Feature

โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ : กุนซือผู้ยืนหยัดระบบ "หลัง 3 ธรรมชาติ" ที่จูนไวและใช้ได้จริง | Main Stand

3-4-2-1 อาจเป็นแค่ตัวเลขบนกระดาษ แต่สำหรับ โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ มันคือระบบ "หลัง 3 ธรรมชาติ" ที่ทั้งจูนไวและใช้ได้จริง

 

ทำไมเขาถึงยืนหยัดกับมันจนสามารถคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ด้วยการชนะ แมนฯ ซิตี้ ตามด้วยการชนะ ลิเวอร์พูล และทำให้ คริสตัล พาเลซ เป็นทีมเดียวที่ยังไร้พ่ายในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ ?

ติดตามกับ Main Stand 

 

ถอย 1 ก้าว เดินหน้า 2 ก้าว 

โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ กุนซือชาวออสเตรีย เป็นนักฟุตบอลเก่าในตำแหน่งกองหลัง เขาค้าแข้งกับ เอสวี รีด ในลีกบ้านเกิดตั้งแต่ปี 1992 ถึงปี 2011 (ในระหว่างเล่น เขาเรียนจบปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจด้วย) เป็นตำนานของทีมที่ลงเล่นไปกว่า 516 นัด และหลังจากแขวนสตั๊ดในปี 2011 เจ้าตัวก็เริ่มเรียนโค้ชและได้รับการทาบทามจาก ราล์ฟ รังนิก กุนซือยอดผู้บริหารชาวเยอรมันให้เข้ามาเป็นผู้ช่วยของ โรเจอร์ ชมิดท์ ในทีมเรดบูล ซัลซ์สบวร์ก 

การที่รังนิกจะเลือกใครสักคน หลักเกณฑ์สำคัญ ๆ คือโค้ชคนนั้นจะต้องทำฟุตบอลในแบบที่เขาสร้างขึ้นมาให้ได้ หากให้อธิบายทั้งหมดคงกินเวลามาก สรุปสั้น ๆ ว่า ต้องเป็นโค้ชที่ทำทีมด้วยสไตล์ฟุตบอลยุคใหม่ ให้กับความสำคัญกับการเพรสซิ่งและการทรานซิชั่น (เปลี่ยนรุก-รับ และ รับ-รุก) เป็นหลัก 

ซึ่ง กลาสเนอร์ ก็ร่วมงานกับ ชมิดท์ จนทีมคว้าแชมป์ลีกออสเตรีย กอนที่ ชมิดท์ จะย้ายไปคุมทีมในบุนเดสลีกา กับ เลเวอร์คูเซ่น ส่วน กลาสเนอร์ ก็เริ่มเส้นทางกุนซือใหญ่ของตัวเองหลังจากนั้นกับทีมที่ค้าแข้งมานานเกือบ 20 ปีอย่าง เอสวี รีด 

เขาคุม รีด ได้แค่ซีซั่นเดียว สโมสรน้องใหม่อย่าง แอลเอสเค ลินซ์ ที่เล่นอยู่ในระดับดิวิชั่น 2 ของออสเตรียติดต่อ กลาสเนอร์ เข้ามาคุมทีม และสิ่งที่กลาสเนอร์เลือกก็ช็อกหลายคนไม่น้อย เพราะในขณะที่เขากำลังสร้างชื่อและมีโอกาสตามรอยชมิดท์ไปคุมทีมในเยอรมัน เขากลับเลือกลาออกจากทีมในลีกสูงสุด มาคุมทีมในดิวิชั่น 2 ของประเทศ 

"ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมโค้ชอย่างเขาถึงย้ายจากทีมในลีกสูงสุดไปคุมทีมที่เลล่นในดิวิชั่นสอง แต่ โอลิเวอร์ เข้าใจโครงการนี้ดี และเขาเชื่อมั่นในสิ่งนี้ เขาตัดสินใจถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อพยายามก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ผมคิดว่านี่คือหนึ่งในความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา นั่นคือการที่เขามองเห็นหนทางที่จะพัฒนาต่อไป" ไอก์มุนด์ กรูเบอร์ ซีอีโอของ LASK ว่าเช่นนั้น 

ตามนั้นนั่นแหละ ... กลาสเนอร์ มาที่นี่เพราะมีโครงการที่ชัดเจนและเป้าหมายที่จะเป็นแชมป์ลีกในอนาคต ที่สำคัญคือเขาได้รับสิทธิ์ในการจัดการต่างและเลือกในสิ่งที่ตัวเองอยากทำอย่างเต็๋มที่จากผู้บริหาร เขาได้รับการสนับสนุนที่ดี และเริ่มเรียนรู้ทุกอย่างจาก 1 สำหรับงานของโค้ชใหญ่ที่นี่อย่างแท่จริง

"เขามักจะเอาแบบแปลนสนามของผู้ดูแลสนามกลับบ้าน จัดทำตารางเวลาต่างด้วยตัวเองให้มีสนามอย่างน้อยหนึ่งสนามพร้อใช้เสมอในกรณีพิเศษ เขาเริ่มเรียนรู้วิธีการจ้ดการจากจุดเล็ก ๆ และจากนั้นมันค่อย ๆ ทำให้เขารับผิดชอบ และจัดแจงปัญหาหรือสิ่งต่าง ๆ ที่ใหญ่ขึ้นได้ดีในเวลาต่อมา" กรูเบอร์ยืนยัน 

กลาสเนอร์ เกือบโดนไล่ออกเพราะทำทีมจบแค่อันดับ 2 ในปีแรกของเขาที่ ลินซ์ พลาดการเลื่อนชั้น แต่ กรูเบอร์ ที่ทำงานใกล้ชิดมาตลอดยืนกรานต่อบอร์ดบริหาร และบอกว่าต้องให้เวลาและจะได้เห็นว่าฟุตบอลในหัวของเขานั้นเป็นแบบไหน ... และใช่ครับ ระบบ 3-4-2-1 ที่เป็นเครื่องหมายการค้าของเขานี่แหละ ที่ถูกคิดค้นขึ้นที่นั่น และเคยเกือบทำเขาโดนไล่ออกมาแล้ว 

ปีต่อมา ระบบ 3-4-2-1 ของเขาพาทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุด และอีก 1 ปีต่อมา ลินซ์ ก็พา ลินซ์ ไปเล่นฟุตบอลยุโรป ส่วนอีกปีต่อมาก็คือการพาทีมได้แชมป์ลีกออสเตรีย ซึ่งเป็นแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบกว่า 60 ปีของสโมสร เป็นอันว่าเขาหมดความท้าทายที่ออสเตรียแล้ว จึงขยับไปตามสเต็ปที่สูงขึ้น นั่นคือการคุม โวล์ฟส์บวร์ก ในบุนเดสลีกา เยอรมัน 

 

3-4-2-1 เขย่าเยอรมัน 

กลาสเนอร์ คุมทีม โวล์ฟสบวร์ก และใช้ระบบ 3-4-2-1 เหมือนเดิม เขาเคยบอกว่าสาเหตุที่เขาชอบใช้ระบบการเล่นนี้มากที่สุดเพราะว่าเป็น "แผนที่เหมาะกับยุคสมัยใหม่" 

กล่าวคือภายใต้ระบบนี้ ทีมจะสามารถไล่กดดันบีบแนวรับคู่แข่งได้ตั้งแต่หน้าปากประตู และสามารถลำเลียงบอลจากแดนกลางขึ้นไปแดนหน้าได้ดีมาก เขาย้ำว่าหัวใจสำคัญของระบบการเล่นนี้คือการทรานซิชั่น เวลาเสียบอลและตั้งเกมรับสามารถเล่นแบบกองหลัง 5 คนได้ และเมื่อตัดเกมได้ นักเตะที่ขึ้นมาเล่นเกมรุกจะมีจำนวนที่มากพอเช่นกัน 

"ปรัชญาของผมง่ายมาก นั่นคือการยิงประตูให้ได้ ผมอยากจะทำทีมแบบนี้ ทีมที่เข้าใจหลักการง่าย ๆ และทำงานหนักเพื่อให้ได้ยิงประตูคู่แข่ง ... เกมบุกคือธรรมชาติของนักฟุตบอลแทบทุกคน ผมเชื่อว่าตอนที่เรายังเด็กคงไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายไล่แย่งบอลและตั้งเกมรับหรอก ... ด้วยระบบการเล่นนี้เราสามารถเล่นในเกมที่มีความเข้มข้นสูงได้เป็นอย่างดี หากเลือกนักเตะที่เหมาะสมและมีความฟิตมากพอ" กลาสเนอร์ ว่าไว้เช่นนั้น 

อย่างไรก็ตาม ช่วงที่คุมทีม โวล์ฟสบวร์ก เขาได้เจอปัญหาแรกของระบบ 3-4-2-1 เขาบอกว่าทีมเสียบอลง่ายไป และครองบอลได้ไม่ดีตามที่เขาคิด โดยตลอดทั้งซีซั่นไม่มีเกมไหนที่ทีมของ กลาสเนอร์ ครองบอลได้เกิน 51% เลย ขณะที่ทีมก็จบแค่อันดับ 7 ของตารางเท่านั้น ซึ่งเป็นเป้าที่ต่ำกว่าที่ตั้งไว้ ส่วนฤดูกาลที่ 2 เขาพยายามจะแก้ไขด้วยการหานักเตะที่เหมาะสมมาเสริมทัพ แต่ก็ยังได้นักเตะที่ลงระบบได้ไม่มากพอ เขาจึงเริ่มเปลี่ยนมาเล่นแผน 4-2-3-1 เป็นครั้งแรกเพื่อให้เขาใจง่ายกับนักเตะมากที่สุด 

ว่ากันว่า กลาสเนอร์ เลือกผู้เล่นลงสนามแบบ 4-2-3-1 ก็จริง แต่เขาก็แอบสอดไส้ระบบ 3-4-2-1 ไว้โดยเฉพาะตอนที่เล่นเกมรุก ที่แบ็กจะเล่นเหมือนเป็นปีก ขณะที่ปีก 2 คนจะมีอิสระในการ "เข้านอก-ออกใน" ไม่เกาะเส้นข้างสนามเหมือนปีกทั่วไปตลอดเวลา ขณะที่กองกลางตัวรับอย่าง ซาเวอร์ ชลาเกอร์ ถอยลงเป็นสวีปเปอร์แทรกตรงกลางระหว่าง 2 เซ็นเตอร์แบ็ก เพื่อคอยเป็นตัวออกบอลจากแดนหลัง  

ระบบนี้เองทำให้เกิดการผสมผสานของ 2 แผน นั่นคือทีมต่อบอลได้ดีขึ้นในแบบของระบบ 3-4-2-1 ที่นักเตะจะขึ้นมาคุมพื้นที่เต็มสนาม ส่วนกลิ่นอายของ 4-2-3-1 คือการเข้าทำจากริมเส้นที่มากจากการครอสบอล และการมีผู้เล่นในกรอบเขตโทษมากกว่า 

ผลก็คือ โวล์ฟสบวร์ก จบท็อป 4 ในซีซั่น 2020-21 ขณะที่นักเตะที่แฟนบอลมองว่าเป็นกองหน้าสายเกมรับ มีดีแต่การวิ่งไล่บอลอย่าง เวาต์ เว็กฮอร์สต์ กลายเป็นดาวซัลโวด้วยการยิงไปถึง 25 ลูกจากทุกรายการในฤดูกาลดังกล่าว 

จบซีซั่นนั้น กลาสเนอร์ ก็ย้ายไปคุมทีมแฟรงค์เฟิร์ต มีการบอกกันว่าเหตุผลที่เขาออกจาก โวล์ฟสบวร์ก ก็เพราะว่า "น่าเบื่อเกินไป" เขาถูกจำกัดไอเดียในการทำทีมจากการสนับสนุนทางการเงินที่น้อยเกินไป อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่กับทั้งบอร์ดบริหารและนักเตะ เขาจึงเลือกแฟรงค์เฟิร์ต ที่พร้อมกว่า และแน่นอนว่าเขาอยากจะใช้ระบบ 3-4-2-1 แม้ว่าเขาจะดัดแปลงแผนนี้มาเป็น 4-2-3-1 และทำทีมได้ดีก็ตาม 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก กลาสเนอร์พบว่าสถานการณ์ยากลำบากที่ แฟรงค์เฟิร์ต ผลงานในลีกไม่ดีนัก (จบอันดับ 11) แต่ชัยชนะครั้งแรกของสโมสรเหนือ บาเยิร์น มิวนิค ในรอบกว่า 20 ปีกลับเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของทีมอย่างดี มันทำให้ผู้บริหารเห็นภาพว่า 3-4-2-1 ของเขาสามารถรับมือได้ดีมากในเกมใหญ่ ๆ เช่นนี้ ยิ่งถ้าได้เวลา รวมถึงนักเตะที่สอดคล้องกับแนวคิดการเล่น ทีมจะไปได้ไกลมาก 

นั่นเป็นเหตุผลที่ กลาสเนอร์ ไม่โดนไล่ออกตั้งแต่ซีซั่นแรก แม้ว่าในเกมลีก 13 นัดสุดท้ายเขาจะพาทีมชนะได้แค่ 2 เกมเท่านั้น แต่ในเกมเน้นผลอย่างฟุตบอล ยูโรป้าลีก นั้น ระบบ 3-4-2-1 พา แฟรงค์เฟิร์ต ไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ก่อนคว้าแชมป์มาครองด้วยการชนะจุดโทษ เรนเจอร์ส 5-4 

ที่แฟรงก์เฟิร์ต ฟิลิป คอสติช ซึ่งเล่นในตำแหน่งวิงแบ็ก เป็นนักเตะที่เปิดบอลมากที่สุดในบุนเดสลีกา 2 ปีติดต่อกัน วิงแบ็กของกลาสเนอร์กลายเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในภายใต้ระบบการเล่นนี้ ขณะที่ตัวรุกหมายเลข 10 ทั้ง 2 คน ก็แสดงให้เห็นวิธีการเล่นแบบที่สามารถเคลื่อนที่ได้อิสระเวลาอยู่นอกเขตโทษ และการขึ้นมาเป็นตัวช่วยจบสกอร์ในกรอบเขตโทษเวลาที่เปิดบอลมาจากด้านข้างด้วย 

ช่วงเวลาที่เยอรมันกับ โวล์ฟสบวร์ก และ แฟรงค์เฟิร์ต ถือเป็นช่วงประสิทธิ์ประสาทวิชา 3-4-2-1 พร้อมกับแผนสำรองอย่าง 4-2-3-1 ที่เป็นทางหนีทีไล่อย่างแท้จริง โดยเฉพาะแฟรงค์เฟิร์ตยุคของเขานั้นได้รับคำชมอย่างมากของทีมที่เล่นฟุตบอลได้ดุดันทั้งรุกและรับ ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เขาได้รับงานชิ้นใหม่ที่อังกฤษกับ คริสตัล พาเลซ ในฤดูกาล 2023-24 

 

สู่พรีเมียร์ลีก

คริสตัล พาเลซ เป็นทีมที่ยึดติดกับระบบกองหลัง 4 ตัวมานานนมภายใต้การนำของ รอย ฮอดจ์สัน ที่เน้นทำทีมอยู่รอดเป็นหลัก แต่การมาของกลาสเนอร์ เรียกได้ว่ามาในช่วงที่เขาตกผลึกแล้วว่า ระบบ 3-4-2-1 คือสิ่งที่ใช่ที่สุดสำหรับตัวเขา เขาจึงจัดการ "หักดิบ" เปลี่ยน 4-2-3-1 ที่ ฮอดจ์สัน สร้างไว้กลายเป็น 3-4-2-1 แบบที่เขาชอบทันที 

หลักการง่าย ๆ ที่หลายคนก็น่าจะเห็นคือ กลาสเนอร์ มองว่าเขาสามารถเปลี่ยนแผนได้ทันที เพราะนักเตะที่ พาเลซ มีนั้นค่อนข้างพร้อมกับระบบที่เขาเตรียมมาอยู่แล้ว โดยเฉพาะกองหน้าอย่าง ฌอง ฟิลิปป์ มาเตต้า ที่แข็งแกร่ง พักบอลได้ และจบสกอร์ดี ขณะที่ 2 ตัวรุกที่เคยเป็นปีกในยุค ฮอดจ์สัน อย่าง ไมเคิล โอลิเซ่ และ เอเบเรชี่ เอเซ่ ก็มีความสมารถที่จะเล่นได้ทั้งแบบเบอร์ 10 และตัวริมเส้นอยู่แล้ว ... ดังนั้น 3-4-2-1 จึงถูกติดตั้งและรันทันทีตั้งแต่วันแรกของเขาที่ พาเลซ 

กลาสเนอร์เข้ามาคุมทีมระหว่างฤดูกาล 2023-24 และพาทีมอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกได้แบบไม่ยากเย็น จบซีซั่นในอันดับ 10 แต่ในฤดูกาลถัดมา 2024-25 แม้มีช่วงพรีซีซั่น แต่เป็นอีกครั้งที่กลับเริ่มต้นได้ไม่สวย พาเลซ ในระบบการเล่น 3-4-2-1 ยังคงมึน ๆ งง ๆ สำหรับนักเตะ ทำให้ 8 เกมแรก พาเลซ ไม่ชนะใครเลยในลีกโดยแพ้ไปถึง 5 นัดจมอยู่ในโซนตกชั้นของลีก 

หากที่ แฟรงค์เฟิร์ต จุดเริ่มต้นคือการเอาชนะ บาเยิร์น ... ที่อังกฤษ การเอาชนะ สเปอร์ส ในเกมลีกนัดที่ 9 ก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนของ คริสตัล พาเลซ ในยุคของเขาอย่างแท้จริง จากทีมที่ชนะใครไม่เป็น เสียประตูถึง 7 จาก 8 เกม แถมมีถึง 5 เกมที่ยิงประตูคู่แข่งไม่ได้ พาเลซ กลับมามีผลงานที่ดีขึ้นจนเกมสุดท้ายของฤดูกาล แถมจบด้วยการเป็นแชมป์ เอฟเอ คัพ ด้วยการล้มทีมใหญ่อย่าง แมนฯ ซิตี้ ในนัดชิงชนะเลิศอีกด้วย 

อะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงทีมได้ไวโดยใช้เวลาไม่ต้องจบซีซั่น ... เรื่องนี้คงต้องถามหรือฟังจากปากของคนที่เคยทำงานร่วมกับเขามาตั้งแต่ที่ออสเตรีย และในเยอรมัน เราคงจะได้คำตอบที่ชัดเจนและไม่ต้องตีความมากมายให้ปวดหัว

"คนอย่างเขาต้องได้เวลาทำทีม และเชื่อเถอะว่าเขาใช้เวลาไม่นานหรอก ไม่ว่าจะที่ ลินซ์, โวล์ฟส์, ไอน์ทรัค หรือที่ คริสตัล พาเลซ เขามักจะถูกผู้คนตั้งคำถามมากมายในเวลาที่เริ่มต้นได้มาดีนัก แต่คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่จะค่อย ๆ ทำให้คุณเห็นภาพได้ชัดขึ้น และถ้าคุณได้เห็นเขาทำงาน รับรองว่าคุณจะเกิดความมั่นใจในตัวของเขาขึ้นมาทันที เพราะหมอนี่เป็นคนที่เวลาทุ่มเทอะไรเขาใส่สุดตัวจริง ๆ" กรูเบอร์ พูดถึง กลาสเนอร์ ตอนที่กำลังไปได้สวยกับ พาเลซ ในเวลานี้ 

"จุดแข็งของกลาสเนอร์คืออะไรน่ะเหรอ ? ผมคิดว่าเขาไม่เคยมีลูกทีมเป็นนักเตะระดับโลกหรอก แต่การพัฒนานักเตะระดับกลาง ๆ นี่แหละคือจุดเด่นของเขาเลย นักเตะแทบทุกคนจะเก่งขึ้นเมื่อได้ทำงานกับเขา" 

ขณะที่ตัวของ กลาสเนอร์ นั้นไม่ใช่คนที่ป่าวประกาศศักดาตัวเองมากนัก เขาเป็นคนบอกเองว่าแม้เขาจะเป็นคนที่ชอบและมักจะยึดมั่นกับระบบการเล่น 3-4-2-1 มาก แต่ก็ใช่ว่าแผนนี้จะไร้เทียมทานเสมอไป ทุกครั้งที่เจอสถานการณ์ที่บีบบังคับ หรือบางจังหวะของเขาที่อาจจะต้องการเกมรับเป็นพิเศษ หรือเกมรุกมากกว่าปกติ เขาก็มีแผน B แผน C อยู่ในมือเช่นกัน 

"ผมเล่น 3-4-2-1 เพราะเราต้องการลดจำนวนประตูที่เราเสียให้น้อยลง แม้มันอาจจะทำให้เราสูญเสียเกมรุกบางส่วนไปบ้าง แต่เราจะเริ่มด้วยการสร้างจุดแข็งให้ตัวเองกก่อน จากนั้นเราค่อยมาแก้ปัญหาที่รองลงมาตามลำดับ"

"หน้าที่ของผมคือการหานักเตะที่แสดงศักยภาพของตัวเองออกมาได้ดีที่สุดภายใต้ระบบการเล่นต่าง ๆ ที่ทีมได้วางไว้ และอย่างที่คุณเห็นว่า ผมได้พบนักเตะที่ดีที่สุดในตำแหน่งที่ผมต้องการ นักเตะอย่าง เอเซ่ นั่นก็ใช่ รวมถึง มาร์ค เกฮี และ อดัม วอร์ตัน ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ... เช่นเดียวกับนักเตะทุกคนที่เรียนรู้ที่จะปรับตัวเขากับระบบของทีมได้เป็นอย่างดี" 

"นั่นแหละคือสิ่งที่ผมพยายามทำ เรารู้จักตัวเอง และรู้จักคู่แข่ง เช่นในเกมกับ ซิตี้ (นัดชิง เอฟเอ คัพ) เรารู้ในทันทีว่าถ้าจะให้ครองบอลแข่งกับพวกเขา เราคงไม่มีโอกาสได้ชัยชนะ เพราะผมไม่เคยเห็นทีมไหนทำแบบนั้นได้ ... ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเล่นแผนอะไรก็ช่าง คุณต้องพยายามหาจุดแข็งที่แตกต่างออกไป ซึ่งในเกมนี้เราเน้นเรื่องการพยายามไล่ล่าฟุตบอลที่เข้มข้น รวมถึงลูกตั้งเตะที่ซ้อมกันมาเป็นพิเศษ ซึ่งนั่นได้ผลดีที่เดียว" กลาสเนอร์ กล่าวกับ FourFourTwo

คำถามสุดท้ายที่เชื่อว่าหลายคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้สงสัยก็คือ กลาสเนอร์ ทำอย่างไรจึงจูนระบบ 3-4-2-1 ที่ดูใหม่และวุ่นวายให้เหล่านักเตะ พาเลซ ได้เขาใจอย่างรวดเร็ว ? เขาตอบเรื่องนี้แบบตรงไปตรงมาว่า

"เกมรับคือสิ่งแรกที่ต้องทำให้มันมั่งคงที่สุด เมื่อเราสร้างเกมรับที่เหนียวแน่นและมีความแน่นอนได้ ระบบของทีมจะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นมา มันจะส่งผลมาก ๆ โดยเฉพาะกับนักเตะใหม่ ๆ ถ้าเกมรับดีพวกเขาจะจับทางได้ไว และเห็นหนทางที่จะเดินไปยังทิศทางที่ถูกต้องได้ในอนาคตอันใกล้"

"ท้ายที่สุด คือทุกคนต้องพยายามพัฒนาตัวเอง เปิดใจกว้างพร้อมรับสิ่งใหม่ ๆ และอย่าพอใจอะไรง่าย ๆ (เช่นชนะในเกมบิ๊กแมตช์) สิ่งสำคัญคือต้องรู้สึกกระหายตลอดเวลา มุ่งมั่นอยู่แล้ว ก็ต้องมุ่งมั่นต่อไปแบบไม่มีตอนจบ ... ถ้าทุกคนคิดแบบนี้ได้ นั่นแหละแปลว่าคุณกำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว"  โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ กล่าวทิ้งท้าย 

 

แหล่งอ้างอิง

https://learning.coachesvoice.com/cv/oliver-glasner-tactics-and-style-of-play/
https://en.wikipedia.org/wiki/Oliver_Glasner
https://www.nytimes.com/athletic/5866449/2024/10/26/crystal-palace-glasner-analysis/
https://www.theguardian.com/football/2025/may/16/how-ried-lask-wolfsburg-and-frankfurt-forged-fearless-oliver-glasner
https://www.fourfourtwo.com/news/they-are-lowest-and-we-are-fifth-or-sixth-in-the-league-oliver-glasner-on-the-weakness-he-spotted-in-manchester-city?utm_source=chatgpt.com

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ