเกม เอล กลาซิโก้ มาถึง ไม่ว่าจะบอลลีก บอลถ้วยในประเทศ หรือในถ้วยยุโรป ที่ทั้ง 2 ทีมจะต้องชิงดี ชิงเด่น และพยายามหาทางอุดปากกันและกันไปอีกยาว ๆ นั่นทำให้คอมเมนต์ของกูรูหลายคนบอกหลังเกมนี้ว่า เอล กลาซิโก้ ยุคนี้ "สนุกกว่าเดิม" เพราะมันเต็มไปด้วยความสด ความดิบ และอารมณ์จริงของคนหนุ่มที่อยากชนะทุกจังหวะ
แต่ในอีกมุมหนึ่ง เสียงวิจารณ์ก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเหตุการณ์ปะทะกัน, การยั่วยุ, หรือการโพสต์แขวะกันก่อน - หลังเกม กลายเป็นภาพที่เห็นจนชิน จริงอยู่ที่บางครั้งความดิบนี้มันคือเสน่ห์ ที่ทำให้แฟนบอลมีอินเนอร์ ทว่าสิ่งที่ต้องไม่ลืมคือ หากเรื่องนอกสนามและโซเชี่ยลมาเกี่ยวมากเกินไป มันก็อาจจะกลายเป็น "อารมณ์ที่กลืนจิตวิญญาณของมืออาชีพ" ซึ่งมันอาจจะทำให้ เอล กลาซิโก้ อาจหลุดจากสิ่งที่ควรเป็น นั่นคือ "เกมแห่งความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรี" ที่มีความหมายยิ่งกว่าแค่เรื่องของฟุตบอล
ตอนนี้ไฟความดุเดือดของ เอล กลาซิโก้ กลับมาอีกครั้ง ... ที่เหลือสำหรับแฟนบอลคือการติดตามกันต่อว่า รูปแบบความเดือดจะออกมาอย่างไร ถ้าเดือดทั้งในสนามที่สู้กันด้วยแท็คติก พละกำลัง ความมุ่งมั่น และแพชชั่น แลกกันหมัดต่อหมัดด้วยคุณภาพเกมระดับสูง ดราม่าทั้งหลายก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หนำซ้ำจะเป็นผงชูรสชั้นดีที่ทำให้แฟนบอลทั้งโลกอยากจะกลับมาดูการเจอกันระหว่างทั้ง 2 ทีมนี้มากขึ้นก็เป็นได้
แหล่งอ้างอิง
https://www.nytimes.com/athletic/6751502/2025/10/26/el-clasico-ends-in-chaos-why-police-were-needed-in-real-madrid-2-barcelona-1/
https://www.nytimes.com/athletic/6651927/2025/10/26/lamine-yamal-barcelona-clasico-real-madrid/
https://www.nytimes.com/athletic/6746750/2025/10/26/what-el-clasico-really-means/
https://www.nytimes.com/athletic/6747610/2025/10/26/real-madrid-barcelona-bellingham-yamal-mbappe/