แค่พูดชื่อ ลิโอเนล เมสซี่ ขึ้นมาก็แทบไม่ต้องบรรยายอะไรกันต่อสำหรับคนที่รักและคลั่งไคล้ในกีฬาฟุตบอล เพราะไม่ว่าคุณจะชอบเขาเป็นการส่วนตัวหรือไม่ สิ่งที่ทุกคนต้องยอมรับคือ ณ ตอนนี้เขาอยู่บนจุดสูงสุดของโลกฟุตบอลอย่างแท้จริง
แต่ว่าเรื่องราวของเขามันยังไม่จบลงง่าย ๆ จนเราต้องมาคิดถึงเรื่องนั้นกันต่อ เรื่องที่ว่าด้วยฟุตบอลโลก 2026 เขาจะยังดีพอ และเหมาะสมจะเป็น 1 ในขุนพลทีมชาติอาร์เจนตินา ที่จะไปป้องกันแชมป์หรือไม่ ?
ถึงตอนนั้นเขาจะอายุย่าง 40 ปี ... เมสซี่ ในช่วงอายุดังกล่าวจะทำอะไรได้บ้าง ? และทีมยังต้องการอะไรจากเขาอีก ? ร่วมวิเคราะห์สนุก ๆ กับ Main Stand
ราชานำทัพ
ในฟุตบอลโลก 2022 ลิโอเนล เมสซี่ สร้างตำนานบทใหม่ของตัวเขาเองได้สำเร็จ ด้วยการพา อาร์เจนตินา เป็นแชมป์โลก ซึ่งหากยังจำกันได้ ก่อนฟุตบอลโลกครั้งนั้นเริ่มแข่งขัน คำถามเดียวที่หลายคนตั้งแง่กับเขานั่นคือ "ถ้าเขาเป็น GOAT ของโลกลูกหนังจริง ๆ ทำไมเขาไม่เคยคว้าแชมป์โลก ?"
และเมื่อการแข่งขันจบลง พร้อมกับการที่ เมสซี่ ชูถ้วยแชมป์โลก มันก็ทำให้เกิดความรู้สึก "หมดคำถาม" ไม่ว่าจะจากแฟน ๆ หรือใคร ๆ เช่นเดียวกับตัวของ เมสซี่ ที่เหมือนกับการว่ายน้ำแตะขอบสระที่เขาพยายามจะแตะมันมานานหลายปี
บังเอิญว่าถ้ามันจบแค่ตรงนั้นด้วยการประกาศเลิกเล่นทีมชาติหลังจากคว้าถ้วยแชมป์ และรางวัล MVP ประจำทัวร์นาเมนต์ คงไม่เหลือคำถามอื่น ๆ ให้เราได้ตั้งกับเขาอีก เพราะความจริงไม่ใช่แบบนั้น เมสซี่ ยังคงไม่เลิกเล่นทีมชาติ และยังคงไม่ตัดสินใจว่า ฟุตบอลโลก 2026 ที่กำลังจะมาถึงนี้ เขาจะไปป้องกันแชมป์ร่วมกับรุ่นน้องในทีมอีกหรือไม่ ?
กรอหน้าไปอีก 1 ปี เมสซี่ จะฉลองอายุครบ 39 ปีระหว่างการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 (เจ้าตัวเกิดวันที่ 24 มิถุนายน 1987) ถึงเวลานั้น สิ่งที่จะแตกต่างออกไปจากฟุตบอลโลก 2022 นอกจากเรื่องของอายุแล้วก็คือ เขาจะไม่ใช่นักเตะคนเดิมที่สามารถเลี้ยงหลบคู่แข่ง 3-4 คนได้แบบตามใจสั่ง เมื่อไหร่ก็ได้อีกแล้ว แต่การมีเขาติดทีมไปด้วย ก็ยังมีข้อดีอีกมากมายให้พูดถึง
ประการแรก เมสซี่ คือศูนย์รวมใจของทีมชุดนี้ที่โตขึ้นมาด้วยกันยกชุด ทีมชุดนี้ของอาร์เจนตินา ถูกสร้างขึ้นโดย ลิโอเนล สคาโลนี่ กุนซือของทีมที่คัดเลือกนักเตะมาติดทีมชาติได้สมดุลทั้งในและนอกสนาม
เรียกได้ว่าเกมในสนามมีคุณภาพ ขณะที่นอกสนาม ทีม ๆ นี้ก็เป็นหนึ่งเดียวกันและทุกคนพร้อมจะทำหน้าที่ตัวเองอย่างแข็งขัน ทั้งในฐานะความภูมิใจของชาติ รวมถึงอีกหน้าที่ อย่างการทำให้ เมสซี่ รับภาระน้อยที่สุด เพื่อให้เขาได้เอาจุดแข็งของตัวเองมาใช้อย่างเต็มที่ ซึ่งจุดแข็งของ เมสซี่ มีนักเตะแค่ไม่กี่คนบนโลกนี้ที่ทำได้ นั่นคือ "การตัดสินเกม" ไม่ว่าจะเกมใหญ่และกดดันแค่ไหน เมื่อ เมสซี่ อยู่ในสนาม เขาสามารถบันดาลชัยชนะให้กับทีมได้แทบจะเสมอ
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ความรู้สึก เพราะสถิติและตัวเลขก็สามารถบอกคุณได้แบบนั้น โดย เมสซี่ ลงเล่นในเกมระดับ "นัดชิงชนะเลิศ" ทุกรายการทั้งในสโมสรและทีมชาติมาแล้ว 50 เกม ยิงประตูในนัดชิงชนะเลิศได้ทั้งหมด 35 ลูก และแอสซิสต์ไปอีก 15 ครั้ง ... เท่ากับว่าโดยเฉลี่ยในนัดชิงชนะเลิศ 1 นัด เมสซี่ จะต้องมีส่วนร่วมกับการได้ประตูของทีมอย่างน้อย 1 ลูก
ดังนั้นการที่มีนักเตะระดับนี้เดินลงสนามนำหน้าคุณ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านักเตะคนอื่น ๆ ที่เดิมตามหลัง "กัปตันเมสซี่" จะมีความรู้สึกมั่นใจและฮึกเหิมแค่ไหน ? และในเกมระดับนี้ ความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะความล่ก ความลนลาน จากความไม่มั่นใจ นำไปสู่ความผิดพลาดที่ทำให้คุณสามารถเป็นผู้แพ้ได้ในชั่วพริบตา
เมสซี่ ยังคงมีผลด้านแรงบันดาลใจอย่างไม่ต้องสงสัย นักเตะชุดฟุตบอลโลก 2022 ของ อาร์เจนตินา แทบทุกคนบอกแบบนั้น บอกตรงกันหมดว่า การมี เมสซี่ ทำให้พวกเขาพร้อมเสียสละตัวเองมากขึ้น นักเตะอย่าง โรดริโก้ เดอ ปอล เต็มใจจะถูกเรียกว่า "บอร์ดี้การ์ดในสนาม" เพื่อทำให้ เมสซี่ เปลืองตัวน้อยที่สุด
ขณะที่ดาวรุ่งที่เล่นฟุตบอลโลกครั้งแรกอย่าง ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ก็บอกว่า การได้เล่นร่วมกับ เมสซี่ เป็นโอกาสที่หาไม่ได้ง่าย ๆ ดังนั้นเมื่อเขาได้โอกาสเขาจึงทุ่มเทเกิน 100% จนมันทำให้เขากลายเป็นคนสำคัญในทีมชุดแชมป์โลก 2022
อย่างไรก็ตาม ฟุตบอลสมัยนี้จะใช้ใจอย่างเดียวก็คงไม่ไหว ดังนั้นในฟุตบอลโลก 2026 สิ่งที่ทุกคนไม่ควรลืมโฟกัสก็คือ "นอกจากเป็นขวัญกำลังใจแล้ว เมสซี่ ยังมีคุณค่าในเชิงแท็คติกหรือไม่ ?"
คำตอบคงไม่ต่างจากบอลโลกครั้งที่แล้วมากนัก แม้ เมสซี่ จะไม่สามารถวิ่งไล่เพรสซิ่งเหมือนเดิม แต่เขายังสามารถปรับบทบาทเป็น “เพลย์เมกเกอร์” ที่ใช้จังหวะการจ่ายบอลและความคิดสร้างสรรค์ช่วยปลดล็อกเกมรุกให้ดาวยิงรุ่นน้องที่เล่นด้วยกันมาหลายปีจนรู้จังหวะกันหมดแล้วทั้ง อัลวาเรซ และ เลาตาโร่ มาร์ติเนซ
แน่นอนว่าความท้าทายคือการบริหารร่างกายให้เหมาะกับทิศทางการเล่นของทีม แต่ของแบบนี้จะมีใครรู้ดีไปกว่าคนใช้งาน สคาโลนี่ เป็นอีกคนที่ เมสซี่ ให้ความเคารพในฐานะรุ่นพี่ (เคยเล่นฟุตบอลโลก 2006 ด้วยกัน) และโค้ช ดังนั้น สคาโลนี่ จึงรู้จักวิธีการใช้งาน เมสซี่ ดีกว่าใคร ในฟุตบอลโลก 2026 นี้ บางที เมสซี่ อาจจะต้องลดบทบาทมาเป็นตัวเลือกในการเล่นแบบโรเตชันบ้าง และเลือกลงเล่นเฉพาะเกมสำคัญ ๆ ที่ต้องการคนที่ลงมาสร้างความแตกต่างจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่ เมสซี่ จะต้องลงสนาม สคาโลนี่ ย่อมรู้วิธีการรีดศักยภาพของเขาออกมาให้ได้มากที่สุดเช่นกัน โดยแท็คติกแบบที่เราจะได้เห็นแน่ ๆ ก็คือการสร้างแดนกลางที่แข็งแรงพอจะคุ้มกัน เมสซี่ ซึ่งต้องยอมรับว่างานนี้จะเป็นงานที่ยากกว่า 4 ปีก่อน เพราะนอกจากตัวของ เมสซี่ อายุเยอะขึ้นแล้ว นักเตะอาร์เจนตินาชุดที่แล้วที่หลายคนก็แก่ลง อาทิ เดอ ปอล คนที่คอยระวังหลังให้ เมสซี่ ตลอดเวลา อีกทั้ง อังเคล ดิ มาเรีย ตัวริมเส้นที่วิ่งเข้าจังหวะการจ่ายของ เมสซี่ มากที่สุดก็เลิกเล่นทีมชาติไปแล้ว นี่ยังไม่รวมถึงคนอื่น ๆ
ดังนั้นภารกิจที่เคยทำได้ดีในการไล่ล่าคู่แข่งเพื่อเปิดทางให้ เมสซี่ อาจจะต้องเปลี่ยนวิธีการหรือแนวทางไปบ้าง แต่อย่างไรเสีย ถ้าเลือกใช้ให้ถูกที่ ถูกเวลา นักเตะพิเศษอย่าง เมสซี่ ย่อมมีประโยชน์มากกว่าโทษอยู่แล้ว
ทว่าถ้า เมสซี่ เกิดตัดสินใจส่งไม้ต่อสู่ยุคสมัยใหม่ และเลือกที่จะรีไทร์จากทีมชาติอาร์เจนตินาในฟุตบอลโลกครั้งต่อไปล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น ?
หากเมสซี่ไม่ไปฟุตบอลโลก 2026
หากเมสซี่เลือกอำลาทีมชาติ ไม่ไปเล่นเวิลด์คัพฉบับ สหรัฐอเมริกา–เม็กซิโก–แคนาดา ในปี 2026 อาร์เจนตินาก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริงอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในโลกของฟุตบอล เพราะไม่เคยมีนักเตะคนไหนอยู่ค้ำฟ้า แม้กระทั่งในชีวิตจริงก็ไม่ต่างกัน สิ่งที่รออยู่มันจึงเป็นการกลับสู่ความจริงตามคำกล่าวที่ว่า "ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน"
เมื่อ อาร์เจนตินา ไม่มี เมสซี่ ในทีม สิ่งที่จะหายไปไม่ใช่แค่ "เวทมนตร์ในสนาม" แต่รวมถึง "ผู้นำทางใจ" เมสซี่คือเสาหลักที่เชื่อมระหว่างนักเตะรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ หากไม่มีเขา ทีมอาจขาดตัวกลางที่ทำให้บรรยากาศที่ทุกคนต่างโฟกัสไปที่จุดเดียวกันแบบที่ทีมชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 เป็น
แต่อย่างไรเสีย เหรีญย่อมมีสองด้านเสมอ การขาดเมสซี่มีข้อเสียแน่นอนตามที่กล่าวมาทั้งหมด แต่ของแบบนี้ใช่จะการันตีว่า อาร์เจนตินาจะแย่ลงเมื่อไม่มีเขา และเหนือสิ่งอื่นใด ฟุตบอลคือกีฬาที่เล่นเป็นทีม ยิ่งฟุตบอลยุคใหม่นั้น การมีสตาร์เป็นแกนหลัก ก็ยังไม่เท่ากับทีมที่มีความพร้อมเรื่องร่างกาย ทักษะ และทัศนคติที่พร้อมจะเสียสละตัวเองเพื่อทีม เราได้เห็นมากนักต่อนัก ทีมที่ประสบความสำเร็จได้ในโมเดิร์นฟุตบอล ไม่จำเป็นต้องให้ใครคนหนึ่งมาแบกทีมเสมอไป ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือ เปแอสเช ชุดแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2024-25 นี่แหละ
ดังนั้นเมื่อเรามามองที่ข้อดีเมื่อไม่มี เมสซี่ เราจะพบว่า ทีมจะกลับมาสมดุลมากขึ้น ไม่ต้องปรับแท็คติกเพื่อปกป้องใครคนใดคนหนึ่ง ทุกคนสามารถเพรสซิ่งและเล่นด้วยพลังเต็มร้อยได้แบบฟุตบอลสมัยใหม่ ซึ่งเป็นรูปแบบการเล่นที่เหมาะกับคนหนุ่ม สด ๆ ห้าว ๆ ซึ่ง อาร์เจนตินา ก็มีนักเตะคาแร็คเตอร์ดี ๆ แบบนี้ไม่น้อย
ส่วนสิ่งสำคัญที่อาร์เจนติน่าต้องทำคือ สร้างผู้นำรุ่นใหม่ ที่ไม่จำเป็นต้องเก่งเหมือน เมสซี่ ก็ได้ แต่เป็นคนที่ทำให้ความรู้สึก "ไม่จำเป็นต้องกลัวใคร" ยังคงหลงเหลืออยู่ในจิตใจนักเตะทุกคนก่อนลงสนาม ซึ่งนักเตะที่เคยเป็นลมใต้ปีกของ เมสซี่ ในฟุตบอลโลกครั้งที่แล้ว จะต้องก้าวขึ้นมาเป็นคน ๆ นั้นให้ได้ ถึงเวลาที่พวกเขาต้องก้าวข้าม และยกระดับตัวเองขึ้นไปอีกเพื่อเป็นกระดูกสันหลังของทีมฟุตบอลโลก 2026
นักเตะอย่าง เดอ ปอล, เอมี่ มาร์ติเนซ, เลอันโดร ปาเรเดส, ลิซานโดร มาร์ติเนซ กลุ่มนักเตะพวกนี้จะกลายเป็นพี่ใหญ่ของทีม เป็นซีเนียร์ที่ต้องช่วยกันทำหน้าที่ที่ขาดหายไปในวันที่ เมสซี่ ไม่อยู่
ขณะที่กลุ่มหน้าใหม่ในครั้งที่แล้ว จะเติบโตขึ้นในฟุตบอลโลก 2026 นักเตะอย่าง เอ็นโซ่ เฟอร์นานเดซ จะอายุ 25 ปี, อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ จะอายุ 27 ปี, เลาตาโร่ มาร์ติเนซ จะอายุ 29 ปี และ คริสเตียน โรเมโร่ จะอายุ 28 ปี นักเตะเหล่านี้จะอยู่ในช่วงพีกของอาชีพค้าแข้งพอดี
และเมื่อถึงวันนั้น พวกเขาอาจจะมีศักยภาพที่พร้อมรบ พร้อมลุยทุกสถานการณ์ มีครบทั้งทักษะ เชิงบอล และประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และอาจไม่จำเป็นต้องให้ใครมาแบกแล้วก็เป็นได้
และเช่นเดียวกัน การไม่มี เมสซี่ ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าพวกเขาจะอ่อนแอลงหรือแข็งแกร่งขึ้น สิ่งที่จะบอกได้ว่าพวกเขาพร้อมจะทำหน้าที่สำคัญ ๆ เช่นนี้หรือไม่ ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้ลงสู่สนามโดยไมมี เมสซี่ เดินนำหน้าเท่านั้น
สัจธรรมของฟุตบอล เก่าไปใหม่มา
ไม่ว่าจะอย่างไร เมสซี่ ก็ไม่สามารถหนีสัจธรรมของฟุตบอลได้ แม้เขาจะเป็น GOAT เป็นตำนานหน้าหนึ่งของโลกฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่เมื่อเวลาหมุนไป ย่อมต้องมีรุ่นใหม่ขึ้นมาแทนที่ เชื่อว่าเรื่องนี้เขาก็รู้ดี และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีข่าวว่าเขาอาจจะเลิกก่อนฟุตบอลโลกเริ่มขึ้นหลุดออกมาเป็นประเด็นให้เราได้คุยกันในตอนนี้
เมสซี่ได้พาอาร์เจนตินาคว้าแชมป์โลก 2022 ปิดปากคำวิจารณ์ทั้งหมด และกลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลในโลกฟุตบอล
เมื่อคนเก่าจากไป คนใหม่ย่อมเกิดขึ้น เพียงแต่เร็วหรือช้านั้นยังไม่มีใครรู้คำตอบ แต่สิ่งที่นักเตะรุ่นใหม่ของ อาร์เจนตินา ทุกคนต้องทำแม้จะมีหรือไม่มี เมสซี่ ในสนาม นั่นคือการสืบต่อคือจิตวิญญาณ ความเป็นผู้นำ และความมุ่งมั่นที่เมสซี่เคยแสดงให้เห็น
และไม่ว่าเขาจะเลือกอยู่หรือลาในฟุตบอลโลก 2026 หนึ่งสิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนคือ "คุณค่าของตำนาน" เพราะ เมสซี่ อยู่ในจุดที่รอยด่างพร้อยในสนามในปัจจุบัน หรือแม้แต่ในอนาคตจะไม่สามารถลบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เขาทำในอดีตได้อีกแล้ว
ไม่มีบทพิสูจน์ไหนที่ทุกคนตั้งคำถามกับเขา ยกเว้นเสียแต่ว่าเขาจะเป็นคนตั้งโจทย์ใหม่ขึ้นมาเองเช่น "การป้องกันแชมป์โลก" ที่แม้แต่ ดิเอโก้ มาราโดน่า บุรุษลูกหนังผู้ที่ชาวอาร์เจนตินาขอคารวะก็ยังไม่สามารถทำได้
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวว่าระหว่าง เมสซี่ และ มาราโดน่า ใครเก่งกว่าใครอีกแล้ว เพราะถ้าท้ายที่สุดหาก เมสซี่ ตัดสินใจเช่นนี้ กำไรย่อมตกอยู่กับแฟนบอลอย่างเรา ๆ แน่ ฟุตบอลโลก 2026 จะเป็นเวที Last Dance ของเขาแบบที่แฟนบอลรอคอยไม่ต่างจากวันที่ GOAT แห่งวงการกีฬาโลกอย่าง ไมเคิล จอร์แดน เคยสร้างปรากฏการณ์เมื่อครั้งอดีตแน่นอน
สุดท้ายของการตั้งข้อสันนิษฐานถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นทั้งหมดที่เรากล่าวมาก็คือ ไม่ว่า ลิโอเนล เมสซี่ จะยืนอยู่ในสนามปี 2026 หรือเฝ้ามองอยู่บนอัฒจันทร์ ตำนานก็ยังคงเป็นตำนาน ไม่มีใครลบคุณค่าที่เขามอบให้กับฟุตบอลอาร์เจนตินาและโลกฟุตบอลได้เลย