Feature

มอยเซส ไกเซโด้ : กลางรับเชลซีที่เวลานี้ขาดไม่ได้ กับสกิลแดนกลางที่อัปเกรดตามยุคสมัย | Main Stand

"เชลซี ไม่เคยขาดกองกลางตัวรับชั้นยอด" นี่คือคำที่แฟนบอลเชลซีน่าจะได้ยินหรือผ่านหูผ่านตากันมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา 

 

ยิ่งในช่วงนี้ การที่ มอยเซส ไกเซโด้ มีฟอร์มการเล่นที่กำลังขึ้นหม้อ ก็ทำให้มีการตั้งคำถามในเชิงเปรียบเทียบว่า "ไกเซโด้ จะก้าวขึ้นมาเป็นตำนานกลางรับ เชลซี เฉกเช่น โคล้ด มาเกเลเล่ และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ได้หรือไม่?"

ทั้ง 3 คนนี้อาจจะเป็นกองกลางตัวรับที่รูปร่างลักษณะคล้ายคลึงกันมาก หน้าที่ในสนามก็เหมือนกัน แต่หากดูเนื้อในแล้วว่าวิธีการเล่นของพวกเขาดูจะมีความต่างกันอยู่พอสมควร ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากยุคสมัยที่ฟุตบอลมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทำให้กลางรับต้องอัปสกิลมากกว่าแค่การตัดเกม 

ติดตามได้ที่ Main Stand

 

เน้นตัดและปัดกวาด

กลางปี 2003 โคล้ด มาเกเลเล่ ย้ายจาก เรอัล มาดริด มาอยู่กับ เชลซี ด้วยค่าตัว 24 ล้านยูโร ซึ่ง มาเกเลเล่ คือ นักเตะคนแรก ๆ ที่ โรมัน อับราโมวิช ซื้อเข้ามาหลังจากที่เสี่ยหมีเทคโอเวอร์สโมสร

ภายใต้การคุมทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ก่อนหน้าที่ มาเกเลเล่ จะย้ายมา เชลซี มักจะใช้ เฌเรมี่ เอ็นชีตัป เป็นกลางรับยืนคู่กับตัวออกบอลอย่าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด

ถ้าวันไหน เฌเรมี่ ไม่พร้อมลงสนาม รานิเอรี่ ก็จะอัดกลางแน่น ๆ มายืนในระบบ 4-4-2 ไดมอนด์ โดยให้ แลมพาร์ด เป็นกลางตัวต่ำขนาบข้างด้วย เอ็มมานูเอล เปอตีต์ กับ เยสเปอร์ กรองชาร์ และ เดเมี่ยน ดัฟฟ์ เป็นกลางรุกเชื่อมแดนหน้า

แต่หลังการเข้ามาของ มาเกเลเล่ เขาทำให้เกมรับของ เชลซี เหนียวแน่นมากขึ้น เพราะ มาเกเลเล่ จะยืนปักหลักอยู่หน้าคู่เซ็นเตอร์แบ็ก และเมื่อเขาตัดบอลกลับมาอยู่ในการครอบครองของ เชลซี มาเกเลเล่ ก็จะรีบออกบอลให้กับกองกลางหรือตัวรุกแดนบนได้ทำเกมบุกต่ออย่างสบายหายห่วง

ฤดูกาล 2003-04 ปีแรกของ มาเกเลเล่ กับ เชลซี เขามีส่วนสำคัญในการช่วยให้ "สิงห์บลูส์" เก็บไปถึง 21 คลีนชีตส์รวมทุกรายการ แถมยังช่วยให้ เชลซี จบอันดับที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก แต่ในปีนั้นทีมมีคะแนนตามหลังแชมป์ไร้พ่ายอย่าง อาร์เซน่อล มากถึง 11 คะแนน

ส่วนในบอลถ้วยยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เชลซี ทำผลงานได้ดีจนทะลุเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนพ่ายให้กับ อาแอส โมนาโก ซึ่งนัดที่ 2 ในการเจอกับทีมจากฝรั่งเศส เชลซี ไม่มี มาเกเลเล่ ที่ติดโทษแบนจากการสะสมใบเหลืองครบ 2 ใบ เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ตกรอบ แถมยังกระทบต่อเก้าอี้กุนซือของ รานิเอรี่ ด้วย 

สุดท้าย โรมัน อับราโมวิช ก็ตัดสินใจปลดเฮดโค้ชชาวอิตาเลียน และแทนที่ด้วย โชเซ่ มูรินโญ่ โค้ชชาวโปรตุกีส ผู้พา เอฟซี ปอร์โต้ คว้าแชมป์บิ๊กเอียร์ ในปี 2004

การเข้ามาของ "เดอะ สเปเชียล วัน" นัดไหนถ้า มาเกเลเล่ ไม่เจ็บไม่แบน โชเซ่ มูรินโญ่ ก็จะให้นักเตะรายนี้ยืนเป็นกลางรับตัวหลักทุกนัดแบบที่ไม่มีการเปลี่ยนออก

ไม่ว่าแผนการเล่นจะเป็นแบบไหน แต่ มาเกเลเล่ ก็จะยืนเป็นกระดูกสันหลังในแดนกลางให้กับทีม จนช่วยให้ เชลซี คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกแบบที่เสียแค่ 15 ประตู และเก็บไปถึง 25 คลีนชีตส์ในพรีเมียร์ลีก

แถมการที่มี มาเกเลเล่ เป็นปราการด่านหน้า ทำให้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ยิ่งฉายแสงความเป็นกองกลางจอมพังประตูมากขึ้น โดยในฤดูกาล 2004-05 แลมพาร์ด ทำไป 19 ประตู 22 แอสซิสต์ จาก 58 นัดรวมทุกรายการ เป็นการทำสถิติยิงจ่ายแตะเลขสองหลักครั้งแรกของ "ซูเปอร์แฟร้งค์"

ซึ่งการที่ทำให้ แลมพาร์ด เดินหน้าทำเกมรุกแบบไม่ห่วงเกมรับ ก็เพราะมี มาเกเลเล่ เป็นตัวดักบอลให้เวลาที่ทีมเสียการครองบอล

ฤดูกาลนั้นหลังจากที่ เชลซี การันตีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปแล้ว บรรดาผู้เล่นตัวจริงของ เชลซี ยกเว้นผู้รักษาประตูต่างทำประตูกันได้แล้วทุกคน จะขาดก็เพียงแค่ โคล้ด มาเกเลเล่ เพราะหน้าที่หลักของเขา คือ เรื่องการเล่นเกมรับ ทำให้นักเตะไม่ค่อยได้มีโอกาสขึ้นมาทำประตูมากนัก 

แต่สุดท้าย มาเกเลเล่ ก็มาปลดล็อกเรื่องการทำประตู ในเกมนัดที่ 37 ของฤดูกาล โดยเปิดบ้านเจอกับ ชาร์ลตัน แอธเลติก เหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงท้ายเกม โจ โคล โดนทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษทำให้ เชลซี ได้ลูกจุดโทษ

ปกติแล้ว แฟร้งค์ แลมพาร์ด จะรับหน้าที่สังหารจุดโทษ แต่เกมนี้เขายื่นบอลให้กับ มาเกเลเล่ ได้ลุ้นทำประตู ซึ่ง มาเกเลเล่ จัดการยิงจุดโทษไปติดเซฟของ สเตฟาน อันเดร์เซ่น นายด่านของ ชาร์ลตัน แต่เขายังมีปฏิกิริยาที่ว่องไวเลยตามซ้ำเข้าไปได้ กลายเป็นประตูขึ้นนำและเป็นประตูชัยให้ เชลซี เฉือนชนะ ชาร์ลตัน 1-0 

ซึ่งหลังยิงประตูได้เพื่อนร่วมทีมต่างวิ่งกรูกันเข้ามาแสดงความดีใจกันยกใหญ่ ราวกับว่านี่เป็นประตูการันตีคว้าแชมป์ 

นอกจากนี้ ความสามารถของ มาเกเลเล่ ยังมีส่วนช่วยให้ เชลซี ป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในปีต่อมา รวมถึงการคว้าแชมป์บอลถ้วยในประเทศทั้ง เอฟเอ คัพ และลีก คัพ ได้ด้วย

ตลอดเวลา 5 ปีที่ มาเกเลเล่ ค้าแข้งในสแตมฟอร์ด บริดจ์ หน้าที่หลักของกลางรับคนนี้ คือ ยืนดักบอล หรือ Interception รวมถึงเขามักจะวิ่งไปตัดและปัดกวาดเกมรุกคู่แข่ง ก่อนพาบอลขึ้นหน้า หรือออกบอลให้กับผู้เล่นคนอื่น ๆ ได้ทำเกมสวนกลับ 

เขาอาจจะไม่ใช่กองกลางที่วิ่งพล่านไปทั่วสนาม เพราะตอนที่ มาเกเลเล่ ย้ายมา เชลซี ในปี 2003 เขามีอายุประมาณ 30 ปี ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่เริ่มขาลงของนักเตะในสมัยนั้น

แต่ใช่ว่านักเตะอย่าง มาเกเลเล่ จะไม่เคลื่อนที่ เพราะเขายังมีความฟิตที่ดีพอในการวิ่งไปกดดัน บวกกับการอ่านเกมและสกิลการเอาตัวรอดที่สามารถเอาออกมาใช้ได้ตลอดเวลา ทำให้ผู้เล่นและแฟนบอลของ เชลซี ต่างรู้สึกอุ่นใจกับการที่มี โคล้ด มาเกเลเล่ เป็นปราการด่านหน้าคอยทำลายเกมรุกฝั่งตรงข้าม

ด้วยการที่เขาลงเล่นเป็นกองกลางตัวรับ ยืนต่ำหน้าคู่เซ็นเตอร์ คอยปัดกวาดและตัดบอลทันทีเมื่อคู่แข่งได้บอล ทำให้สื่อต่างยกย่องถึงวิธีการเล่นของเขาว่า "Makelele Role"  

 

เสริมพลังงานและการเติมเกมรุก

จากต้นทศวรรษ 2000 ข้ามมาที่ช่วงกลางยุค 2010 เชลซี ก็ได้มีกองกลางตัวรับที่จิ๋วแต่แจ๋วคนต่อมา นั่นคือ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ 

หลังเขาสร้างเทพนิยายจิ้งจอกสยามกับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ เลสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาล 2015-16 ปีต่อมา ฤดูกาล 2016-17 เชลซี จัดการดึง ก็องเต้ เข้ามาในราคาประมาณ 32 ล้านปอนด์

ช่วงแรกที่ย้ายมา เชลซี ตัวของ ก็องเต้ อาจจะยังต้องใช้เวลาปรับตัวแถมผลงานในเกมแรก ๆ ของ อันโตนิโอ คอนเต้ ก็ยังไม่ค่อยดี จนกระทั่ง กุนซือชาวอิตาเลียนเปลี่ยนมาใช้ระบบการเล่นที่ตัวเองถนัด คือ 3-4-3

สมัยที่ ก็องเต้ คว้าแชมป์ลีกกับ เลสเตอร์ ซิตี้ เขาเป็นยืนคู่กองกลางร่วมกับ แดนนี่ ดริ้งค์วอเตอร์ สร้างความเหนียวแน่นในแดนกลางก่อนที่ "จิ้งจอกสยาม" จะประสบความสำเร็จ

ซึ่งตอนที่ คอนเต้ จับ ก็องเต้ ลงเล่นเกมแรก ๆ เขาให้มิดฟิลด์ชาวฝรั่งเศสยืนเป็นกลางรับตัวเดียวในแผน 4-1-4-1 ทำให้ ก็องเต้ ต้องรับภาระในการสกัดกั้นเกมรุกคู่แข่งค่อนข้างเยอะ 

ก่อนจะปรับมายืนเป็นกลางคู่กับ เนมันย่า มาติช ในแผน 3-4-3 กลายเป็นว่า เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่คุ้นชินกับการยืนกองกลาง 2 คนอยู่แล้ว เขาก็โชว์ฟอร์มออกมาได้อย่างโดดเด่น 

สามารถวิ่งไปตัดเกมได้ทั่วทั้งสนามแบบที่มี มาติช ยืนค้ำให้อยู่ตรงกลาง เมื่อคู่กลางยืนกันได้อย่างเหนียวแน่นก็ส่งผลต่อ 3 เซ็นตอร์แบ็กที่จะไม่ต้องเจอกับการดวลเกมรุกจากฝั่งตรงข้ามมากนัก 

ต้องยอมรับเลยว่า 32 ล้านปอนด์ที่ เชลซี ลงทุนไปในกลางปี 2016 ได้ออกดอกออกผลเห็นถึงความคุ้มค่าทันทีตั้งแต่ปีแรก เพราะเขามีส่วนช่วยให้ เชลซี ในยุค อันโตนิโอ คอนเต้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จ หลังจากที่ทีมเจอช่วงเวลาอันย่ำแย่ในฤดูกาลก่อนหน้านี้ 

และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ได้ทำสถิติกลายเป็นนักเตะคนแรกที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัยติดต่อกันกับ 2 สโมสร นับเป็นจุดที่สร้างชื่อให้ ก็องเต้ โด่งดังและเริ่มยกระดับเป็นกลางรับตัวท็อปในพรีเมียร์ลีก

แต่ช่วงที่ ก็องเต้ ได้รับการอัปเกรดความสามารถมากกว่าแค่การตัดเกม เกิดขึ้นในฤดูกาล 2018-19 ยุคของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ 

ปีนั้น ก็องเต้ ถูกปรับตำแหน่งจากกลางรับหมายเลข 6 มาเป็นกองกลางหมายเลข 8 เพื่อเปิดพื้นที่ให้ จอร์จินโญ่ ที่ย้ายมาพร้อมกับ ซาร์รี่ คอยยืนปักหลักคุมจังหวะ นอกจากนี้ เหตุผลที่ให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ขยับมาเป็นกองกลาง Box to Box ก็เพราะว่า ซาร์รี่ อยากให้ ก็องเต้ ขึ้นไปกดดันคู่แข่งแดนบนมากขึ้นรวมถึงหาโอกาสเข้าไปลุ้นจบสกอร์ในบางครั้งด้วย

ตอนแรก ๆ ที่มีการเปลี่ยนตำแหน่งกองกลาง แฟนบอลเชลซีหลายคนก็ออกมาตั้งคำถามว่า ก็องเต้ ไม่เก่งเกมรุกจะขยับขึ้นไปทำไม? ใช้แบบนี้เสียของหรือเปล่า? แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนก็ได้เห็นสกิลที่ถูกตีบวกของ ก็องเต้ และออกมายอมรับกันมากขึ้น จากที่เป็นแค่มิดฟิลด์ไดนาโม ใช้พลังงานในการตัดเกม กลายเป็นนักเตะที่มีความครบเครื่องช่วยทีมได้หมดไม่ว่าจะเกมรุกหรือเกมรับ

2 ฤดูกาลแรกกับ เชลซี ก็องเต้ ยิงประตูได้ปีละไม่เกิน 2 ประตู แต่พอในยุคของ ซาร์รี่ ตัวเลขก็กระโดดขึ้นมาเป็น 5 ประตู แถมมีอีก 4 แอสซิสต์ ก่อนที่ปีนั้น ก็องเต้ จะมีส่วนช่วยให้ทัพ "สิงห์บลูส์" ก้าวไปคว้าแชมป์ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก เป็นสมัยที่ 2 ของสโมสร

ความเจิดจรัสในการเล่นของ ก็องเต้ ยิ่งโดดเด่นทวีคูณในฤดูกาล 2020-21 โดยเฉพาะในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ ก็องเต้ เป็นหนึ่งในคนที่สร้างความแตกต่างในสนามให้กับ เชลซี จนทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศดวลกับ แมนฯ ซิตี้ ก่อนจะพลิกความคาดหมายด้วยการเฉือนเอาชนะไป 1-0 คว้าแชมป์หูใหญ่ได้อีก 1 สมัย

ต่อเนื่องด้วยการช่วยทีมป้องกันเกมรับและสามารถเถลิงแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ รวมถึงแชมป์โลกสโมสร รูปแบบเก่า หรือที่ตอนนี้จะเรียกแชมป์ อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ

ตั้งแต่ ปี 2010 เป็นต้นมา ความเข้มข้นในเรื่องของแท็คติกมันยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุก ๆ ปี นักเตะทุกคนต้องมีความฟิตเกินร้อย เพื่อที่จะได้วิ่งขึ้นลงตลอดทั้งเกม ซึ่งวิธีการเล่นของ ก็องเต้ ดูจะตอบโจทย์กับฟุตบอลในช่วงเวลานั้น

เขาคือกองกลางตัวรับที่ไม่ใช่แค่ยืนประจำการอยู่ในแผงกองหลัง แต่ ก็องเต้ มีพลังงานเป็นคุณสมบัติที่โดดเด่น ทำให้นักเตะสามารถวิ่งไปได้ทั่วในทุกพื้นที่ของสนาม

ครั้งหนึ่ง ดิดิเย่ร์ เดส์ช็องส์ เทรนเนอร์ของทีมชาติฝรั่งเศสเคยพูดแซวแบบติดตลกตอนที่ ก็องเต้ เดินทางมาซ้อมสาย เพราะรถไฟเกิดการล่าช้าว่า

"เอ็นโกโล่ นายเร็วกว่ารถไฟอยู่แล้ว คราวหน้านายก็วิ่งมาเลย" คำพูดที่พอให้ยิ้มมุมปากของ เดส์ช็องส์ มันสะท้อนให้เห็นความสามารถของ ก็องเต้ ได้อย่างชัดเจนว่า นี่คือกองกลางตัวรับสุดขยัน วิ่งไวไม่มีหมด 

จะมีนักฟุตบอลสักกี่คนที่เปิดบอลยาวลอยอยู่กลางอากาศ แต่ตัวเองสามารถวิ่งไปรับบอลมาได้ ก็องเต้เคยทำมาแล้ว และการที่ ก็องเต้ ได้รับการพัฒนาฝีเท้าจาก เมาริซิโอ ซาร์รี่ มันก็ยิ่งทำให้นักเตะที่ดูไม่มีพิษสงอะไร แต่กลับสร้างอันตรายได้ตลอดเวลา มีลูกจ่ายลูกยิงไกลให้ได้เซอร์ไพรส์กันทุกครั้ง

อย่างไรก็ตาม สภาพร่างกายของ ก็องเต้ ก็เหมือนกับเครื่องยนต์ เมื่อผ่านการใช้งานไปหลายปี การจะให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถนะเหมือนตอนแรกที่ซื้อมา มันก็คงไม่สามารถทำได้ แถมจะก่อให้เกิดการชำรุดทรุดโทรมที่เร็วขึ้น

ซึ่งสภาพร่างกายของ ก็องเต้ เป็นแบบนั้น เพราะนับตั้งแต่ปี 2018 ยิ่งอายุมากขึ้นกองกลางรายนี้ก็เริ่มมีอาการบาดเจ็บเข้ามาแทรกแซงบ่อยครั้งมากขึ้น 

ต่อให้จะเริ่มเจ็บง่ายตามวัยและจากสภาพร่างกายที่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผลงานความขยันของ ก็องเต้ มันได้ส่งเสริมให้ เชลซี ครองความยิ่งใหญ่กวาดแชมป์ได้แทบทุกรายการในช่วงเวลานั้น     

 

ติดอาวุธยิงไกลพร้อมคุมเกม    

หลังผ่านพ้นยุคของ Kante is Everywhere ในช่วงปี 2020 เป็นต้นมา เชลซี ก็ไม่ปล่อยให้ทีมต้องขาดกลางรับขั้นเทพไปนานหลายปี 

ในฤดูกาล 2023-24 เชลซี จัดการเดินดีลที่ถือเป็นมหากาพย์อย่าง มอยเซส ไกเซโด้ พวกเขายอมทุ่มเงินกว่า 115 ล้านปอนด์ เพื่อเกลี้ยกล่อมให้นักเตะย้ายเข้ามาค้าแข้งในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ 

ช่วงที่ เชลซี กำลังต่อรองราคากับ ไบรท์ตัน ก็ได้มี ลิเวอร์พูล ที่เข้ามาร่วมวงดีลนี้ด้วย แต่สุดท้ายสัญญาลูกผู้ชาย คำไหนคำนั้น ไกเซโด้ เลยตกปากรับคำย้ายมาที่ เชลซี เพราะเขามองว่า เชลซี ตามจีบมานานแล้ว และ ไกเซโด้ เองก็มี มาเกเลเล่ กับ ก็องเต้ เป็นแรงบันดาลใจและอยากเจริญรอยตามไอดอลในวัยเด็ก

ตอนแรกเริ่มในสีเสื้อ เชลซี ตัวของ ไกเซโด้ อาจจะยังมีความไม่เฉียบขาดในเกมรับบ้าง ไม่นิ่งบ้างในบางจังหวะ แต่เมื่อเขาปรับตัวได้และเข้าคู่กับ เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ มิดฟิลด์ทีมชาติเอกวาดอร์ก็เริ่มฉายแสงร่างทองออกมา

สกิลการเข้าปะทะรวมถึงการตัดบอลเป็นพื้นฐานที่กองกลางตัวรับทำได้อยู่แล้ว แต่สำหรับ มอยเซส ไกเซโด้ เขาแทบจะสามารถทำได้ทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว

ปลายฤดูกาล 2023-24 ยุคของกุนซือ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ที่ตอนนั้น เชลซี ติดสูตรชนะรวดหลายเกมติดต่อกัน ส่งผลให้ทีมกลับไปเล่นฟุตบอลยุโรปได้อีกครั้ง

หนึ่งในคนที่ทำผลงานได้เข้าตา ณ เวลานั้น คือ มอยเซส ไกเซโด้ เพราะเขาแสดงให้เห็นถึงทักษะความเป็นกองกลางชั้นยอดออกมาภายในเวลาแค่ไม่กี่เดือน ก่อนปิดฤดูกาลด้วยประตูสุดสวยที่ยิงครึ่งสนามใส่ บอร์นมัธ ต่อหน้าแฟนบอลนับหมื่นที่ เดอะ บริดจ์

เข้าสู่ฤดูกาล 2024-25 ตัวของ ไกเซโด้ ที่ความมั่นใจพุ่งทะลุปรอท เขาก็ได้ควักศักยภาพที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ออกมาใช้อย่างต่อเนื่อง   

นัดไหนที่ เชลซี ขาดตัวคุมเกมบัญชาแดนกลาง ไกเซโด้ สามารถออกบอลจากแนวลึกให้ทีมได้ หรือถ้าอยากได้ผู้เล่นที่คอยยิงไกลจากแถวสอง ไกเซโด้ ก็สามารถทำได้เช่นกัน

หรือที่พีคยิ่งขึ้น คือ การที่ เอ็นโซ่ มาเรสก้า กุนซือของ เชลซี เลือกให้ มอยเซส ไกเซโด้ มายืนในตำแหน่งแบ็กขวา สำหรับแผนที่ต้องอินเวิร์ตฟูลแบ็กมาเล่นตรงกลาง ซึ่งนักเตะก็รับจบได้อีกแบบที่ผลงานก็น่าพอใจ

ตอนนั้นชื่อของ มอยเซส ไกเซโด้ กลายเป็นแข้งที่แฟนบอล เชลซี มองว่าทีมขาดไม่ได้รองจาก โคล พาลเมอร์ เลยด้วยซ้ำ เพราะแม้จะยืนเป็นกองกลางตัวรับ แต่กลับมีผลงานยิงจ่ายที่ค่อนข้างดี โดยเฉพาะประตูที่ยิงไกลหน้ากรอบเขตโทษใส่ เรอัล เบติส การันตีให้ทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก แถมระหว่างนั้นหน้าที่ในการตัดเกมของเขาก็ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ส่งผลให้ ไกเซโด้ คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของสโมสรประจำฤดูกาลนั้น 

และเกียรติประวัติล่าสุดที่ทำได้กับ เชลซี อย่าง แชมป์โลกสโมสร ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ รูปแบบใหม่ ไกเซโด้ ก็มีส่วนช่วยให้ทีมทะลุเข้าไปถึงรอบชิงก่อนจะหักปากกาเซียนถล่ม ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 3-0 คว้าแชมป์ไปครองได้อีก 1 รายการ

ความสำคัญของ ไกเซโด้ ที่มีต่อ เชลซี ยังคงส่งต่อมาถึงฤดูกาล 2025-26 ทั้งที่เริ่มฤดูกาลมาได้ไม่กี่เกม แต่กองกลางรายนี้กดไปแล้ว 3 ประตู ขึ้นแท่นดาวซัลโวร่วมของทีมอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง

มันอาจจะยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่า 115 ล้านปอนด์ในดีลของ ไกเซโด้ คุ้มค่าทุกเพนนีแล้วในตอนนี้ แต่ในอนาคตมันมีโอกาสสูงที่กองกลางทีมชาติเอกวาดอร์จะช่วยให้ เชลซี ประสบความสำเร็จได้มากขึ้น

 

ยืนระยะฟอร์มดีแถมมีแชมป์

คำว่า "ผู้เล่นระดับโลก" กว่าที่จะได้รับการยกย่องไปสู่จุดนั้น นักเตะหลาย ๆ คนต้องพยายามอย่างหนัก จนมีทั้งความสามารถที่ดี และมีความคงเส้นคงวาเป็นเครื่องพิสูจน์

โดยที่ในรายของ โคล้ด มาเกเลเล่ เขาแสดงให้เห็นถึงคลาสความเป็นแถวหน้าในตำแหน่งกองกลางตัวรับตั้งแต่สมัยอยู่ที่ เรอัล มาดริด แล้ว 

ท่ามกลางผู้เล่นที่อุดมไปด้วยซูเปอร์สตาร์เต็มทีม แต่ มาดริด กลับห้อยกองกลางร่างเล็กคนนี้เอาไว้คอยปัดกวาดเกมตรงกลาง ซึ่งตัวของ มาเกเลเล่ แม้จะดูไม่หวือหวา แต่ก็เรียบง่ายและขาดไม่ได้ ถึงขั้นที่ "ราชันชุดขาว" พอขายเขาออกไปให้กับ เชลซี พวกเขาก็ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าที่จะกลับมาเข้ารูปเข้ารอยอีกครั้ง

และตอนที่ มาเกเลเล่ เดินทางมาโลดแล่นในพรีเมียร์ลีกบนวัยที่เพิ่งแตะเลข 3 เขาก็ใช้ทักษะและประสบการณ์ที่มีในการช่วยเหลือทีม จนสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ 2 สมัยติดต่อกัน

หรืออย่าง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ นักเตะที่โนเนมจากฝรั่งเศส ย้ายมาหาโอกาสในพรีเมียร์ลีกกับ เลสเตอร์ ซิตี้ และใช้เวลาแค่ปีเดียวสร้างชื่อให้ตัวเองกลายเป็นที่รู้จักในหมู่แฟนบอลด้วยความขยันที่ตัวเองมี ก่อนย้ายมาก้าวหน้าในอาชีพค้าแข้งกับ เชลซี มีแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้ชูอย่างต่อเนื่อง จนนักเตะต่อยอดไปถึงการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ปี 2018

หลังจากนั้นกราฟในอาชีพของ ก็องเต้ ก็พวยพุ่งทั้งในเรื่องของฝีเท้าและความสำเร็จ ก่อนที่มันจะเริ่มถึงจุดอิ่มตัวตามเวลาอันสมควร

ส่วน มอยเซส ไกเซโด้ ตอนนี้นักเตะกำลังอยู่ในฟอร์มที่ดีเกินคาด แถมเรื่องถ้วยแชมป์เขาก็เริ่มได้หยิบจับอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว 

เหลือแค่เรื่องของการยืนระยะเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันบนวัย 23 ย่าง 24 ปี ยังมีเวลาอีกหลายปีให้ ไกเซโด้ ได้รักษาฟอร์มการเล่นที่สุดยอดแบบนี้เอาไว้ และเมื่อถึงจุดที่ทั่วโลกให้การยอมรับ คำว่า "กองกลางระดับโลก" ก็จะมาห้อยตามหลังชื่อเขาโดยอัตโนมัติ

จาก "Makelele Role" สู่ "Kante is Everywhere" คำนิยามตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่สื่อให้เห็นถึงวิธีการเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ของกองกลางตัวรับที่ เชลซี มีอยู่ในทีมตามยุคตามสมัยของกีฬาฟุตบอล 

ทั้งนี้ ในอนาคตข้างหน้าวิธีการเล่นที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ พร้อมกับลูกยิงไกลที่เปรียบเหมือนอาวุธติดจรวดของ มอยเซส ไกเซโด้ บางทีอีก 5-10 ปีข้างหน้า คำนิยามสำหรับกองกลางรายนี้อาจจะเป็น "Rocket Caicedo" หรือ "Cannoncedo" ก็เป็นได้

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.chelseafc.com/en/claude-makelele
https://www.transfermarkt.com/claude-makelele/profil/spieler/4182
https://www.chelseafc.com/en/ngolo-kante
https://www.transfermarkt.com/ngolo-kante/profil/spieler/225083
https://www.transfermarkt.com/moises-caicedo/profil/spieler/687626
https://www.bbc.com/sport/football/articles/cq5jven57lpo
https://www.bbc.com/sport/football/articles/c8d7v4qm5m4o

Author

พงศทร​ อริ​ย​ภู​ชัย

เด็กสิงห์บลู​ส์เมืองคอน​ คลั่งฟุตบอล​ ชอบมวยปล้ำ

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ