เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ เกิดที่ยอร์คเชียร์ ประเทศอังกฤษ ในช่วงเวลาที่ อัลฟ์ อิงเก้ ฮาลันด์ พ่อของเขายังค้าแข้งอยู่ในพรีเมียร์ลีกกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด และ แมนฯ ซิตี้ ตามลำดับ
ทว่าเมื่อพ่อของเขาเลิกเล่น ครอบครัวฮาลันด์ย้ายกลับไปอยู่นอร์เวย์อีกครั้ง และ "อัลฟี่" นำ "เออร์ลิ่ง" ไปฝึกฟุตบอลกับสโมสร บริน เอฟเค จนเป็นจุดเริ่มต้นของหนึ่งในกองหน้าแห่งยุคในตอนนี้
นอกจากนี้ สโมสรแห่งนี้ยังเป็นไวรัลบนอินเตอร์เน็ต ด้วยการแจกรางวัลนักเตะของตัวเองกับของรางวัลที่แตกต่าง ไม่ใช่ถ้วยรางวัล หรือแชมเปญ แต่เป็น ไข่ไก่, นม, ฟืน หรือแม้กระทั่งลูกแกะ
นี่คือเรื่องราวทั้งหมดของสโมสรเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยสตอรี่และลมหายใจของผู้คนในเมือง ที่ Main Stand ไม่อยากให้คุณพลาด
สโมสรชาวนาที่เลือกสร้างคนก่อนสร้างแชมป์
สโมสร บริน เอฟเค คือหนึ่งในทีมฟุตบอลที่มีประวัติศาสตร์น่าสนใจที่สุดของนอร์เวย์ โดยเฉพาะในแง่ของการพัฒนาเยาวชน เพราะที่นี่คือ "บ้านหลังแรก" ของ เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาลันด์ ที่ตอนนี้กลายเป็นกองหน้าแห่งยุคไปแล้ว
ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ พวกเขาก่อตั้งสโมสรฟุตบอลขึ้นมาในปี 1926 โดยกลุ่มชาวเมืองที่รักกีฬาฟุตบอล เป้าหมายในตอนแรกนั้นไม่ได้มีอะไรมากมายไปกว่าการการสร้างพื้นที่ให้เยาวชนในท้องถิ่นได้เล่นกีฬาอย่างมีระบบ เรียกได้ว่าผู้คนในเมืองและสโมสรแห่งนี้พยายามยืนขึ้นด้วยวิธีการเกื้อกูลกันและกันตั้งแต่วันแรก
สโมสรนี้ตั้งอยู่ในเมือง บริน ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศนอร์เวย์ ที่ถึงแม้จะไม่ใช่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจหรือเมืองท่องเที่ยวใหญ่โตอะไร แต่ก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว และมีความสำคัญในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะในด้านการเกษตร
พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองนี้ เป็นพื้นที่ชนบทที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของนอร์เวย์ มีฟาร์มปศุสัตว์, ฟาร์มโคนม, การเพาะปลูกพืชในเรือนกระจก และพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่ วิถีชีวิตแบบเกษตรกร ถือเป็นวิถีชีวิตที่อาจจะไม่ได้ทำให้ผู้คนในเมืองนี้มีรายได้เทียบเท่ากับเมืองอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในประเทศ แต่ดูเหมือนว่าการเป็นเกษตรกร คือรากที่พวกเขาภาคภูมิใจ และส่งต่อแนวคิดนี้มาหลายชั่วอายุคน
แม้แต่ ฮาลันด์ ยังเคยพูดถึงช่วงชีวิตที่เขาได้อาศัยในเมืองบริน และเล่นให้กับสโมสรแห่งนี้ว่า เป็นที่ที่สร้างอิทธิพลต่อความฝันในชีวิตของเขาอย่างมาก ซึ่งฝันนั้นไม่ใช่นักเตะที่เก่งที่สุดในโลก แต่มันคือการได้ใช้วิถีชีวิตแบบบรรพบุรุษ สงบ เรียบง่าย ควบคู่กับบทบาทนักฟุตบอลอาชีพ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ ฮาลันด์ ฝันอยากจะมีฟาร์มวัวนมเป็นของตัวเองในสักวัน
"ตอนนี้ผมยังไม่มีวัวเป็นของตัวเอง แต่แน่นอนว่าในอนาคตผมจะซื้อวัวแน่นอน ผมฝันอยากจะมีฟาร์มเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง ถ้าผมแขวนสตั๊ดขึ้นมาผมมองตัวเองว่าผมจะอยู่ท่ามกลางวงล้อมของสัตว์หลาย ๆ ชนิด"
"ผมแค่อยากจะตื่นเช้า ๆ โดยไม่ต้องมีนาฬิกาปลุก กินอาหารเช้าดี ๆ แล้วก็ผ่อนคลายกับมัน ... เพราะการเอาฟุตบอลมาเป็นอาชีพที่ไม่ง่ายเลย พวกเราเหล่านักเตะต่างใช้ชีวิตอยู่กับความกดดันเป็นอย่างมาก ดังนั้นผมจึงต้องหาอะไรทำหลาย ๆ อย่างนอกเวลาของฟุตบอลเพื่อให้จิตใจผมยังสงบได้" แม้จะอยู่ที่นี่ไม่นานแต่ ฮาลันด์ ก็รับอิทธิพลของชุมชนนี้ไปเต็ม ๆ
ดูแลตัวเองให้แข็งแรง สร้างประโยชน์ให้ชุมชน และพัฒนาสิ่งรอบตัวโดยเริ่มจากตัวเอง ... สโมสร บริน เกิดขึ้นด้วยแนวคิดของเมือง ๆ นี้มาผสมผสานกับการเป็นสโมสรฟุตบอล และที่สุดแล้วพวกเขาก็มีแนวคิดที่เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร เพราะพวกเขาเลือกสร้างคนให้แข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจเป็นอันดับแรก จากนั้นเรื่องความสำเร็จจากแชมป์และถ้วยรางวัลเป็นเรื่องรองลงมาหรือผลพลอยได้เท่านั้น
เพียงแต่ว่าด้วยความเรียบง่ายของพวกเขาที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง มันกลับทำให้ทีม ๆ นี้กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงกว้าง
มีสไตล์ก็สำเร็จได้ในแบบของเรา
แม้จะบอกว่าไม่ได้หวังแชมป์หรือประสบความสำเร็จระดับสูง แต่ด้วยโครงสร้างของสโมสรบริน และวัฒนธรรมแบบเกษตรกรของเมืองนี้ ก็ทำให้พวกเขายิ่งใหญ่เกินกว่าจะเป็นแค่ทีมหมู่บ้าน ลงเล่นแต่ในลีกกึ่งอาชีพไปวัน ๆ เท่านั้น
โดยหลักแล้ว บริน ไม่ได้พยายามซื้อตัวนักเตะราคาแพง แต่ลงทุนในการสร้างระบบเยาวชนที่มีคุณภาพ ตั้งแต่ระดับอายุไม่เกิน 10 ปี ไปจนถึง U19 โดยมีระบบการสอดแทรกเทคนิคแบบเยอรมัน-นอร์ดิก เน้นพละกำลัง ความเข้าใจเกม และระเบียบวินัย ... และทั้งหมดนี้พวกเขาแทบจะขับเคลื่อนกันเองโดยที่ไม่ต้องจ้างงานคนนอกเลยด้วยซ้ำ
เนื่องจากสโมสรดำเนินงานโดยมีพื้นฐานจากความเป็น "ทีมของเมือง" ซึ่งส่งผลให้มีอาสาสมัครจากชุมชนเข้ามาช่วยงานหลายด้าน ตั้งแต่ดูแลสนาม คุมซ้อมและช่วยคุมซ้อมนักเตะเด็ก ไปจนถึงพนักงานฝ่ายจัดการแข่งขันต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดก็เป็นการจ้างงานคนท้องถิ่นแทบทั้งหมด
นอกจากนี้ บริน ยังเน้นการใช้ทรัพยากรบุคคลในท้องถิ่นที่มีคุณภาพ เช่น อดีตนักเตะมาเป็นโค้ช, จับมือกับสถาบันการศึกษาในเมืองของตัวเองเพื่อสร้างเส้นทางฟุตบอลการศึกษา
ถ้าคุณสงสัยว่า ทำไมพวกเขาที่ใช้แต่คนในท้องถิ่นเป็นหลักในการขับเคลื่อนสโมสร แต่ก็ยังสามารถขับเคลื่อนทีมไปข้างหน้าถึงระดับที่ทำให้ทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยในประเทศ และคัมแบ็คกลับมาลงสนามในลีกสูงสุดของประเทศได้ในฤดูกาลนี้ ก็คงต้องย้อนกลับไปที่บ้านเมืองของพวกเขาในระดับที่ใหญ่กว่าชุมชน นั่นคือนโยบายระดับประเทศซึ่งทำให้แม้แต่คนเลี้ยงวัว หรือพ่อค้าผักผลไม้ สามารถรู้เรื่องฟุตบอลในระดับพื้นฐานเป็นอย่างดี
เนื่องจากในประเทศแถบสแกดิเนเวียอย่าง นอร์เวย์ เป็นประเทศที่มีแนวคิดแบบ "Friluftsliv" หรือ "ฟรีลุฟท์สลิฟ" แปลความหมายว่า "การออกไปใช้ชีวิตนอกสถานที่" ซึ่งขยายความเข้าไปอีก ก็คือการผลักดันให้ผู้คนออกจากบ้าน ไปทำกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่สาธารณะ เพื่อหาความสุขให้กับตัวเอง
หากจะอ้างอิงว่า แนวคิดนี้เกิดขึ้นในแถบประเทศสแกนดิเนเวีย ได้อย่างไร ต้องย้อนไปมองถึงสภาพสังคม ที่มีระบบรัฐสวัสดิการ สนับสนุนให้ประชาชนมีเวลาว่าง นอกเหนือจากเวลาทำงาน เพื่อเอาเวลาในจุดนั้นไปทำกิจกรรมส่วนตัว ซึ่งในส่วนของงานด้านฟุตบอลนั้น ที่ประเทศนอร์เวย์จริงจังกับเรื่องนี้มาก รัฐบาลของพวกเขาถึงขั้นมีนโยบายส่งเสริมกีฬา เพื่อให้ประชาชนสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองในเวลาว่างได้ โดยที่รัฐบาลจะจัดหาโครงการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมด้านต่าง ๆ ให้ตามเหมาะสม
ในส่วนของกีฬาฟุตบอลนั้น ก็มีหลักสูตรฟรีเปิดสอนให้กับผู้คนในชุมชนต่าง ๆ ทำให้แม้พวกเขาจะทำเป็นงานอดิเรก แต่พวกเขาก็ยังมีองค์ความรู้พื้นฐาน ที่ทำให้สโมสรขับเคลื่อนด้านฟุตบอลไปข้างหน้าได้ และเราต้องพูดถึงชื่อ ฮาลันด์ อีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าองค์ความรู้ที่รัฐบาลของพวกเขามอบให้ประชาชน "ฟรี" สามารถกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องที่ยิ่งใหญ่ได้แค่ไหน
มีการเปิดเผยหลักสูตรการสร้างนักเตะในประเทศนอร์เวย์ อันเป็นสาเหตุที่ในระยะหลังพวกเขามีนักเตะอย่าง ฮาลันด์, มาร์ติน โอเดการ์ด หรือแม้แต่คนอื่น ๆ ในรุ่นราวคราวเดียวกัน ได้แก่ การเริ่มโฟกัสที่การสร้างร่างกายและความเร็วตั้งแต่ยังเด็กเพราะรู้ว่ามีพันธุกรรมที่ดี จากนั้นก็ให้นักเตะพยายามหาตัวเองโดยไม่มีตำแหน่งตายตัวในวัยเด็ก โดย ฮาลันด์ เล่าว่า เขาเคยโดนจับเล่นตั้งแต่กองกลาง ปีก และกองหน้า มาหมดแล้ว เพื่อสร้างมุมมองต่อเกมฟุตบอลแบบรอบด้าน
และท้ายที่สุด เมื่อได้เวลาอันเหมาะสม นักเตะเก่งเกินกว่าจะอยู่ในระบบบ้าน ๆ ที่ดูแลกันเอง พวกเขาก็ส่งต่อให้กับสโมสรใหญ่ที่มีความพร้อมมากกว่า อย่างที่เขาปล่อยตัว ฮาลันด์ ให้สโมสรระดับประเทศอย่าง โมลด์ รับช่วงต่อ ก่อนจะย้ายไปอยู่ ซัลซ์สบวร์ก, ดอร์ทมุนด์ และ แมนฯ ซิตี้ ตามลำดับ
เอกลักษณ์ที่เงินซื้อไม่ได้
นอกจากการเป็นสโมสรฟุตบอลเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเมืองแล้ว บริน เอฟเค ยังกลายเป็นสโมสรที่โดดเด่นขึ้นมามากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากการที่พวกเขาใช้จุดเด่นของตัวเองในการเป็นสโมสรฟุตบอลในดินแดนเกษตรกรรม นำเสนอตัวเองจนสื่อระดับโลกต้องลงข่าว
พวกเขาทำได้ด้วยวิธีที่ง่ายและเป็นตัวเองแบบสุด ๆ ด้วยการเอาผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่นออกมาเป็นรางวัลพิเศษสำหรับนักเตะที่ได้รางวัล Man of the Match แทนที่พวกเขาจะมอบถ้วยรางวัล หรือแชมเปญสักขวด พวกเขาเอาไข่ไก่, ลูกแกะ (ตัวเป็น ๆ), นมวัวออร์แกนิก และแม้แต่ฟืนสำหรับใช้ผิงไฟในฤดูหนาว จนเว็บไซต์ หรือเพจฟุตบอลต่าง ๆ ถึงกับแซวว่า "มุกตลกยุคใหม่มันต้องแบบนี้ คุณจะเอาถ้วยรางวัลไปเพื่ออะไร มันทำให้คุณอิ่มท้องเท่ากับนมวัวออร์แกนิกกับไข่ไก่สด ๆ จากธรรมชาติพวกนี้หรือเปล่า ?"
หลายคนบอกว่านี่อาจจะเป็นมุกทำให้ดูตลก แต่อย่างที่ได้กล่าวไปพวกเขาทำแบบนี้เพื่อสื่อถึง "ความภาคภูมิใจในรากเหง้าทางการเกษตร" ของชุมชน ซึ่งกลายเป็นว่ามันกลายเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนสนใจทีม ๆ นี้มากขึ้น ถึงขั้นที่มีบล็อกเกอร์ หรือนักข่าวฟุตบอลจากประเทศต่าง ๆ เดินทางมาดูการแข่งขันของสโมสรบรินมากขึ้น จนพวกเขามีค่าเฉลี่ยแฟนบอลเข้าสนามตกเกมละ 2,500 คน (ความจุของสนามอยู่ที่ราว ๆ 4,200 คน)
ความสนุกและภูมิใจแบบเกษตรกรยังคงดำเนินต่อไป ณ ตอนนี้ พวกเขาได้เพิ่มตั๋ว VIP ให้แฟน ๆ จำนวน 4 ที่นั่ง ที่จะได้ดูบอลสุดพิเศษจากบุ้งกี๋ของรถไถ ที่ตกแต่ง บุนวมให้นุ่ม นั่งสบายและยกสูงเพื่อให้เห็นเกมได้ชัดขึ้น ซึ่งไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเป็นบัตร VIP ที่ยอดคิวจองเต็มทุกเกม หลายคนบอกว่าแม้จะนั่งไม่ค่อยสบายและเสียวตกอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเสน่ห์ที่แฟนบอลขาจรและขาประจำอยากจะลองสัมผัสความแปลกนี้ดูสักครั้ง
วิล คอลเลจ บล็อกเกอร์ชาวอังกฤษรายหนึ่งเขียนถึงทริปไปดูบอลที่ บริน ว่า เป็นประสบการณ์ที่สุดยอด แปลกใหม่ และเข้าถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นของคนที่นั่นจริง ๆ เพราะระหว่างเกม แฟนบอลของ บริน จะมีท่อนหนึ่งที่จะตะโกนพร้อมกันแบบแปลเป็นไทยว่า "เราคือชาวนา มันคือวิถีที่เราแสนภาคภูมิใจ !" ซึ่งสะท้อนการยอมรับและภาคภูมิใจกับความเป็นชนบทของพวกเขาอย่างแท้จริง
"การเดินกลับไปยังสถานีรถไฟเป็นเพียงทางสั้น ๆ ที่ทำให้ผมได้มีเวลามากพอที่จะไตร่ตรองสิ่งที่ได้พบเจอในการมาเยือนสนามแห่งนี้"
"ในขณะที่เสียงเฉลิมฉลองค่อย ๆ เงียบหายไปจากการที่เราเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ เราได้เห็นวิถีของแฟนบอลที่ดี ที่ปฏิบัติกับนักเตะในสโมสรเหมือนเป็นคนในครอบครัวพวกเขา นักเตะจะออกมาพูดคุยและพบปะกับแฟนบอล ขณะที่แฟน ๆ ก็จะมีปาร์ตี้ส่วนตัวเล็ก ๆ ที่ต้อนรับทุก ๆ คนที่เดินผ่าน แม้กระทั่งคนนอกอย่างผม"
"ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับสโมสรนี้ ทั้งการแข่งขัน สนาม และงานปาร์ตี้ รวมถึงการต้อนรับจากคนท้องถิ่น ทำให้ บริน กลายเป็นสถานที่สุดแสนพิเศษในคืนวันเสาร์ที่คุณไม่อยากแค่ดูฟุตบอล แต่อยากสัมผัสถึงชีวิตผู้คน ... ผมหมดข้อสงสัยทั้งหมดว่ามันคุ้มหรือไม่ที่ผมเดินทางมาที่นี่ ตั้งแต่ตอนที่ผมได้รับการโอบกอดต้อนรับในฐานะส่วนหนึ่งของสโมสร แม้ว่าคุณจะเป็นเพียงแค่คนเดินผ่านมาก็ตาม"
แหล่งอ้างอิง
https://www.goal.com/en/lists/erling-haaland-s-former-club-hands-out-four-trays-of-eggs-to-goalkeeper-man-of-the-match-display/blt5415d04d6703e739
https://www.bbc.com/sport/football/articles/cgenyd0q89no
https://www.nichefootballjournalism.co.uk/writings/farmers
https://www.reuters.com/sports/soccer/eggs-milk-tractors-norways-bryne-embrace-farmers-league-tag-2025-04-08/
https://sportsgazette.co.uk/ett-liv-en-klubb-bryne-fk-erling-haaland-and-a-21-year-odyssey/