
ดูเหมือนทุกฝ่ายจะแฮปปี้กับผลงานของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ในเวลานี้ ไม่ว่าจะทั้งต้นสังกัดที่แท้จริงอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด, ทีมที่ยืมตัวอย่าง บาร์เซโลน่า หรือแม้กระทั่งทีมชาติอังกฤษ ก็เช่นกัน
แรชฟอร์ด เริ่มกลับเข้าสู่จังหวะการเล่นที่อันตราย และมีอิมแพ็กต์ต่อเกมกับชีวิตใหม่ที่ บาร์ซ่า นี่คือสิ่งที่เขาทำไม่ได้มานาน ถ้าให้นับตามปฏิทินอาจจะมากถึง 2 ปี เลยด้วยซ้ำ
การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนความจริงอะไรบางอย่าง และสิ่งนั้นทำให้ แรชฟอร์ด กลับสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ... ติดตามทั้งหมดกับ Main Stand
จาก “เด็กปั้นเบอร์หนึ่ง” สู่ “หน้าใหม่” ใน บาร์ซ่า
ในแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แรชฟอร์ดคือศูนย์กลางของทุกอย่าง ไอคอนของอคาเดมี, เด็กท้องถิ่นจากเมืองแมนเชสเตอร์, ฮีโร่ที่ยิงประตูชัยในเกมใหญ่ และเป็นหน้าโฆษณาของสโมสรในทุกมิติ ตั้งแต่แคมเปญเสื้อแข่งไปจนถึงแคมเปญสังคม
แรชฟอร์ดในยุคสุดท้ายกับยูไนเต็ดเหมือนอยู่ในวังวนเดิม แรงกดดันจากแฟนบอล, ความไม่แน่นอนของเทน ฮาก, ฟอร์มขึ้น ๆ ลง ๆ และสื่ออังกฤษที่พร้อมโจมตีทุกเมื่อ เมื่อเขา “ไม่ยิ้ม” หลังเกม ... ซึ่งอันที่จริง สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่ทำให้เขากับ ยูไนเต็ด ต้องมาลงเอยกันแบบนี้ เพราะความจริงก็คือเขานี่แหละ ที่มีผลต่อผลงานของตัวเองโดยตรง และมันชัดเจนกว่า ถ้าจะเริ่มมองเรื่องของเขา มากกว่าสภาพแวดล้อมรอบข้าง เพราะมาตรฐานของเขามันตกลงไปมาก แบบที่ไม่ต้องใช้แว่นขยายส่องก็เห็นความจริงข้อนี้ได้ไม่ยาก

ทุกอย่างที่ ยูไนเต็ด มันเกินควบคุม สโมสรเลี้ยงดูเขาอย่างราชานับตั้งแต่วันที่เปิดตัวกับทีมชุดใหญ่นัดแรก และสถานะนั้นติดค้างอยู่กับตัวเขา มันส่งผลโดยตรงที่ทำให้ แรชฟอร์ด "ไม่ติดดิน" มองข้ามสิ่งพื้นฐานหลาย ๆ อย่างเพื่อพัฒนาตัวเอง เพียงเพราะเขาคือ "ซูเปอร์สตาร์ประจำทีม" และเป็นคนที่อยู่เหนือระบบการเล่นมาโดยตลอด
เรื่องนี้มันเกิดขึ้นมานานจนยากจะเปลี่ยนแปลง ทั้ง 2 ฝ่ายแก้ไขอะไรให้ดีขึ้นไม่ได้อีกแล้ว และมันนำไปสู่ทางออกที่ดีที่สุด นั่นคือการแยกย้ายกันไปเติบโต ยูไนเต็ด ก็จะเติบโตโดยที่ไม่มี แรชฟอร์ด ขณะที่ แรชชี่ ก็เลือกเส้นทางใหม่เพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง ... และตอนนี้เขาอยู่กับ 1 ในทีมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและยิ่งใหญ่ที่สุดทีมหนึ่งอย่าง บาร์เซโลน่า
การตัดสินใจครั้งนี้เปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่าง ที่แน่ ๆ คือเมื่อเขาเดินเข้าสู่ห้องแต่งตัวของบาร์เซโลน่าในซัมเมอร์ 2025 เขาไม่ใช่ "No.1" อีกต่อไป
ในทีมที่มีชื่ออย่าง เปดรี, กาบี, ลามีน ยามาล, ราฟินญ่า และ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ แรชฟอร์ดกลับเป็นเพียง “นักเตะใหม่ที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง”
ไม่มีเสียงตะโกนเรียกชื่อเขาจากแฟน ๆ ทุกครั้งที่ซ้อม ไม่มีป้าย “RASHFORD 10” เต็มอัฒจันทร์อย่างในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เขาเป็นเพียงอีกหนึ่งฟันเฟืองในทีมระดับซูเปอร์คลับที่ “ระบบ” สำคัญกว่า “ชื่อ” จากคนที่เคยมีทีมสร้างรอบตัว ต้องมาอยู่ในทีมที่ตัวเองต้องปรับเข้ากับระบบ มันคือจุดเปลี่ยน ที่เขาไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิตค้าแข้ง ... ซึ่งนั่นแหละที่ทำให้เรื่องต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้นในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา
ชีวิตคุณ คุณเลือกเอง
ความคาดหวังที่มีต่อ มาร์คัส แรชฟอร์ด ไม่ได้สูงมากนักเมื่อเขาย้ายมาอยู่กับบาร์เซโลน่าในช่วงซัมเมอร์นี้ โดยพื้นฐานแล้ว เขาเป็นตัวเลือกที่สามสำหรับบทบาทตัวสำรองในทีมของฮันซี่ ฟลิค ด้วยซ้ำ
เหตุผลที่ บาร์ซ่า หันไปหา แรชฟอร์ด นั้น ก็เพราะว่าทีมได้พลาดการคว้าตัวนิโก้ วิลเลียมส์ และลุยส์ ดิอาซ ซึ่งสโมสรต้องการเซ็นสัญญาเข้ามาคอยช่วยคัฟเวอร์ตำแหน่งปีกซ้ายของ ราฟินญ่า อีกทั้งการเซ็นสัญญากับ แรชฟอร์ด ก็ง่ายมาก เพราะ ยูไนเต็ด พร้อมให้ยืมตัว แถมยังมีค่าตัวที่ซื้อขาดได้ในราคาถูกมาก ๆ (ราว ๆ 27 ล้านปอนด์) ดังนั้นเราจึงเข้าใจได้ว่า แรชฟอร์ด รู้สถานะตัวเองตั้งแต่วันแรกที่เขามาที่นี่แล้ว

มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับแรชฟอร์ด ที่ บาร์เซโลน่า หนึ่งในเหตุผลที่เขามาที่นี่ ก็คือการคืนความยิ่งใหญ่ให้กับอาชีพนักฟุตบอลของเขา ดังนั้นเขาจะเอ้อระเหยลอยชาย ปล่อยให้ตัวเองอยู่เหนือปัญหาไม่ได้แล้ว แรชฟอร์ด จะต้องกระโดดใส่ปัญหาและสู้กับมันอย่างสุดฝีมือ เพื่อชิงตำแหน่ง และโอกาสลงสนามของ ฮันซี่ ฟลิค ให้ได้
แหล่งข่าวภายในทีมของบาร์ซ่า ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อเล่าผ่านสื่ออย่าง The Athletic ว่า ฮันซี่ ฟลิค มีแผนกับแรชฟอร์ด ที่ชัดเจน นั่นคือการให้เวลาที่เหมาะสมกับนักเตะ เพื่อให้เขาค้นหาตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดให้ได้ ... เรียกได้ว่าทั้งอุปสงค์ และอุปทาน ตรงกัน จนสามารถไปสู่แนวทางที่ แรชฟอร์ด และ บาร์ซ่า จะได้ประโยชน์ร่วมกันได้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องยกย่องให้กับโค้ชอย่าง ฟลิค ที่เป็นคนเด็ดขาด และเชี่ยวชาญเรื่องการบริหารจัดการคน จนแทบไม่เกิดปัญหาในรั้วบาร์ซ่าเลยนับตั้งแต่เขามาที่นี่
“ฮันซี่อยู่เหนือแรชฟอร์ดจริงๆ เขาเก่งเรื่องการบริหารจัดการคนมาก และฟลิค ก็นำเรื่องนี้มาปรับใช้กับเขา เพราะตอนนี้เขารู้ว่า แรชฟอร์ด ต้องการสิ่งนั้น”
ช่วงแรก ๆ แรชฟอร์ด ไม่ได้ทำผลงาานดีนัก แต่ ฟลิค ก็ให้โอกาสแรชฟอร์ดเสมอ ในบทบาทปีกซ้าย บางครั้งก็สลับขึ้นไปเป็นกองหน้า และในบางครั้งเขาก็สอนบทเรียนให้กับ แรชฟอร์ด เรื่องระเบียบวินัย ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายึดถือในปรัชญาการทำทีมของตัวเองมาโดยตลอด เรื่องใน และนอกสนามผนวกรวมกัน บวกกับความพยายามตั้งใจที่ปรับตัวจริง ๆ ของ แรชฟอร์ด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ บาร์ซ่า ขึ้นทีละนิด ๆ โดยที่เขาอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

ฟลิค ทำให้ แรชฟอร์ด กลับมาติดทีมชาติอังกฤษอีกครั้ง ในเกมกับ เซอร์เบีย ซึ่งในเกมนั้น แรชฟอร์ด ยิงได้ 1 ลูกจากจุดโทษ ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกัน ฟลิค ก็ให้สัมภาษณ์ชม แรชฟอร์ด ว่า เขาได้เห็นความพยายามอย่างต่อเนื่องในการฝึกซ้อม และหนึ่งในสิ่งที่เขาพูดฝังสมองของแรชฟอร์ดก็คือ "อัตตาฆ่าความสำเร็จ" ซึ่งแปลให้เขาใจง่าย ๆ ก็คือ “ความหลงตัวเองทำลายทุกอย่าง” หรือ “ยิ่งคิดว่าตัวเองเก่งเท่าไร ก็ยิ่งไกลจากคำว่าประสบความสำเร็จเท่านั้น”
นี่ไม่ใช่แนวคิดอะไรใหม่เลยสำหรับแรชฟอร์ด หลายคนที่ ยูไนเต็ด พยายามจะบอกแบบนั้นกับเขา แต่อาจจะด้วย ณ วันนั้น ความคิดเขายังไม่พร้อมที่จะเปิดรับ หรือคนที่พูด ไม่ได้มีอิทธิพลต่อความคิดของเขามากพอ ... แต่นั่นไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะที่ บาร์ซ่า แรชฟอร์ด ได้ทิ้งอัตตา และกำลังพยายามกลับมาอยู่บนเส้นทางที่เขาควรจะเป็นอีกครั้ง
แรชฟอร์ด ในโลกของ ฮันซี่ ฟลิค
ฮันซี่ ฟลิค ต้องการนักเตะริมเส้นที่วิ่งไม่มีหยุด มีวินัย และเข้าใจการบีบพื้นที่แบบต่อเนื่อง นั่นอาจจะไม่ใช่ภาพของ แรชฟอร์ด ในช่วงท้ายกับ ยูไนเต็ด แต่คุณก็คงจะได้เห็นจากข่าวหรือวิดีโอคลิปต่าง ๆ ไปพอสมควรแล้วว่าตอนนี้ แรชฟอร์ด กำลังพยายามอย่างมากที่จะเป็นคนนั้นของฟลิค

ในแผนของฟลิค เขาใช้แรชฟอร์ดทั้งในตำแหน่งปีกซ้ายและกองหน้าตัวหลอก เพื่อเพิ่มมิติให้ทีมในจังหวะเปลี่ยนจากรับเป็นรุก ความเร็วและการจบสกอร์ของเขายังเป็นอาวุธที่ต่างจากแนวรุกบาร์ซ่าคนอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นสายจ่ายหรือเทคนิคจัดจ้าน
ขณะเดียวกัน ฟลิคยังมองว่า “แรงผลักจากอดีต” คือเชื้อเพลิงที่ดีที่สุดของแรชฟอร์ด เขาให้บทบาทที่ต้องต่อสู้เพื่อแย่งตำแหน่งกับดาวรุ่งวัย 18-19 ปี และนั่นทำให้แรชฟอร์ดกลับมามีไฟอีกครั้ง ทุกนาทีที่ได้ลงสนามคือการ “อยู่รอด” และทุกประตู คือ “คำตอบ” ว่าเขายังไม่หมดสภาพแบบที่ใคร ๆ คิดกัน
แหล่งข่าวระบุว่าแรชฟอร์ด “หลงทาง” เล็กน้อยในเชิงแท็กติกในช่วงแรก แต่เขาเป็นคนที่เรียนรู้ได้เร็ว เขาเข้าใจสิ่งที่ฟลิคต้องการจากเขา และได้รับประโยชน์จากคำแนะนำที่ตรงไปตรงมา และกระชับของโค้ช ฟลิคไม่ชอบทำให้ผู้เล่นสับสนด้วยข้อมูลมากเกินไป เขาต้องการให้แรชฟอร์ดเล่นแบบไดเร็กต์ พยายามพาบอลเข้าโจมตีคู่แข่ง ซึ่งในตอนนี้เขากำลังทำได้ดีขึ้นด้วยการเลี้ยงบอลดวลเดี่ยว 5.97 ครั้ง ต่อ 90 นาทีในฤดูกาลนี้ นี่คือตัวเลขที่สูงกว่าที่ ราฟินญ่า ทำได้ แต่ก็ยังน้อยกว่าที่ ยามาล ทำได้ นั่นทำให้ ฟลิค อยากจะให้ตัวเลขตรงนี้ของแรชฟอร์ดเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
แรชฟอร์ด เองก็ตอบสนองเรื่องนี้ เขาแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นในแง่นี้ เมื่อเทียบกับฤดูกาลที่แล้ว ในเกมกับยูไนเต็ดและวิลล่าในพรีเมียร์ลีกเขาวิ่งเฉลี่ย 18.9 ครั้งต่อเกม แต่ตอนนี้เขาฤดูกาลนี้กับ บาร์ว่าตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 34.9 ครั้ง แถมยังทำความเร็วได้สูงสุดที่ 21 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ... นี่คืออีกหนึ่งสิ่งที่เขาพัฒนาขึ้นในวันที่เขากลับมารับบทบาทผู้ท้าชิงที่ไม่การันตี 11 ตัวจริงในซีซั่นนี้

อนาคตของแรชฟอร์ดกับบาร์ซ่าจะไม่ถูกตัดสินด้วยการเผชิญหน้ากับโอลิมเปียกอส ล่าสุดที่เขายิงไป 2 ลูก หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเกม เอล กลาสิโก้ กับ เรอัล มาดริด แต่มันจะถูกตัดสินตลอดทั้งฤดูกาล ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะทำผลงานได้ดีแค่ไหน ซึ่งเรื่องนี้เขาก็พร้อมที่จะทำให้การย้ายขาดหลังซีซั่นจบลงเกิดขึ้น
“ใช่เลย แน่นอน” แรชฟอร์ด ยิ้มเมื่อถูกถามว่าเขาอยากจะอยู่กับ บาร์เซโลน่า ถาวรหรือไม่
"23-24 ปี ที่ผมใช้ชีวิตกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บางครั้งมันอาจจะต้องทำการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างบ้าง ผมคิดว่าตัวของผมมันรู้สึกแบบนั้น และใช่ ตอนนี้ผมกำลังสนุกกับทุกอย่างที่เข้ามาที่นี่" แรชฟอร์ด กล่าวทิ้งท้าย
แหล่งอ้างอิง
https://www.nytimes.com/athletic/6743929/2025/10/23/marcus-rashford-barcelona-transfer-manchester-united/
https://www.espn.com/soccer/story/_/id/46655806/how-manchester-united-marcus-rashford-revitalized-career-barcelona
https://www.goal.com/en/lists/marcus-rashford--new-role-at-barcelona-hansi-flick-psg-sevilla-defeats/bltc00667ec761444d1
https://www.nytimes.com/athletic/6637400/2025/09/18/marcus-rashford-barcelona-champions-league-n