วัฏจักรของโลกฟุตบอลนั้นมีขึ้นและลง เช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ และสำหรับทีมอย่าง ลิเวอร์พูล ที่เป็นหนึ่งในทีมหัวแถว ณ ปัจจุบัน ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสัก 10 กว่าปีก่อน พวกเขายังเป็นทีมที่อยู่ในยุคมืดและแทบมองไม่ออกว่ามันจะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเก่าได้อย่างไร ?
จนกระทั่งทุกอย่างถูกนับหนึ่งในปี 2012 ... ปีที่พวกเขาได้แชมป์ ลีกคัพ หรือ คาราบาว คัพ ในปัจจุบัน (ณ เวลานั้นชื่อ คาร์ลิง คัพ) ซึ่งเป็นซีซั่นที่พวกเขาเชิญ เคนนี่ ดัลกลิช มากู้ศรัทธา หลังจากอยู่ในยุคมืดที่หันไปทางไหนก็สิ้นหวัง
นี่คือเรื่องราวในปีนั้น การดวลจุดโทษที่ทำท่าจะแพ้ทีมรองบ่อนอย่าง คาร์ดิฟฟ์ แต่แล้วจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสู่ยุคใหม่ที่ฟ้าสดใสกว่าเดิมก็เริ่มขึ้น
ติดตามกับ Main Stand
เริ่มต้นจากเจ้าของแย่
ก่อนที่จะร่ายยาวถึงขุมกำลังที่ชื่อชั้นไม่ถึง และโค้ชหลาย ๆ คนที่สร้างผลงานย่ำแย่จนแฟนหงส์แดง เรียกช่วงเวลานั้นว่า "ยุคมืด" ก็ต้องเริ่มที่ต้นตอทั้งหมดของเรื่องนี้นั่นคือ "เจ้าของทีม" ซึ่งเป็นฟันเฟืองชิ้นใหญ่และสำคัญมากที่สุดของการเดินทางสู่ขาลงครั้งนี้
นับตั้งแต่แชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ของ ลิเวอร์พูล เกิดขึ้นในปี 2005 จากการนำทีมของชายชาวสแปนิชชื่อว่า ราฟา เบนิเตซ ช่วงเวลานั้น ลิเวอร์พูล ถือว่าเป็นสิงห์บอลถ้วยเลยก็ว่าได้ เพราะ "กึ๋น" ของ ราฟา ทำให้พวกเขาเป็นทีมเล่นบอลแบบเน้นผลนัดต่อนัดได้เก่งกาจที่สุดทีมหนึ่ง ดังนั้นถึงแม้ ลิเวอร์พูล ในช่วงนั้นยังไม่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ แต่ก็มีรางวัลมาประดับประดาตู้โชว์ของสโมสรอยู่เสมอ
นั่นเป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกับช่วงที่ตระกูล มัวร์ส เจ้าของสโมสร ลิเวอร์พูล และเป็นแฟนบอลพันธุ์แท้ของทีม ได้รับการทาบทามขอซื้อทีมจาก 2 เศรษฐีชาวอเมริกันอย่าง ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ ยิลเล็ตต์
ในฐานะแฟนบอลลิเวอร์พูลคนหนึ่ง มัวร์ส ได้เข้าประชุมกับ 2 เศรษฐีชาวมะกัน และได้พบว่านโยบายของทั้งคู่จะนำสิ่งดีๆ กลับมาให้กับสโมสร โดยเฉพาะเรื่องของเงินทุนที่สโมสรกำลังต้องการ
แต่ ณ เวลานั้นมีความคลางแคลงใจอยู่บ้าง เนื่องจากหากมีการขายสโมสรให้กับ ฮิคส์ และ ยิลเล็ตต์ ก็จะทำให้นี่เป็นครั้งแรกที่ ลิเวอร์พูล จะมีเจ้าของสโมสรเป็นชาวต่างชาติ มันเป็นเหมือนการเปิดรับวัฒนธรรมที่พวกเขาไม่คุ้นเคย และนั่นทำให้ใครหลายคนแอบระแวงลึก ๆ ว่าอาจจะมีเรื่องที่เป็นแง่ลบเกิดขึ้น ... ซึ่งท้ายที่สุดแล้วความหวาดระแวงของแฟนหงส์แดงบางกลุ่มก็กลายเป็นเรื่องจริง
ฮิคส์ และ ยิลเล็ตต์ เหมือนกับจับเสือมือเปล่าสำหรับการขายฝันผ่านลมปาก พวกเขาไม่ควักเงินตัวเองสักบาท เหมือนกับ โรมัน อบราโมวิช หรือ ชีค มานซูร์ เจ้าของของ เชลซี และ แมนฯ ซิตี้ ... เพราะการกู้เงินคนอื่นมาใช้มันตัดสินใจง่ายกว่ากันเยอะ
ทั้งคู่ใช้เวลาเพียงแวบเดียว กู้เงินมาถึง 350 ล้านปอนด์ จาก ธนาคาร รอยัล แบงค์ ออฟ สกอตแลนด์ (RBS) โดยมีกำหนดชำระหนี้ทั้งหมดในปี 2010 เรื่องการกู้เงินอาจไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือการกู้เงินแล้วไม่วางแผนการใช้ต่างหาก คือสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง เพราะเงินที่กู้มาไม่สามารถเอาไปทำให้รายรับงอกเงยได้ และไม่ได้ใช้เพื่อปรับโครงสร้างสโมสรไปในทิศทางที่ดีขึ้น
เมื่อถึงเวลาที่เจ้าหนี้เริ่มทวงหนี้ พวกเขาก็พบว่าจะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ถึงปีละ 35 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลเมื่อเทียบกับรายได้เข้ามา ... เมื่อไม่มีรายได้ก็ต้องควักเนื้อ ช่วงเวลานั้นเองที่เป็นขาลงแบบเต็มรูปแบบของ ลิเวอร์พูล เริ่มขึ้น
นักเตะดังทยอยย้ายออกเพื่อหาเงินเข้าสโมสรทั้ง ฮาเวียร์ มาสเชราโน่ และ ชาบี อลอนโซ่ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวที่ซื้อเข้ามาใหม่ก็เป็นการซื้อที่ไร้คุณภาพ กล่าวคือจะซื้อตัวที่ดีที่สุด ก็ซื้อไม่ได้เพราะเงินไม่พอ ครั้นจะซื้อตัวที่พอมีแววมาปั้นต่อก็เหลวไม่เป็นท่าอีก นั่นทำให้ "เจ้าพ่อบอลถ้วย" อย่าง ราฟา ก็ถึงกับอยู่ไม่ไหว ประกาศขอลาออกหลังจากฤดูกาล 2009-10 จบลง
สิ่งที่เป็นคำถามยิ่งกว่าคือทีมสรรหาของ ลิเวอร์พูล มองหาโค้ชคนที่จะเข้ามาแทนได้อย่างน่าผิดหวัง เพราะท่ามกลางโค้ชชื่อดังหลายคนที่มีข่าว แต่สุดท้ายหวยกลับมาออกที่ รอย ฮอดจ์สัน กุนซือผู้มีดีกรีพา ฟูแล่ม คว้ารองแชมป์ ยูฟ่า คัพ ปี 2010 ซึ่งเป็นความสำเร็จเดียวที่เขามีในช่วงเวลานั้น และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหากองค์กรหนึ่งเริ่มแย่ตั้งแต่หัว สุดท้ายเชื้อร้ายก็ลุกลามไปยังหาง เผลอแวบเดียว ลิเวอร์พูล ก็กลายเป็นทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะที่แฟนบอลของพวกเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่า "ไปซื้อมาได้ยังไง ?"
ทีมชุดฝันร้าย
อันจริงเราก็ควรให้ความเป็นธรรมกับ ฮอดจ์สัน สักหน่อย แม้เขาจะถูกยกให้เป็นสุดยอดกุนซือยุคมืดของ ลิเวอร์พูล แต่สาเหตุมันก็มาจากปัญหานอกสนามดังที่เราได้กล่าวไว้ในข้างต้น มันนำไปสู่เรื่องยากลำบากมากมาย
โดยสรุปปัญหาของ ลิเวอร์พูล ในวันที่ ฮอดจ์สัน เริ่มรับงานนั้นมาจากหนี้สินมหาศาล ทำให้เขาไม่สามารถซื้อนักเตะที่อยากจะได้ ขณะที่เจ้าของทีมก็เป็นที่รังเกียจของแฟนบอล จนแฟนบอลหลายกลุ่มเริ่มแข็งข้อ ไม่เชื่อมั่นในทีม จนนำมาซึ่งสถานการณ์ตึงเครียด
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามาแทนคนที่แฟนบอลรักอย่าง ราฟา งานของเขาจึงยากไปอีก อย่างไม่ต้องสงสัย
ขุมกำลังของ ลิเวอร์พูล ในยุคของ ฮอดจ์สัน นั้น นอกจากจะขาดความยอดเยี่ยมในเชิงคุณภาพเพราะนักเตะเก่ง ๆ ถูกขายออกไป ไหนจะไม่มีเงินซื้อตัวดี ๆ มาทดแทน โดยนักเตะใหม่แต่ละคนแค่ได้ยินชื่อก็ส่ายหัว บางคนอาจจะดังหน่อยแต่ก็พ้นจุดพีกไปแล้ว อาทิ โจ โคล, มิลาน โยวาโนวิช, แดนนี่ วิลสัน, คริสเตียน โพลเซ่น, แบรด โจนส์, ราอูล ไมเรเลส และ พอล คอนเชสกี้
นอกจากการเสริมทัพขาดคุณภาพแล้ว พวกเขายังขาดนักเตะในเชิงปริมาณด้วย สควอดเด็ปต์ (ขุมกำลังเชิงลึก) ของทีมนั้นมีน้อยมาก ๆ นักเตะที่พอจะพึ่งได้จริง ๆ เห็นจะมีเพียง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ทีเป็นทุกอย่างให้ทีม เพราะในช่วงเวลานั้น เฟร์นันโด ตอร์เรส ก็เริ่มเจ็บและงอแงอยากจะย้ายทีม ปัญทั้งหมดรุมเร้าจนทำให้เมื่อลงสนามไป ความแย่ทุกด้านถูกแสดงออกมาจนหมดสิ้น
8 นัดแรกในลีกฤดูกาล 2010-11 ลิเวอร์พูล ชนะแค่เกมเดียวเท่านั้น แพ้คู่ปรับครบถ้วนทั้ง อาร์เซน่อล, แมนฯ ยูไนเต็ด, เอฟเวอร์ตัน หรือแม้แต่ แมนฯ ซิตี้ ส่วนฟอร์มในสนามก็ตามสภาพนักเตะที่มี ทีมอยู่ในช่วงเวลาที่เข็นไม่ขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใดคือ ฮอดจ์สัน ก็โดนสื่อจี้เล่นงานจนแทบเสียเส้น หลายสัมภาษณ์ของเขาสร้างความ ห๊ะ ! ให้กับแฟนหงส์แดงหลาย ๆ คนอาทิ "พวกเขาจะเป็นคู่แข่งที่น่าเกรงขามของเรา" ซึ่งเขาพูดก่อนเกมเจอ นอร์ธแฮมป์ตัน ทาวน์ ทีมจากดิวิชั่น 4 (ลีกทู) ก่อนแพ้จุดโทษในเกมลีกคัพรอบ 3 นอกจากนี้ในเกมที่ แพ้ เอฟเวอร์ตัน ที่ กูดิสัน พาร์ค 0-2 แบบยับเยินในแง่ของวิธีการเล่น ฮอดจ์สัน ก็ให้สัมภาษณ์ว่า "นี่คือฟอร์มที่ดีที่สุดของเรานับตั้งแต่เปิดฤดูกาล" ไหนจะการแพ้คาบ้านต่อ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ทีมบ๊วยของลีก 0-1 และสัมภาษณ์ว่า "ผลเสมอ 0-0 ถือเป็นอะไรที่สมเหตุสมผลและรับได้"
ส่วนเรื่องของสไตล์การเล่นนั้น คงจะดีกว่าหากเราถอดบทความของนักเขียนที่เป็นแฟนบอลลิเวอร์พูล ที่เขียนระบายถึงซีซั่น ที่สไตล์การเล่นของพวกเขาแย่ที่สุดว่า
"สไตล์การเล่นในยุค ฮอดจ์สัน แย่เหลือเชื่อสำหรับทีมอย่าง ลิเวอร์พูล เขาไม่เหมาะกับนักเตะที่มีอยู่ ไม่สามารถดึงเอาศักยภาพของนักเตะออกมาใช้ได้ และไม่สามารถปกปิดหรือแก้ไขจุดอ่อนให้กับทีมได้แม้แต่จุดเดียว"
"ฮอดจ์สัน ทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่โค้ชที่ดีควรทำทุกอย่าง ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่ขาดอัตลักษณ์ในการเล่น สถานะระหว่างเขาและแฟนบอลก็ระหองระแหง เพราะแฟนบอลคิดว่ามันเหมือนกับเขามีโค้ชยุคโบราณเหมือนกับ แซม อัลลาร์ไดซ์" User koptimism ในเว็บไซต์ Reddit โพสต์ข้อความนี้ไว้ในกระทู้ยอดนิยมเมื่อ 10 กว่าปีก่อน
ทั้งหมดนี้ทำให้ ฮอดจ์สัน โดนไล่ออกกลางฤดูกาล 2010-11 ในตอนนั้น แม้ ลิเวอร์พูล จะเพิ่งพ้นวิกฤติทางการเงิน เมื่อธนาคาร RBS ที่เป็นเจ้าหนี้ เปิดช่องให้มีการขายทีม ก่อน จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน เจ้าของกลุ่ม เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป หรือ FSG เข้ามาซื้อกิจการช่วงเดือนตุลาคม 2010 แต่ทีมก็ไม่มีเงินมากพอจะจ้างโค้ชดัง ๆ เช่นเดียวกับโค้ชหนุ่มฝีมือดีหลายคนก็ไม่อยากเอาชื่อมาทิ้งที่นี่ เพราะเห็นสภาพขุมกำลังและสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
ทางเลือกที่มี บีบให้พวกเขาต้องกลับไปจ้างอดีตฮีโร่อย่าง "คิง เคนนี่" ของแฟนบอล หรือ เคนนี่ ดัลกลิช ตำนานนักเตะ และตำนานกุนซือที่เคยพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุด (ดิวิชั่น 1) 3 สมัย ได้แก่ฤดูกาล 1985-86, 1987-88 และ 1989-90 ... แม้หลายคนอาจจะมองว่าเขาเป็นโค้ชที่ตกยุคไปแล้ว แต่อย่างที่ได้กล่าวไว้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้หล่อเลือกได้อีกต่อไป พวกเขาต้องกลับสู่พื้นฐาน และเลือกโค้ชคนที่มีความสามารถในการรวมทีมให้เป็นหนึ่งภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งไม่มีใครเหมาะกับ คิง เคนนี่ ผู้เป็นที่รักของแฟนบอลหงส์แดงอีกแล้ว
ถ้วยแชมป์สู่การเปลี่ยนแปลง
เคนนี่ ดัลกลิช ถูกจ้างเข้ามาทำงานในวันที่ 8 มกราคม 2011 โดยในตลาดซื้อขายครั้งนั้น ลิเวอร์พูล เสีย เฟร์นานโด ตอร์เรส ไปให้กับ เชลซี ด้วยราคา 50 ล้านปอนด์ แต่ก็ทดแทนมาด้วยการเข้ามาของ แอนดี้ แคร์โรลล์ ที่มาจาก นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ด้วยราคา 35 ล้านปอนด์ และ หลุยส์ ซัวเรซ จาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในราคา 25 ล้านปอนด์ โดยประมาณ
แม้ ดัลกลิช ณ เวลานั้น จะไม่ใช่สุดยอดโค้ชที่เชี่ยวชาญด้านแท็คติก แต่ประสบการณ์ตรงทั้งการเคยเป็นนักเตะระดับท็อป ไปจนถึงกุนซือระดับแชมป์ ดัลกลิช เห็นอะไรบางอย่างในตัวของ ซัวเรซ ในแบบที่เรียกกันว่า "ผีเห็นผี" คนที่เคยเก่งกาจ ย่อมรู้ว่าคน ๆ นี้มีแววมากน้อยแค่ไหน
ดัลกลิช และนักเตะชุดนั้นบอกว่า สิ่งที่เขาเปลี่ยนแปลงคือเรื่องของการแก้ไขเรื่องสภาพจิตใจ ทำให้นักเตะในทีมเลิกหงอ เลิกกลัวแพ้ และกลับมามั่นใจในตัวเองให้มากที่สุด ส่วนวิธีการเล่นก็แทบไม่ได้แปลงไปจากเดิมนัก แต่มีการเน้นเกมรับให้เหนียวแน่นขึ้น ซึ่งเกมรับถือเป็นรากฐาน เพราะเมื่อทีมเสียประตูยาก นักเตะก็จะยังมีสภาพจิตใจที่พร้อมจะสู้เพื่อชัยชนะ ... ซึ่งวิธีหลัก ๆ ของ คิง เคนนี่ ในการทำเกมรุกคือการสวนกลับด้วยบอลที่น้อยจังหวะ รวมถึงการใช้นักเตะใหม่อย่าง ซัวเรซ เป็นผู้นำในเกมรุก โจมตีคู่แข่งด้วยความเร็ว ความคม และความเจ้าเล่ห์ที่มีแบบครบเครื่องของเขา
ซัวเรซ ถือเป็นหนึ่งในชนวนที่จุดลิเวอร์พูลชุดนั้นให้เป็นทีมที่แฟนบอลของพวกเขากลับมาดูบอลแบบมีความสุขมากขึ้น ในยุคที่แทบไม่มีใครพึ่งได้ คนที่แบกทีมได้ทันทีคนนี้ ช่วยกระตุ้นหลาย ๆ ภาคส่วนของสโมสร ไล่ตั้งแต่แฟนบอลไปจนถึงผู้บริหาร แต่เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่ต้องชมเขาจริง ๆ คืออิมแพ็กต์ในการปลุกให้ทุกคนในสโมสรแห่งนี้ตระหนักรู้ถึงความจริงบางประการ ที่หลายคนรู้แต่อาจจะไม่กล้าพูดออกมา
"ย้อนกลับไปในตอนนี้ ไม่มีใครอยากมาเล่นให้ ลิเวอร์พูล หรอก" ซัวเรซ เปิดใจผ่านการสัมภาษณ์กับ Duda Garbi และพูดถึงสิ่งที่เขาคิดในช่วงเวลาที่เขาเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล
"เพราะงั้นไง เราถึงได้แต่ยืมตัว ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ มาจาก อินเตอร์ มิลาน เรายืม แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ มาจาก เชลซี ก่อนเราจะเซ็นสัญญาเขา พวกเขาทั้งคู่ช่วยเราได้เล็กน้อย แต่พูดตามตรง ผมรู้แก่ใจว่า ไม่มีนักเตะระดับท็อปอยากมาเล่นให้เราในเวลานั้น"
"ตอนที่ผมอยู่กับ ลิเวอร์พูล ถึงจะเป็นอย่างที่ผมได้บอกไว้ แต่ผมคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมมาก เราไม่มีนักเตะดาวเด่นมากมายนัก แต่พวกเรารวมกันเป็นหนึ่งได้ เราเป็นทีมที่เล่นกันเป็นทีมเสมอ ผมอยากจะเป็นกลไกสำคัญของเรื่องนี้ และถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนแปลงที่ที่คุณอยู่ สิ่งที่คุณเป็น คุณต้องเริ่มจากตัวเองเป็นอันดับแรก"
ดัลกลิช และ ซัวเรซ พา ลิเวอร์พูล จบซีซั่น 2010-11 ด้วยการกลับมาอยู่ในอันดับ 6 และอย่างที่เขาบอกว่าต่อให้ไม่มีแชมป์ แต่ ลิเวอร์พูล ก็กลับมาเล่นเป็นทีมอีกครั้ง ซึ่งสิ่งนี้นำไปสู่การต่อยอดสู่ฤดูกาล 2011-12 ที่ ลิเวอร์พูล อาจจะไม่ใช่ทีมที่ดีที่สุด แต่พวกเขากำลังดีขึ้นมากจากซีซั่นก่อน ๆ อย่างก้าวกระโดด โดยใช้ความมุ่งมั่น มิวินัย ช่วยกันเล่น และการพยายามเมื่อไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกันเป็นที่ตั้ง และมันยืนยันได้จากการที่พวกเขาเข้าชิงถ้วย ลีกคัพ ในฤดูกาลดังกล่าว (คาราบาว คัพ ในปัจจุบัน)
แม้จะต้องเจอกับทีมอย่าง คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ที่มาจากลีกรอง แต่ ลิเวอร์พูล ก็คือ ลิเวอร์พูล ทีมในยุคนั้นมักจะมีอะไรแบบนี้ให้เห็นเสมอ กล่าวคือเมื่อถึงเกมใหญ่จะเจอทีมระดับหัวแถว พวกเขาจะเล่นดีมาก ๆ แต่เมื่อเจอกับทีมรองบ่อนที่เน้นเกมรับ พวกเขาจะมีปัญหา ซึ่งแม้หลายคนจะบอกว่าการชิงกับ คาร์ดิฟฟ์ เป็นงานง่าย แต่เอาเข้าจริง นักเตะ ลิเวอร์พูล ต้องออกแรงกันเฮือกใหญ่เลยทีเดียว
ลิเวอร์พูล ถูก คาร์ดิฟฟ์ ออกนำก่อนตั้งแต่ 19 นาทีแรกจาก โจเซฟ เมสัน ก่อนที่ มาร์ติน สเคอร์เทล จะตีเสมอในนาทีที่ 60 จบ 90 นาทีแรกด้วยการเสมอ 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที
เดิร์ก เคาท์ ยิงให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำในนาที 108 แต่ก่อนจะหมดเวลาเพียง 2 นาทีเท่านั้น เบน เทอร์เนอร์ ก็ตีเสมอให้ คาร์ดิฟฟ์ ได้สำเร็จ ... สคริปต์แบบนี้มันเอนเอียงให้เป็นเรื่องราวของ คาร์ดิฟฟ์ ชัด ๆ ทีมรองบ่อนไล่ตีเสมอทีมระดับตำนานสุดชีวิต และเข้าไปดวลกันในการยิงจุดโทษตัดสิน แต่แล้ว ลิเวอร์พูล ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขามุ่งมั่นและเข้มแข็งพอที่จะพาตัวเองออกจากยุคมืดมากแค่ไหน
สตีเว่น เจอร์ราร์ด คนที่ยิงชัวร์ที่สุดยิงเป็นคนแรกและโดนเซฟ ... ส่วนมือยิงคนที่ 2 อย่าง ชาร์ลี อดัม ก็ยิงข้ามคานไปแบบเหลือเชื่อ นี่คือสถานการณ์ที่แย่สุด ๆ ทว่า 2 คนที่ยิงพลาด ไม่ได้กอดเข่าน้ำตาตกเศร้าหมอง พวกเขาไปปลุกเร้าเพื่อน ๆ ในทีมคนที่รอต่อคิวยิงเป็นคนต่อไป โดยเฉพาะสีหน้าของ เจอร์ราร์ด ในวันนั้นที่แสดงให้เห็นว่าเขายังไม่ถอดใจและยอมแพ้ สุดท้ายกลายเป็นว่า 3 คนที่เหลือของ ลิเวอร์พูล อย่าง เคาท์, สจ็วร์ต ดาวนิ่ง และ เกล็น จอห์นสัน ยิงเข้าทั้งหมด
ขณะที่ประตูซีเนียร์อย่าง เรน่า ไล่เซฟกลับคืนให้ทีมไป 3 ลูก ช่วยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ คว้าแชมป์ ลีกคัพ หรือ คาราบาว คัพ ในปัจจุบันไปครองได้สำเร็จ
แม้ถ้วยรางวัลนี้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่มากมาย แต่มันคือถ้วยรางวัลที่ปลุกความเป็นผู้ชนะให้กลับมาสู่ ลิเวอร์พูล อีกครั้ง นักเตะและแฟนบอลที่หลบตัวอยู่ในเงามืดมาโดยตลอดช่วงเวลาที่ย่ำแย่ ได้เดินอกผายไหล่ผึ่งขึ้นมารับแชมป์ถ้วยนี้ ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินถูกทางอย่างที่ ซัวเรซ ได้กล่าวไว้ในข้างต้น
จาก คิง เคนนี่ สู่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส , เยอร์เก้น คล็อปป์ และล่าสุดกับ อาร์เน่อ ชล็อต ... ลิเวอร์พูล เดินทางมาสู่เวมบลีย์เพื่อหวังคว้าถ้วยแรกในยุคสมัยใหม่ของพวกเขาอีกครั้ง เพียงแต่หนนี้ไม่ใช่การเจอกับทีมรองบ่อนอย่าง คาร์ดิฟฟ์ แต่มันเป็นการเจอกับทีมของแข็งที่เป็นบทพิสูจน์สำคัญอย่าง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ... นี่คือเกมสำคัญสำหรับทั้ง 2 ทีมอย่างแท้จริง
รู้แบบนี้แล้ว งานนี้สาวกทั้งสองทีมห้ามพลาด ! ใครจะได้ถ้วยแชมป์ไปครอง คัมเชียร์ ทูเก็ตเตอร์ อิน พัทยา ! หากสนใจสแกน QR code ได้เลย! หรือกดลิงค์ https://forms.gle/uFj3yC3iZZgwVyL16
รายละเอียดการร่วมกิจกรรม
- บัตรราคา 100 บาท ต่อท่าน (สามารถแลกรับเครื่องดื่มเย็น ๆ จากคาราบาวภายในงานได้เท่านั้น)
- ซื้อบัตร/ลงทะเบียน ตั้งเเต่วันนี้ - 15 มีนาคม (ก่อนเวลา 23:59น.)
- งานเริ่ม 19.30 น. เป็นต้นไป
หมายเหตุ : ผู้ที่ลงทะเบียนจะได้รับสิทธิ์ร่วมสนุกรับของรางวัลภายในงานจาก คาราบาว และ Supersports
สถานที่ : NEW OSCAR พัทยาใต้
แผนที่ 📍 maps.app.goo.gl/Nrphz85CrU97MW9v5
สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่แฟนเพจ Facebook : Main Stand
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ 065-235-7605 (แอดมิน)
แหล่งอ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/2011%E2%80%9312_Liverpool_F.C._season#Transfers
https://en.wikipedia.org/wiki/Kenny_Dalglish#Manager
https://www.friendsofliverpool.com/2024/02/club-legend-roy-hodgson/
https://www.reddit.com/r/LiverpoolFC/comments/97rr4h/how_to_lose_matches_and_alienate_people_a_recap/?rdt=63522
https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/liverpool-fc-brief-rise-very-10262118
https://edition.cnn.com/2020/06/25/football/jurgen-klopp-liverpool-premier-league-title-spt-int/index.html