Feature

จากทีมบัค สู่บอลไร้หางเสือ : เกิดอะไรที่หลังบ้านของ บาเยิร์น มิวนิค? | Main Stand

บาเยิร์น มิวนิค แพ้อีกแล้ว ... ความพ่ายแพ้ต่อ ลาซิโอ 0-1 อาจจะถูกนับว่าเป็นการเเข่งเเค่เลกแรก แต่ถ้าคุณมองในภาพรวม นี่คือปีที่น่าผิดหวังของพวกเขา จากเดิมที่เคยจองแชมป์ บุนเดสลีกา 11 สมัยติดต่อกัน แต่ในปีนี้พวกเขาอาจจะเป็นทีมที่ "ไร้แชมป์แม้แต่รายการเดียว"

 


แน่นอนทุกอย่างต้องมีเหตุผล จากทีมเข้ม ๆ เต็มไปด้วยแข้งที่มีประสบการณ์การไล่ล่าเเชมป์มาตลอดอาชีพของพวกเขา แต่ทำไมปีนี้ บาเยิร์น กลับดิ่งนรกท้ามัจจุราชจนต้องมาทำงานหนักในช่วงท้ายซีซั่นได้ขนาดนี้

เบื้องหลังทั้งหมดอยู่ที่นี่ ...

 

วัฒนธรรมองค์กรสุดโหด

ตั้งแต่ปี 70s จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ บาเยิร์น มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ... นั่นคือวัฒนธรรมองค์กรของพวกเขา

อย่างแรกเลย บาเยิร์น เป็นสโมสรที่มีเป้าหมายเพื่อความเป็นเลิศในระดับที่แตกต่างจากทีมอื่น นั่นคือพวกเขาต้องเป็นอันดับ 1 และต้องคว้าทุกแชมป์ในแต่ละปีที่ลงเล่น นั่นคือส่วนของเป้าหมาย ส่วนได้ไม่ได้ ก็เรื่องระหว่างทางที่พวกเขาจะแก้ไขกันไป ... แต่คุณจะปฏิเสธพวกเขาได้ยังไงใน ในเมื่อ บาเยิร์น กวาดแชมป์บุนเดสลีกามาแล้วกว่า 31 สมัย ภายในเวลา 56 ปี

ในโลกฟุตบอลมีแนวคิดว่าให้โค้ชคนหนึ่งสร้างทีมระยะยาว เพื่อกินความสำเร็จเป็นสิบ ๆ ปี แต่กับบาเยิร์น ไม่ใช่แบบนั้น ในประวัติศาสตร์สโมสรมีโค้ชที่คุมทีมติดต่อกันนานที่สุดคือ อ็อตมาร๋ ฮิทซ์เฟลด์ นอกจากนี้ยังมีโค้ชอีกเพียงแค่ 6 คนที่ได้เวลาคุมทีมถึง 3 ปี ... พวกเขาเน้นระบบ "เลือกโค้ชที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้น-วัดผลแบบปีต่อปี-มองการบริหารทีมในแบบของภาพรวม" นี่คือวัฒนธรรมองค์กรของสโมสรแห่งนี้ ... ถ้าข้อไหนผิดไป ก็จบกัน โค้ช คนนั้นไม่มีเหลือทางอื่นนอกจากจะออกจากงาน

บาเยิร์น ตั้งมาตรฐานไว้สูงมากในการเลือกโค้ชแต่ละครั้ง ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจจะได้รับการมองข้ามหากคุณอยู่สโมสรอื่น แต่ที่นี่ทุกความผิดพลาดมีราคาเสมอ และถ้าสโมสรชั่งน้ำหนักแล้วว่าการทำผิดพลาดของคุณส่งผลเสียมากกว่าผลบวก ต่อให้คุณจะเก่งมาจากไหน คุณก็สามารถตกงานได้ทั้งนั้น

ยกตัวอย่างการไล่ออกที่ดูจะแปลกกว่าทีมอื่นๆ เช่นการปลด อูโด ลาเท็ค กุนซือที่พาทีมคว้าเเชมป์ลีกติดต่อกัน 3 สมัย (1985 ถึง 1987) แต่การแพ้ในนัดชิงชนะเลิศ ยูโรเปี้ยนคัพ หนเดียวต่อ ปอร์โต้ ทำให้เขาโดนไล่ออกทันที ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่า "ทีมมีซูเปอร์๋สตาร์มากมาย ไม่สมควรแพ้ให้กับทีมรองบ่อนอย่างปอร์โต้"

เหตุผลง่าย ๆ แค่นั้น มันเป็นเรื่องของผลลัพธ์ล้วน ๆ ไม่ได้มีการพิจารณาว่าในเกมนั้นทีมจะครองบอลบุกขนาดไหน มีโอกาสยิงกี่ครั้ง ... ถ้าแพ้ = คุณทำผิดจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ เมื่อนั้นงานนี้จะไม่ใช่ของคุณอีกต่อไป

นอกจากเรื่องระบบการบริหารที่ตั้งเป้าไว้สูงแล้ว บาเยิร์น มิวนิค ยังมีอีกชื่อที่โดนสื่อแซวเสมอ นั่นคือชื่อว่า "FC Hollywood" ชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินคำนี้มาบ้าง โดยเบื้องหลังการตั้งชื่อมาจากยุค 90s เปรียบเทียบคือการรวมตัวกันของนักเตะที่เก่งกาจและมีชื่อเสียงจากทั้งประเทศ และยุโรป เหมือนกับฮอลลีวู้ด ที่มีดาราตัวท็อปมากมายมารวมตัวกัน

เมื่อมากคน มากชื่อเสียงก็มากความ การบริหารสตาร์เหล่านี้ให้อยู่จึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายสำหรับสโมสรแห่งนี้ หลายครั้งที่ บาเยิร์น มักจะมีข่าวฉาวนอกสนาม ในแง่ของดราม่า นักเตะแบ่งฝ่าย, นักเตะไม่ถูกกับโค้ช หรือแม้กระทั่งโค้ชกับผู้บริหาร ... เรื่องเหล่านี้เป็นข่าวใหญ่ในเยอรมันเสมอ

แม้ ฮอลลีวู้ด เอฟซี จะเป็นชื่อที่ถูกเรียกมาตั้งแต่ยุค 90s แต่ความจริงแล้ว พวกเขายังคงมีเรื่องนี้ให้เราเห็นเสมอ เช่นการไล่ คาร์โล อันเชล็อตติ ออกจากตำแหน่งในปี 2017 เพราะทำทีมไม่ถูกใจนักเตะขาใหญ่, ไหนจะมีเรื่องการหนีไปเล่นสกีของ มานูเอล นอยเออร์ จนนำมาซึ่งการถกเถียงกันภายในสโมสร ไม่เว้นแม้กระทั่งกุนซือคนปัจจุบันอย่าง โทมัส ทูเคิล ที่ก็เจอเรื่องราวแบบนี้ไม่ต่างกัน ... และปัญหามันก็คล้าย ๆ เดิม เนื่องจากมีข่าวซุบซิบเรื่องการแตกหักระหว่างเขากับนักเตะในทีม

จริงหรือเปล่าไม่รู้ ... แต่ที่แน่ ๆ บาเยิร์น กำลังฟอร์มตกมากที่สุดในรอบหลายปี ดังนั้นไม่แปลกที่เรื่องหลังบ้านของพวกเขาจะโดนขุดมาพูดถึงขนาดนี้ และนี่อาจจะเป็นที่มาของเรื่องทั้งหมด

 

ทูเคิล vs ซีเนียร์

การมาของ ทูเคิล ในช่วงครึ่งทางของซีซั่น 2022-23 นำซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิงแท็คติก และวิธีการเล่นไม่มากก็น้อย กุนซือคนเก่าอย่าง ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ เป็นกุนซือที่ชื่นชอบระบบการเล่น 4-2-3-1 โดยใช้คู่กลางอย่าง เลออน โกเร็ตซ์ก้า และ โยชัว คิมมิช เป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งไม่ต่างกับยุคก่อนหน้านี้เท่าไรนัก แน่นอนว่าในสายตาแฟนบอลหลายคนก็ยอมรับว่านั่นเป็นแนวทางที่ดี เพราะตัวของ คิมมิช และ โกเร็ตซ์ก้า ก็ถือว่าเป็นตัวท็อปในช่วงเวลานั้น แม้จะมีแกว่ง ๆ ไปบ้าง แต่พวกเขายังคงพร้อมที่จะเป็นตัวหลักของทีมเสมอ

ดังนั้นการมาถึงของ ทูเคิล หลายอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป ในตอนแรกอาจจะมีบางช่วงบางตอนที่กระท่อนกระแท่นบ้าง แต่เมื่อ บาเยิร์น จบซีซั่นด้วยการเป็นแชมป์บุนเดสลีก้า ข้อพิพาททั้งหลายก็จางหายไป

แน่นอนว่าเรื่องราวภายใต้ความสงบยังมีบางสิ่งเคลื่อนไหว ในช่วงตลาดซื้อขายซัมเมอร์ที่ผ่านมา ทูเคิล ออกปากผ่านสื่อว่าเขาอยากจะได้มิดฟิลด์ตัวรับ (ตำแหน่งเบอร์ 6) อยู่บ่อยครั้ง แน่นอนว่าตำแหน่งนั้นเป็นของซีเนียร์และกระดูกสันหลังของทีมอย่าง คิมมิช จนนักข่าวต้องไปถาม คิมมิช ด้วยตัวเอง ซึ่ง คิมมิช ก็ตอบกลับสั้น ๆ แต่กระแทกถึงใจว่า "ก็ผมนี่แหละมิดฟิลด์ตัวรับ" เท่านั้นการขุดคุ้ยก็เริ่มขึ้น

บิลด์ สื่อเบอร์ 1 ของ เยอรมัน รายงานต่อทันทีว่า ทูเคิล ไม่พอใจและเข้าพบบอร์ดบริหารของทีมเพื่อคุยกันให้เคลียร์เรื่องบทบาทของ คิมมิช โดยเบื้องต้นที่ ทูเคิล แจ้งเหตุผลกับการที่อยากจะเปลี่ยนแปลงมิดฟิลด์ตัวรับมาแทน เพราะเขาบอกว่า คิมมิช "ช้าเกินไป" และมองว่าจริง ๆ แล้ว คิมมิช ควรเล่นตำแหน่งเบอร์ 8 มากกว่า ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การเถียงกันกับ คิมมิช เท่านั้น เพราะ บอร์ดบริหารของ บาเยิร์น ก็มองว่า คิมมิช ควรจะยังได้รับบทบาทสำคัญกับทีมต่อไป

ใครถูก หรือใครผิด เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ แต่เหมือนกับว่ารอยร้าวได้เกิดขึ้นแล้ว ... แน่นอนว่าข่าวที่ออกมาเป็นเรื่องกอสซิป แต่คุณปฏิเสธไม่ได้แน่ เพราะทุกอย่างมันเฉลยออกมาด้วยฟอร์มการเล่นในสนามหมดแล้ว บาเยิร์น ที่ครึ่งซีซั่นแรกก็ไม่ได้แย่อะไรมากนัก แต่พอถึงจังหวะที่ข่าวทั้งหมดเริ่มแดงออกมา พวกเขาก็ตามหลัง เลเวอร์คูเซ่น 5 แต้ม, ตกรอบ เดเอฟเบ โพคาล และ แพ้ให้กับ ลาซิโอ ในเกมเลกแรกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

หนักที่สุดคือหลังเกมแพ้ เลเวอร์คูเซ่น ไป 0-3 แบบหมดสภาพ สู้ไม่ได้แม้แต่น้อย ข่าวลือเรื่องห้องแต่งตัวยิ่งหลุดออกมามากกว่าเดิมอีก อาทิ มัทไธจ์ เดอ ลิกต์ กองหลังที่ลงเป็นตัวหลักมาโดยตลอดไม่พอใจที่เขาถูกถอดออกจากเกมสำคัญนี้ และให้โอกาสกับ ดาโยต์ อูปาเมกาโน่, คิม มิน แจ และ เอริค ไดเออร์ ลงเล่นในระบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็ค

บอลแพ้อะไรก็แย่ไปหมด ทูเคิล พยายามแก้ไขด้วยการสัมภาษณ์ว่า เดอ ลิกต์ ฟิตไม่พอลงเล่น แต่ "บิลด์" ก็รายงานต่อว่า เดอ ลิกต์ บอกว่าคำฟิตเต็มถัง แต่ที่ไม่ได้ลงเพราะคงไม่ใช่ลูกรักของ ทูเคิล มากกว่า ... 

แน่นอนไม่จบแค่นั้นการกอสซิปยังลุกลามถึงขั้นที่ว่าจริง ๆ แล้วทั้ง 2 คน มีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดมาตั้งแต่เริ่มฤดูกาล ซึ่งเป็นเหตุให้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เดอ ลิกต์ มีข่าวจะย้ายทีมปรากฏออกมาเสมอ และทางเดียวที่เขาจะอยู่กับทีมต่อไปคือ ทูเคิล ต้องไม่อยู่กับทีมในซีซั่นหน้า

เอาเป็นว่าตอนนี้ บาเยิร์น กำลังเจอศึกภายในเล่นงานพันกันยุ่งเหยิงจนใช้มือสางคนเดียวไม่ได้ เรื่องนี้ บอร์ดบริหารก็ไม่ได้ให้ท้ายนักเตะมากนัก และพยายามจะรอมชอมความสัมพันธ์ของนักเตะ และเฮดโค้ช เพื่อให้งานหลักไม่เสีย อย่างน้อย ๆ ก็จนจบซีซั่นนี้

ตัวที่เห็นได้ชัดคือนักเตะที่เป็นตัวหลักของทีมหลายคนทั้งที่แบกทีมเป็นแชมป์ตลอดช่วงหลังทั้งคิมมิช, โกเร็ตซ์ก้า, อัลฟอนโซ่ เดวี่ส์ ยังไม่ได้รับสัญญาฉบับใหม่เลย แม้พวกเขาจะหมดสัญญากับทีมหลังจบซีซั่นนี้ก็ตาม ... นั่นหมายความว่าบอร์ดบริหารก็พยายามจะวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะการเลือกครั้งนี้จะสำคัญมาก ๆ ถ้าพวกเขาต่อสัญญากับซีเนียร์ทั้งหมดหลายทีมจะยึดตัวหลักไว้ได้ แต่ก็จะมีงบประมาณในการจ้างที่ไม่มากพอจะดึงนักเตะระดับหัวแถวมาร่วมทัพในอนาคต

กลับกันถ้าพวกเขาเลือก โทมัส ทูเคิล ก็เท่ากับว่าทีมจะต้องเสียนักเตะระดับกระดูกสันหลังออกไปหลายราย แต่สิ่งที่ได้มาพวกเขาจะได้สร้างทีมใหม่อีกครั้ง โดยได้นักเตะที่ ทูเคิล ต้องการจริง ๆ

ซึ่งเรื่องนี้เราน่าจะได้เห็นคำตอบกลาย ๆ แล้วว่าการตัดสินจะออกมาแบบไหน .... ซึ่งทางออกเหลือไม่กี่ทางแล้วในเวลานี้

 

ปลายทางคือเรื่องเดิม

แน่นอนว่าเมื่อคุณพาทีมอย่าง บาเยิร์น มาอยู่ในจุดที่แชมป์ลีกก็ห่างไกล แชมป์ยุโรปก็ลำบาก แถมบอลถ้วยในประเทศก็ตกรอบไปแล้ว ... ดังนั้นตอนจบไม่ต้องเดาก็รู้ว่า ทูเคิล คงไม่ได้ไปต่อแน่ เนื่องจาก ณ ตอนนี้เขาล้มเหลวทั้งวิธีการ และอาจจะล้มเหลวในแง่ของผลลัพธ์

อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ในข้างต้น บาเยิร์น มิวนิค คือทีมที่ต้องการคนที่พร้อมที่สุด มารับเงื่อนไขที่ยากที่สุด ซึ่งตอนนี้ชื่อของ โชเซ่ มูรินโญ่, ฮันซี่ ฟลิค และอีกหลาย ๆ คนเริ่มปรากฏออกมาในฐานะโค้ชใหม่ของพวกเขาแล้ว

ก่อนหน้านี้มีการมองว่า ฟลิค จะกลับมาคุมทีมเป็นคำรบ 2 เนื่องจาก ฟลิค กำลังว่างงาน และเจ้าตัวที่เคยไม่ถูกกับ อูลี่ เฮอร์เนส ผู้บริหารของ บาเยิร์น ก็กลับมาดีกันอีกครั้ง และแน่นอนว่า ฟลิค รู้จักทุก ๆ คนในทีมเป็นอย่างดี ดังนั้นกับโปรเจ็คต์ระยะสั้นดูเหมือนว่าเขาน่าจะเป็นตัวจริง

อย่างไรก็ตามเรื่องก็อาจจะพลิกได้ เพราะล่าสุดแบบสด ๆ ร้อน ๆ คือ ฟลิค มีการเปลี่ยนเอเย่นต์เป็น ปินี่ ซาฮาวี่ เอเย่นต์ทรงอิทธิพลของโลกลูกหนัง ที่บังเอิญว่าหมอนี่เป็นคนที่ไม่ถูกกับบาเยิร์น มีเรื่องพิพาทกันมาตั้งแต่ในอดีต โดยเฉพาะเรื่องของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่ทำให้ "เลวาน" ต้องย้ายออกจาก บาเยิร์น ในแบบที่แฟน ๆ บาเยิร์น ทำใจไม่ได้

ซึ่งการเปลี่ยนเอเย่นต์ครั้งนี้ ทำให้มีการโยงกันใหม่ว่า ฟลิค อาจจะกลายเป็นกุนซือของ บาร์เซโลน่า ที่มีจะมีการเปลี่ยนกุนซือใหญ่ในช่วงซัมเมอร์หน้า เพราะ ชาบี เอร์นันเดซ ประกาศลาออกหลังจากซีซั่นนี้จบ นอกจากนี้ ซาฮาวี่ ยังมีความสัมพันธ์ระดับจูบปากกับผู้บริหาร บาร์เซโลน่า ด้วย ดังนั้นหวยของฟลิค อาจจะมาออกที่ คาตาลันก็เป็นได้

แต่ที่สุดแล้วไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงแบบไหน แต่สิ่งที่ทุกคนสัมผัสได้คือ ทูเคิล มีปัญหาใหญ่ที่เขามีเวลาแก้จนแค่จบฤดูกาลนี้เท่านั้น ...หากเขาพิสูจน์ตัวเองด้วยแชมป์ยุโรปได้ นั่นอาจจะหมดคำถาม และเขาจะได้ความชอบธรรมอยู่ต่อ รวมถึงอาจจะได้รับความเชื่อมั่นในแง่ของการสร้างทีมเลือดใหม่ขึ้นมา

แต่ถ้าพลาดรายการนี้ ต่อให้เเชมป์บุนเดสลีกา ก็ไม่น่าช่วยไหว เหมือนกับกุนซือหลายคนที่กระเด็นออกจากตำแหน่งหลังจากได้แชมป์ลีกแบบที่ทุกคนไม่สงสัยและเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ... เพราะนี่คือสโมสรบาเยิร์น มิวนิค ทีมที่ตั้งอยู่บนปรัชญาความเป็นเลิศอันดับ 1 ของโลก เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอ และเราอาจจะได้เห็นอีกครั้งในวันที่ฤดูกาลจบลง...

 

แหล่งอ้างอิง : 

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-12530835/Why-Thomas-Tuchel-not-Bayern-Munich-dugout-Man-United-Champions-League.html
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-13073451/Thomas-Tuchel-falls-Bayern-Munich-star-dropped-dismal-3-0-defeat-Bayer-Leverkusen-player-angry-telling-reporters-fully-fit.html
https://www.goal.com/en/news/chaos-bayern-munich-thomas-tuchel-dispute-joshua-kimmich-role-too-slow/bltb45b6803a225985d
https://www.reddit.com/r/soccer/comments/3o7h51/why_were_fc_bayern_called_fc_hollywood/
https://www.blockdit.com/posts/608107601ad15a2f3d2a032f

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ