ข่าวเศร้าของวงการแบดมินตันทั่วโลก หลังจากที่ จาง จี้ เจียนักแบดมินตันจีน หัวใจวายล้มลง ขณะกำลังแข่งขันแบดมินตันรายการทีมผสมชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศอินโดนีเซีย ก่อนที่จะเสียชีวิตโรงพยาบาล
สิ่งที่ทำให้โซเชี่ยลมีเดีย วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากก็คือ กระบวนการปฐมพยาบาลและช่วยชีวิตที่ช้ามากๆ โดยหากพิจารณาจากคลิปจะเห็นว่า กว่าที่แพทย์สนามจะเข้ามาและรู้อาการนั้น กินเวลาไปราว 1 นาที และการช่วยชีวิตยังไม่มีการทำ CPR กว่าที่จะเคื่อนตัวออกจกสนามก็กินเวลาราว 2 นาทีครึ่ง
และอีกสิ่งหนึงที่ทางฝ่ายจัดการแข่งขันไม่มี คือ เครื่องกระตุกหัวใจ หรือ AED
เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (Automated External Defibrillator, AED) เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาชนิดหนึ่ง สามารถวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้โดยอัตโนมัติ และสามารถให้การรักษาด้วยการช็อกไฟฟ้ากระตุกหัวใจได้โดยใช้กระแสไฟฟ้าหยุดรูปแบบการเต้นของหัวใจที่ผิดจังหวะ
ในวงการกีฬาปัจจุบัน AED ถือว่ามีว่ามีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งในวงการกีฬาระดับโลก จะมีการติดตั้ง AED ไว้สำรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งงานวิจัยระบุว่า ผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจวายและได้รับการปฐมพยาบาลได้ถูกต้อง ประกอบการใช้เครื่อง AED จะมีอัตราฟื้นได้ถึง 70% ภายในระยะเวลา 4 นาที แต่หากไม่มีเครื่อง AED การฟื้นกลับมาของผู้ป่วยจะมีเพียง 50% เท่านั้น
ปัจจุบัน สหพันธ์แบดมินตันนานาชาติ หรือ BWF ปัจจุบัน ไม่ได้มีข้อบังคับในเรื่องของการแข่งขันที่ทุกสนามจะต้องติดตั้ง AED ไว้ อีกทั้งเตุการณ์ที่เกิดขึ้น การปฐมพยาบาลฉุกเฉิน จะต้องได้รับอนุญาตจากกรรมการก่อน ดังจะเห็นจากคลิปว่า กว่าที่แพทย์สนามจะเข้าถึงตัวนักกีฬานั้นใช้เวลานาน และนักกีฬาจากญี่ปุ่นที่พยายามเข้าไปดูอาการ แต่ถูกกรรมการห้ามไว้ เป็นวิธีที่ช้าและยังไม่ทันสมัย นั่นจึงทำให้สหพันธ์แบดมินตันของอินโดนีเซีย เตรียมทำเรื่องไปยัง BWF เพื่อร้อขอให้กระบวนการปฐมพยาบาลมีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ฝั่งของพี่สาวผู้เสียชีวิต ก็ได้โพสต์โซเชี่ยลมีเดีย ตั้งคำถามถึงกระบวนการช่วยชีวิตที่ล่าช้า และตั้งข้อสงสัยถึงกระบวนการปฐมพยาบาลที่ไม่มีมาตรการรองรับ ซึ่งทุกๆฝ่ายต่างก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะหากมีการปฐมพยาบาลที่ถูกวิธี การสูญเสียนี้คงไม่เกิดขึ้น