Feature

Beautiful Game : "The Arsenal Invincibles" ยุคไร้พ่าย เปลี่ยนแปลงระบบการบริหารจัดการในทีมอาร์เซน่อล ก่อนส่งต่อวัฒนธรรมไปสู่ทีมอื่นๆ อย่างนุ่มลึก

 

GUINNESS ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของ Premier League อยากชวนทุกคนมาลองสัมผัสเรื่องราวสุดนุ่มลึก ในครั้งนี้เป็นเรื่องราวของ “The Arsenal Invincibles ยุคไร้พ่าย  เปลี่ยนแปลงระบบการบริหารจัดการในทีมอาร์เซน่อล ก่อนส่งต่อวัฒนธรรมไปสู่ทีมอื่นๆ อย่างนุ่มลึก”

หากให้นึกถึงผู้จัดการทีมที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกฟุตบอลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันชื่อของ อาร์แซน เวนเกอร์ อดีตกุนซืออาร์เซน่อล ระหว่างปี 1996 ถึงปี 2018 จะต้องอยู่ในลิสต์ลำดับต้น ๆ อย่างแน่นอน ด้วยการนั่งบัญชาทัพ "ปืนใหญ่" ยาวนานกว่า 22 ปี และมีผลงานชิ้นโบว์แดง คือ การพาอาร์เซน่อล คว้าแชมป์ลีกแบบไร้พ่ายเมื่อซีซัน 2003-2004 

แต่หลายท่านอาจยังตระหนักไม่ได้ว่าการเข้ามาของ อาร์แซน เวนเกอร์ ที่ อาร์เซน่อล นั้นมีความหมายต่อโลกลูกหนังมากกว่าที่คิด เนื่องจากทุกวันนี้หลายสโมสรชื่อดังทั่วโลก นำแนวทางการทำทีมของอดีตกุนซือชาวฝรั่งเศส มาปรับใช้กับทีมของตนเอง 

อาร์แซน เวนเกอร์ ใช้วิธีการใดถึงทำให้ อาร์เซน่อล เป็นทีมไร้พ่ายเมื่อฤดูกาล 2003-04 รวมถึงการบริหารจัดการที่เป็นต้นแบบให้ทีมในปัจจุบัน… ติดตามต่อที่ Main Stand


เข้าซุ้มปืนแบบเข้ม ๆ

ย้อนกลับไปในเดือนสิงหาคม ปี 1996 อาร์เซน่อล มีข่าวที่จะดึงตัว โยฮัน ครัฟฟ์ อดีตผู้เล่นและผู้จัดการทีมของบาร์เซโลน่า มาสืบทอดตำแหน่ง แต่จนแล้วจนรอดดีลดังกล่าวกลับไม่เกิดขึ้น ซึ่งทางสโมสรก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเปลี่ยนเป้าไปที่ อาร์แซน เวนเกอร์ 
ที่คุมทีมนาโกย่า แกรมปัส เอต ในแดนปลาดิบอยู่ขณะนั้น 
กระทั่งเดือนถัดมา อาร์เซน่อล สามารถนำตัวกุนซือชาวฝรั่งเศส มาที่เมืองลอนดอนได้สำเร็จ โดย อาร์แซน เวนเกอร์ กล่าวในงานแถลงข่าวครั้งแรกของเขากับ อาร์เซน่อล ว่า  "เหตุผลหลักในการมาของผมก็คือผมรักฟุตบอลอังกฤษ รากฐานของกีฬานี้อยู่ที่นี่ 
ผมชอบจิตวิญญาณ บรรยากาศที่อยู่รอบ ๆ เกม สำหรับกับ อาร์เซน่อล ผมชอบจิตวิญญาณของสโมสรและศักยภาพของทีม" 


แต่ในช่วงเวลานั้นเองต้องยอมรับว่านักฟุตบอลในลีกอังกฤษยังไม่ค่อยจริงจังกับอาชีพของตัวเองมากนัก ซึ่งหลังจากที่ อาร์แซน เวนเกอร์ เข้ามาดำรงตำแหน่ง เขาได้ทำการผ่าตัดภายในเปลี่ยนแปลงระบบหลายอย่างในสโมสร

โดยเริ่มตั้งแต่วิธีการฝึกซ้อมที่ผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศส ลบแนวทางไม่ใส่ใจการวอร์มอัพ อบอุ่นร่างกาย รวมถึงการฝึกซ้อมที่ยาวนานแถมเน้นความแข็งแกร่งทางร่างกายออกไป และแทนที่ด้วย วิทยาศาสตร์การกีฬา วิธีการยืดเส้นยืดสายแบบใหม่ นาฬิกาจับเวลาทุกเซสชัน และการฝึกซ้อมทักษะการส่งบอลมากขึ้น 

และ อาร์แซน เวนเกอร์ ยังนำ นักกายภาพบำบัด และ นักฝังเข็ม เข้ามาที่สโมสร รวมถึงช่วยออกแบบศูนย์ฝึกของ อาร์เซน่อล ใหม่ทั้งหมด พร้อมอุปกรณ์ฟิตเนสที่ทันสมัยที่สุดให้นักเตะใช้งาน

ยิ่งไปกว่านั้น อาร์แซน เวนเกอร์ จัดการเปลี่ยนนิสัยการรับประทานอาหารของผู้เล่น สั่งห้ามเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ช็อกโกแลต, แฮมเบอร์เกอร์ ของหวาน มันฝรั่งทอด ถูกเปลี่ยนให้เป็นเมนูปลา, ไก่, มันฝรั่งบด, บร็อคโคลี่ และผักนึ่ง
โดย เวนเกอร์ ได้กล่าวไว้ว่า "ผมคิดว่าในอังกฤษ คุณกินน้ำตาลและเนื้อสัตว์มากเกินไป และกินผักไม่เพียงพอ" และนักเตะหลายคนบอกว่าวิธีนี้ช่วยยืดอายุการเล่นฟุตบอลของพวกเขาได้อย่างดี

 

อีกเรื่องที่โดดเด่นคือ สไตล์การเล่นของทีม อาร์แซน เวนเกอร์ ที่สามารถปิดปากพวกที่มักชอบด่าว่า อาร์เซน่อลนั้นเล่นน่าเบื่อ
เขาทำลายแนวทางการเล่นเน้นเกมรับตั้งแต่สมัยยุค จอร์จ เกรแฮม ในช่วงทศวรรษ 1990 ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนให้ อาร์เซน่อล เป็นทีมที่เล่นเกมรุกแบบรวดเร็วมากขึ้น 

จนกระทั่งในพรีเมียร์ ลีก ฤดูกาล 2003-2004 อาร์แซน เวนเกอร์ ทำให้โลกฟุตบอลสั่นสะเทือน ด้วยการพา อาร์เซน่อล คว้าแชมป์แบบไร้พ่าย หรือที่เรียกว่า "The Arsenal Invincibles"

 

หลังจากอาร์เซน่อลประสบความสำเร็จมากมาย จนกลายเป็นทีมระดับ Top ทำให้มีงานวิจัยเกี่ยวกับการทำงานของ อาร์แซน เวนเกอร์ หลายฉบับออกมา ซึ่งหนึ่งในงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์ YOUAREMYARSENAL เมื่อปี 2014 โดย ไมเคิล ไพรซ์

นั่นก็คือ ทฤษฎีสี่มิติของความเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ("The Four I's") หรือ Transformational Leadership ที่ประกอบด้วย

Idealised Influence (II) : เสน่ห์ที่ดึงดูดผู้ติดตามในระดับอารมณ์ 
คือผู้นำที่เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเพื่อนร่วมงาน ผู้นำที่มีอิทธิพลในอุดมคติ สามารถไว้วางใจและเคารพเพื่อนร่วมงานในการตัดสินใจที่ดีเพื่อองค์กร

ตัวอย่างเช่น  ในเดือนพฤษภาคม 2005 ก่อนและหลังชัยชนะเอฟเอ คัพ นักเตะชุดนั้นต่างพูดคุยกันถึงความต้องการที่จะคว้าถ้วยรางวัลนี้ให้ อาร์แซน เวนเกอร์ แม้แต่อดีตนักเตะหลายคนต่างก็ออกมาสนับสนุนอย่างสุดหัวใจ นี่แสดงให้เห็นว่า เวนเกอร์ ได้สร้างความดึงดูดใจให้กับบรรดาคนที่ทำงานให้กับเขา

Intellectual Stimulation (IS) : แรงจูงใจที่สร้างแรงบันดาลใจ
ซึ่งแสดงให้เห็นวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและน่าดึงดูด อธิบายถึงผู้นำที่จูงใจเพื่อนร่วมงาน ให้มุ่งมั่นกับวิสัยทัศน์ขององค์กร ส่งเสริมจิตวิญญาณของทีมเพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตสำหรับองค์กรวิสัยทัศน์ของ

ตัวอย่างเช่น ฟุตบอลของ อาร์แซน เวนเกอร์ ที่เน้นเกมรุกนั้นดึงดูดใจผู้คนทั้งภายใน และภายนอกสโมสร และ เวนเกอร์ ยังแสดงให้เห็นถึงความชัดเจนว่าแนวทางนี้ จะประสบความสำเร็จในระยะยาว ซึ่งถือเป็นอีกแง่มุมหนึ่งของแรงบันดาลใจ

Inspirational Motivation (IM) : การกระตุ้นทางปัญญาที่ทำให้กล้ายอมรับความเสี่ยง 
และขอความคิดเห็นจากผู้ติดตาม กล่าวถึงผู้นำที่สนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ ผ่านการท้าทายความเชื่อ และการแก้ปัญหาเพื่อพยายามทำให้องค์กรดีขึ้น

ตัวอย่างเช่น อาร์แซน เวนเกอร์ ท้าทายสมมติฐานและกล้าเสี่ยง เขาให้อิสระแก่ผู้เล่นไม่จำกัดความคิด ทำให้การนักเตะกล้าเล่น กล้าสร้างสรรค์ นำมาสู่จังหวะสุดสวยงามมากมายในสนาม

Individualised Consideration (IC) : การพิจารณาเป็นรายบุคคล
ผู้นำให้การดูแลเอาใจใส่ผู้ตามเป็นรายบุคคล ทำให้ผู้ตามรู้สึกมีคุณค่าและมีความสำคัญใช้การพิจารณาเป็นรายบุคคลสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมาย 
ตัวอย่างเช่น อาร์แซน เวนเกอร์ เป็นที่ปรึกษาที่ดี เอาใจใส่แม้กระทั้งนักเตะที่จะออกจากอาร์เซน่อล เข้าใจในเหตุผลของนักเตะ
อีกทั้งยังไม่รั้ง ไม่ตัดโอกาสที่อาจเป็นอนาคตอันสดใสของนักเตะเหล่านั้น

 

จากไปอย่างยิ่งใหญ่แถมทิ้งมรดกไว้

เมื่อตอนที่ อาร์แซน เวนเกอร์ เข้ามานั่งเก้าอี้กุนซืออาร์เซน่อล เขากับ รุด กุลลิต โค้ชและผู้เล่นของเชลซี ตอนนั้นเป็นผู้จัดการทีมต่างชาติเพียงสองคนในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ แต่ด้วยความสำเร็จที่ทั้งคู่สร้างไว้โดยเฉพาะ เวนเกอร์ ที่สถาปนาตนเองให้เป็นผู้จัดการทีมต่างชาติคนแรกที่คว้าแชมป์ลีกอังกฤษในปี 1998 ส่งผลให้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมามีกุนซือต่างชาติชื่อดังมากหน้าหลายตา 
ยกตัวอย่างเช่น โชเซ่ มูรินโญ่, คาร์โล อันเชล็อตติ, โรแบร์โต้ มันชินี, มานูเอล เปเยกรินี และ คลาวดิโอ รานิเอรี เข้ามาคุมทีมสโมสรแดนผู้ดีแบบไม่ขาดสาย จนทุกวันนี้มีสัดส่วนเยอะกว่าโค้ชเลือดอังกฤษแท้ ๆ แล้ว 

และ เวนเกอร์ ก็เป็นคนที่ทำให้เห็นว่าการกล้าเสี่ยงทุ่มเงินซื้อผู้เล่นอายุน้อยเข้าสู่ทีมนั้น ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอย่างที่คิดหากมีการวิเคราะห์และวางแผนที่ดี ซึ่งกรณีที่เห็นได้ชัดคือการจ่ายเงิน 3.5 ล้านปอนด์ เพื่อเอาตัว ปาทริค วิเอร่า ร่างดาวรุ่งจาก เอซี มิลาน มาร่วมทีม (ปาทริค วิเอร่า เข้าร่วมกับ อาร์เซน่อล ก่อนที่ เวนเกอร์ จะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่หลายคนบอกว่า เวนเกอร์ นี่แหละที่เป็นคนโน้มน้าวให้ วิเอร่า มาอาร์เซน่อล) 
ต่อมาก็มี นิโกลาส์ อเนลก้า วัย 17 ปี และ เธียร์รี อองรี วัย 22 ปี และยังมี เซสก์ ฟาเบรกาส, ธีโอ วอลค็อตต์, เฮคเตอร์ เบเยริน และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน อีกด้วย


เห็นได้ชัดจากการทำงานตลอด 22 ปี ของ อาร์แซน เวนเกอร์ กับ อาร์เซน่อล เขาพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 ครั้ง เอฟเอ คัพ 7 สมัย และแชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์ อีก 7 สมัย และพลาดการจบฤดูกาลในอันดับท็อป 4 ของตารางเพียงแค่สองครั้ง
โดยผลงานอันดับที่ต่ำที่สุดของ อาร์เซน่อล ภายใต้ อาร์แซน เวนเกอร์ คือ อันดับที่ 6 (ฤดูกาล 2017-18) นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าแนวทางของเวนเกอร์นั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน

ซึ่งถ้าให้ว่ากันตามตรงปัจจุบันหลายสโมสรทั่วโลกได้นำแนวทางที่ อาร์แซน เวนเกอร์ เคยใช้เมื่อราว 30 ปีที่แล้ว นำมาปรับให้เข้ากับสถานการณ์รวมถึงสโมสรของตนเอง ไม่ว่าจะทั้งเรื่องโภชนาการ, การซื้อ-ขายนักเตะ และการดึงดาวรุ่งฝีเท้าดีเข้าสู่ทีม 
ตัวอย่างสโมสรที่นำแนวทางของ อาร์แซน เวนเกอร์ มาปรับใช้ในเวลาต่อมา เช่น เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ยอมลงทุนกว่า 100 ล้านปอนด์ เพื่อสร้างศูนย์ฝึกซ้อมครบวงจร 
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2019 ซึ่งถือเป็นสนามฝึกซ้อมระดับโลก บนพื้นที่ 455 ไร่ พร้อมยกเอาอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานมาให้นักเตะใช้ 
หรือ ส่วนในเรื่องการฝึกซ้อม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นายใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เคยเปิดเผยว่า ตัวเขาใช้หลักวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาช่วย แถมยังนำเจ้าหน้าที่เฉพาะทางด้านต่าง ๆ มาสู่สโมสร อาทิ โค้ชฟิตเนส, นักโภชนาการ ฯลฯ
ในขณะเดียวกัน ที่ ไบรท์ตัน, เซาธ์แฮมป์ตัน รวมถึง ลิเวอร์พูล นั้นนำแนวทางปั้นดาวรุ่งของ อาร์แซน เวนเกอร์ มาใช้ 
ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ของ “หงส์แดง” ที่เติบโตมาจากระบบอะคาเดมีของ ลิเวอร์พูล จนทุกวันนี้กลายมาเป็นตัวหลัก และมีมูลค่าทางการตลาดสูงถึง 70-80 ล้านยูโร

 

จากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด คงไม่เกินจริงหากจะบอกว่า การบริหารจัดการ แนวคิด แนวทางของเวนเกอร์นั้น เป็นดั่งมรดกสุดล้ำค่า ที่ส่งต่อให้กับหลายต่อหลายทีมในปัจจุบัน และนี่คือเรื่องราวของ “The Arsenal Invincibles ยุคไร้พ่าย เปลี่ยนแปลงระบบการบริหารจัดการในทีมอาร์เซน่อล ก่อนส่งต่อวัฒนธรรมไปสู่ทีมอื่นๆ อย่างนุ่มลึก” เรื่องราวสุดนุ่มลึกในแบบของ GUINNESS BEAUTIFUL GAME SOCIETY ที่อยากให้ทุกคนลองสัมผัส

Author

รณกฤต ตุลยะปรีชา

วัยรุ่นคู้บอน

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา