จาก "ไดโนเสาร์ตัวสุดท้าย" ที่ไม่เคยตกชั้นตลอดประวัติศาสตร์บุนเดสลีกา สู่การเฝ้ารอคอยที่ยาวนานกว่า 7 ปี …
ฮัมบูร์ก เอสเฟา ผ่านทั้งความผิดหวัง ความเจ็บปวด และบทเรียนราคาแพงมากมาย ก่อนที่ในฤดูกาล 2024-25 พวกเขาจะทำสิ่งที่แฟนบอลทั่วทั้งเมืองเฝ้ารอ นั่นคือการพาทีมกลับคืนสู่ลีกสูงสุดของเยอรมนีอีกครั้ง
เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ? ติดตามกับ Main Stand
ไดโนเสาร์ตัวสุดท้าย
"พวกเราไม่เคยตกชั้น พวกเราคือแชมป์ลีกสูงสุดเยอรมนี 6 สมัย, แชมป์ เดเอฟเบ โพคาล 3 สมัย, แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 1 สมัย"
คำคุยโวที่ดังออกไปพร้อมกับเสียงนาฬิกาที่ดังต่อเนื่องที่ โฟล์คสปาร์คสตาดิโอน มันไม่ใช่นาฬิกาที่มีเข็มยาวและเข็มสั้นเหมือนกับทุกที่ มันเป็นนาฬิกาแบบเดียวในโลกที่ไม่มีใครเหมือน
นาฬิกาที่นับเวลาเดินหน้า ปี, เดือน, วัน, นาที และ วินาที ที่สโมสรของพวกเขายังคงดำรงอยู่ในบุนเดสลีกา ลีกสูงสุดของเยอรมนี ที่ก่อตั้งเมื่อปี 1963
พวกเขาเรียกตัวเองว่า "Der Dino" หรือ "ไดโนเสาร์" นั่นคือฉายาของพวกเขาเองด้วย (ต่างจากคนไทยที่รับทราบฉายาของทีมนี้ว่า "สิงห์เหนือ" เพราะอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเยอรมนี)
คนมักเข้าใจคำว่า ไดโนเสาร์ ของพวกเขา เป็นการอยู่ยงคงกระพัน ไม่ตายง่าย ๆ เพราะไดโนเสาร์แสดงถึงความเก่าแก่ ยิ่งใหญ่ ทรงพลัง ... แต่ท้ายที่สุดก็เป็นอย่างที่เรารู้กัน ต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหน ในที่สุดไดโนเสาร์ก็ต้องสูญพันธุ์ เช่นเดียวกันกับ ฮัมบูร์ก ที่ได้พบเจอการตกชั้นครั้งแรกในฤดูกาล 2017-18
เหตุผลที่พวกเขา "พลาด" ก็เพราะการตามโลกฟุตบอลยุคปัจจุบันไม่ทัน ในขณะที่ทีมอื่น ๆ ในเยอรมัน ยึดมั่นกับระบบการสร้างเยาวชนของตัวเอง หรือเลือกซื้อนักเตะที่ค่าตัวถูก ค่าเหนื่อยไม่แพง แต่เข้าระบบมาเล่น ฮัมบูร์ก เกิดอาการจมไม่ลง เลือกนักเตะจากดีกรี ยอมจ่ายแพงกว่าคนอื่น แต่ด้วยสายตาที่ไม่แหลมคม และงบประมาณที่ไม่มากพอ พวกเขาจึงได้นักเตะที่ไม่สามารถช่วยทีมได้สัมพันธ์กับค่าจ้าง
บวกกับเหตุการณ์นับตั้งแต่ปี 2014 ที่เกิดการเมืองภายในรั้วสโมสรยุ่งเหยิงถึงขีดสุด เริ่มจากการแยกส่วนของสโมสรฟุตบอล ออกจากสโมสรกีฬาสมัครเล่นของฮัมบูร์ก แยกฐานของแฟนกีฬาออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน และมีการเปลี่ยนตำแหน่งผู้บริหารในทีมหลายตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้อำนวยการด้านการตลาด, หัวหน้าฝ่ายบริหาร ที่สำคัญคือตำแหน่งซีอีโอของสโมสร ที่เดิมพวกเขามีคนเก่าแก่ฝีมือดีอย่าง ดีทมาร์ เบียร์สดอร์เฟอร์ ที่รับงานมาหลายตำแหน่ง ทั้งผู้อำนวยการกีฬาระหว่างปี 2002-2009 ก่อนมารับหน้าที่ซีอีโอระหว่างปี 2014-2016 และเป็นผู้อำนวยการด้านฟุตบอลอาชีพช่วงสั้น ๆ ในปี 2016 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นช่วงที่ทีมคว้านักเตะระดับสตาร์ และไปแตะฟุตบอลยุโรปได้บ้าง
หลังจากการจากไปของซีอีโอคนเก่า พวกเขามีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งด้านบริหารหลายต่อหลายครั้ง ทำให้นโยบายของสโมสรชะงักไม่เว้นแต่ละปี และยังไม่รวมถึงการปล่อยนักเตะชั้นยอดออกไปจากทีม ตัวเก๋าอย่าง ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท ที่กลับมาเล่นให้กับทีมเป็นคำรบสองในปี 2012 ย้ายออกไปในปี 2015 ขณะที่ดาวโรจน์อย่าง ซน ฮึง มิน และ ฮาคาน ชาลาโนกลู ถูกปล่อยไปให้กับไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในปี 2013 และ 2014 ตามลำดับ
นั่นคือความเละเทะของฝ่ายบริหาร ซึ่งในเมื่อด้านบนยังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาขนาดนั้น การทำงานด้านล่างก็คงไม่ต่างกัน และเป็นอย่างที่ทุกคนคิด ฮัมบูร์กเปลี่ยนผู้จัดการทีมไปถึง 10 คน นับตั้งแต่ปี 2010 ถึงปี 2017
ส่วนสภาพทีม หากคุณนึกภาพไม่ออกว่า ฮัมบูร์ก มีรูปร่างหน้าตาที่น่าสลดแค่ไหน ก็ลองนึกภาพตามว่าฤดูกาล 2016-17 กัปตันทีมของพวกเขาคือ โยฮัน ฌูรู อดีตปราการหลังจอมเหวอของ อาร์เซน่อล และเมื่อฤดูกาล 2017-18 เริ่มขึ้นก็สลดไม่ต่างกัน พวกเขามีแต่นักเตะที่เด็กเกินไป และแก่เกินไป เหนือสิ่งอื่นใดคือคุณภาพทีมโดยรวมแย่หนัก ท้ายที่สุด "The dinosaur is extinct" ลมหายใจสุดท้ายของสิงห์เหนือ ดับลงพร้อมกับเข็มวินาทีสุดท้ายที่หยุดลง สถิติบอกว่า ฮัมบูร์กอยู่ในบุนเดสลีกาเป็นเวลา 54 ปี 261 วัน 36 นาที 8 วินาที
ชีวิตหลังตกชั้น
หลังตกชั้นมาอยู่บุนเดสลีกา 2 ในฤดูกาล 2018-19 หลายคนคิดว่าฮัมบูร์กจะกลับขึ้นมาได้ทันที เพราะพวกเขายังถือว่าเป็นทีมใหญ่ มีทรัพยากรและฐานแฟนบอลมหาศาล ทว่าความจริงกลับตรงกันข้าม
หลัก ๆ แล้วพวกความผิดพลาดก็คือการยังไม่ตื่นรู้ พวกเขายังคงลงทุนกับผู้เล่นชื่อดังและมีค่าเหนื่อยสูง แต่หลายครั้งได้ผลลัพธ์ไม่คุ้มค่า นักเตะที่ควรเป็นคีย์แมนกลับไม่สามารถพาทีมไปถึงเป้าหมาย บางรายยังถูกมองว่าเป็นการซื้อเพื่อตอบโจทย์การตลาดมากกว่าฟุตบอล
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือเรื่องของโค้ชที่ยังคงจับหลักที่ถูกต้องไม่ได้ ช่วง 6 ปีในลีกา 2 ฮัมบูร์กเปลี่ยนโค้ชหลายครั้ง เช่น คริสเตียน ติทซ์, ดีเตอร์ เฮ็คกิง, ทิม วาลเตอร์ แต่ละคนมีสไตล์ที่แตกต่างกัน ทำให้ทีมไม่สามารถสร้างเอกลักษณ์ชัดเจน ถ้าให้ลองคิดภาพง่าย ๆ มันคล้าย ๆ กับการแต่งตั้งโค้ชที่เล่นระบบ 4-4-2 และซื้อนักเตะที่เล่นในระบบดังกล่าวไว้มากมาย สุดท้ายพวกเขาก็เปลี่ยนโค้ชใหม่เป็นระบบ 3-4-3 ทำให้นักเตะเก่าที่เคยซื้อมาใช้งานไม่ได้ ทำให้โค้ชต้องปวดหัวกับนักเตะที่มี
ครั้นจะซื้อใหม่ พวกเขาก็ไม่ได้มีเงินมากมายเหมือนในตอนเล่นในลีกสูงสุดอีกแล้ว ซึ่งท้ายที่สุดก็เป็นผลงานย่ำแย่แก้ไม่ตก แม้ไม่ถึงขั้นจะหนีตกชั้นหรือเป็นทีมค่อนล่างของตาราง แต่ ฮัมบูร์ก ก็ยังห่างไกลกับคำว่าเลื่อนชั้นที่เป็นเป้าสูงสุดของพวกเขาอยู่ดี
ปีที่ใกล้เคียงต่อการเลื่อนชั้นที่สุดเกิดขึ้นในฤดูกาล 2021-22 ฮัมบูร์ก จบอันดับ 3 ได้สิทธิ์เพลย์ออฟเลื่อนชั้น พบกับ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน อันดับ 16 ของบุนเดสลีกาฤดูกาลดังกล่าว พวกเขาบุกไปชนะ 1-0 ในเลกแรก แต่กลับแพ้คาบ้าน 0-2 ทำให้ชวดเลื่อนชั้นไปอย่างเจ็บปวด อีกครั้งที่ใกล้เคียงคือฤดูกาล 2022-23 ที่พวกเขาต้องการเพียงชัยชนะนัดสุดท้ายเพื่อคว้าอันดับ 2 ของลีก แต่ก็พลาดไปอีก จนท้ายที่สุดก็จบแค่ที่ 3 และเพลย์ออฟแพ้ สตุ๊ตการ์ท ไปอีกครั้ง
ตลอดเวลาหกปีในลีกา 2 นั้น ฮัมบูร์กถูกมองว่าเป็นทีม "ใจไม่แข็งพอ" แม้คุณภาพจะเหนือกว่าคู่แข่ง แต่ขาดความนิ่งในช่วงชี้ตา สั่นเดิมพันและแพ้ภัยตัวเองเป็นประจำ โชคยังดีที่พวกเขาพยายามแก้ไขมันให้ดีขึ้น จนกระทั่ววันของพวกเขามาถึง
การกลับมาของไดโนเสาร์
ฤดูกาล 2024-25 กลายเป็นปีที่แตกต่างออกไปสำหรับฮัมบูร์ก พวกเขาสามารถเลื่อนชั้นกลับสู่บุนเดสลีกาได้สำเร็จ หลังจากพลาดมาหลายครั้ง สิ่งที่แตกต่างคือพวกเขากลับมามองที่การวางรากฐานที่มั่นคงมาสักพัก และมันเริ่มผลิดอกออกผลในซีซั่นดังกล่าว เนื่องจากสโมสรหันมาใช้แนวทางพัฒนานักเตะเยาวชนผสมกับผู้เล่นประสบการณ์สูง ไม่ทุ่มซื้อเกินตัวเหมือนอดีต ซึ่งเรื่องนี้ต้องให้เครดิตกับ คลอส คอสต้า ผู้อำนวยการกีฬาหนุ่มไฟแรงของทีม ที่นำพาแนวคิดใหม่ในการเสริมทัพ-สร้างเยาวชนให้กับทีม ๆ นี้
นักเตะที่ย้ายเข้ามาใหม่อย่าง ดาวี่ เซลเก้ ที่ดึงมาฟรีจาก โคโลญจน์ , ลูคัสซ์ โพเรบา, ดาเนี่ยล เอลฟาดี้ หรือแม้กระทั่งดาวรุ่งชาวเช็คอย่าง อดัม คาราเบ็ค กลายเป็นนักเตะที่มีส่วนร่วมกับทีมในซีซั่นที่ผ่านมาแทบจะในทันทีภายใต้การทำทีมของ สเตฟเฟน บอมการ์ท กุนซือวัย 53 ปี ที่ปรับจูนทีมได้ทันที ผลงานดีชนิดที่ว่า 10 เกมแรกแพ้แค่หนเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้เขาถูกดึงตัวไปคุมทีมในลีกสูงสุดอย่าง อูนิโอน เบอร์ลิน
แต่ก็โชคยังดีที่ผู้ช่วยของ บอมการ์ท อย่าง เมอร์ลิน โพลซิน ที่ไม่เคยประสบการณ์คุมทีมใดเลยในระดับอาชีพ ถูกดันขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่เต็มตัวเพื่อสานงานของ บอมการ์ท ต่อ ซึ่งเขาก็รักษารากฐานของทีมเอาไว้ได้ ทั้งบรรยากาศในห้องแต่ตัวที่ยอดเยี่ยม หรือแม้กระทั่งวิธีการเล่นที่ตอนนี้ พวกเขาเล่นแบบโมเดิร์นฟุตบอลเต็มตัว ทีมเต็มไปด้วยนักเตะที่พร้อมเสียสละตนเพื่อทีม เล่นเกมรุก-รับ ด้วยกันทั้งทีม และคงระเบียบวินัย เชื่อมั่นในระบบตามสไตล์ฟุตบอลเยอรมัน ซึ่งนั่นทำให้แม้จะเปลี่ยนโค้ช แต่ก็แทบไม่เกิดความต่างเลย
ภายใต้ระบบการเล่น 4-3-3 เน้นการควบคุมเกมในแดนกลาง, เร่งจังหวะเกมรุก, และใช้ความเร็วจากริมเส้นที่เล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่ได้คือฮัมบูร์กกลับมาเป็นทีมที่เล่นสนุกอีกครั้ง พวกเขาแพ้น้อยที่สุดในลีกเมื่อซีซั่นที่แล้ว และยังเป็นทีมที่ยิงประตูได้มากที่สุดในลีกา 2 โดยลงเล่นไป 34 เกม ยิงได้ถึง 78 ลูก แม้กระทั่งทีมแชมป์ลีกอย่าง โคโลญจน์ ยังยิงได้แค่ 53 ประตูเท่านั้น
สิ่งสำคัญในการกลับมาสู่ลีกสูงสุดของฮัมบูร์ก คือการกลับมาใส่ใจรากฐานที่แท้จริง นั่นคือการผลักดันนักเตะจากเยาวชน เชื่อมั่นในระบบ และเลือกนักฟุตบอลที่ไม่จำเป็นต้องโด่งดังมีชื่อเสียง แต่เลือกนักเตะที่คัดสรรมาอย่างดี ตอบโจทย์ทั้งเชิงสถิติและทัศนคติ ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาตั้งหลักได้ และใช้เวลาราว ๆ 3 ปี กลับมาเป็นทีมที่เหนียวแน่น และมีมาตรฐานดี สามารถชนะได้ทุกทีมในลีกา 2 และพร้อมแล้วสำหรับลีกสูงสุดในซีซั่นนี้
อีกสิ่งที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือแฟนบอล ... แฟนบอลของฮัมบูร์ก เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับทีมได้เป็นอย่างดี ยิ่งพวกเขาเห็นทิศทางทีมดีขึ้นเรื่อย ๆ แฟน ๆ ก็ยิ่งสนับสนุนในส่วนที่พวกเขาทำได้ ในฤดูกาล 2024-25 ที่ผ่านมา ตั๋วปีถูกขายหมดเกลี้ยง (23,700 ใบ) ผู้ถือเกือบ 99% ต่ออายุ ทำให้เกมในบ้านของพวกเขามีบรรยากาศที่เร้าใจ เดือดลุกเป็นไฟแทบทุกทีม
และเมื่อทุกอย่างผสมผสานกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ท้ายที่สุดแล้ว ไดโนเสาร์ ก็คืนชีพ พวกเขาคว้าอันดับ 2 เลื่อนชั้นโดยอัตโนมัติได้สำเร็จ
แม้ ณ เวลานี้ คุณภาพของ ฮัมบูร์ก จะเหนือกว่าทีมระดับลีกา 2 ไปแล้ว แต่โลกแห่งความจริงของพวกเขากำลังเริ่มต้นจากนี้ไป ... ในลีกสูงสุด ทุกอย่างจะยากขึ้น และทุก ๆ ทีมที่อยู่บนลีกนี้ล้วนมีคุณภาพทั้งในและนอกสนาม ดังนั้นหลังจากนี้ ฮัมบูร์ก ต้องทำในสิ่งที่เรียกว่า "ยิ่งกว่ารักษามาตรฐาน" ต้องต่อยอดให้สูงขึ้นไปอีก และทำมันอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องสูญพันธุ์อีกครั้ง เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 7 ปีก่อน
แหล่งอ้างอิง
https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/welcome-back-hamburg-hsv-promoted-selke-dompe-merlin-polzin-31961
https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/hamburg-long-road-to-promotion-from-second-tier-31949
https://bulinews.com/hamburg-back-bundesliga-after-seven-year-hiatus
https://www.dw.com/en/hamburg-are-back-in-the-bundesliga-remember-them/g-72449037
https://www.hsv.de/en/hsv-promoted-to-bundesliga-after-6-1-victory