Feature

กำเนิด "เอสเตเวา" : ความฝันที่เริ่มจากกระบะคันเก่ากับพิซซ่ารสห่วยในวันท้องหิว | Main Stand

เอสเตเวา วิลเลี่ยน คือนักเตะดาวรุ่งชาวบราซิลที่ได้ฉายาจากสื่อในประเทศว่า "เมสซินโญ่" (เมสซี่น้อย) ตั้งแต่เขาอายุแค่ 16 ปี 

 

ไม่รู้ว่าการก้าวไปถึงระดับ เมสซี่ หรือ เนย์มาร์ นั้นจะมีโอกาสเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน แต่ตอนนี้ในวัย 18 ปี เขาเพิ่งยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ในบิ๊กแมตช์นัดที่ เชลซี ชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 

ขณะที่คุณกำลังเพลิดเพลินกับสกิลและความจี๊ดของเขา ... นี่คือต้นกำเนิดของเด็กคนหนึ่ง ที่ครอบครัวของเขาเทหมดหน้าตักและเดิมพันทุกอย่างเพื่อให้เขาได้เป็นนักเตะอาชีพตั้งแต่ 8 ขวบ 

จากแมตช์วินเนอร์ ทุกอย่างเริ่มต้นบนรถกระบะเก่า ๆ ที่เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ครอบครัวของพวกเขามี  ติดตามเรื่องราวกับ Main Stand 

 

เดิมพันกันเลย 

หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ คงมีเด็กชายชาวบราซิลเพียง 0.1% ที่ไม่อยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ 

และทางกลับกัน จากจำนวนเด็กชายที่อยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพทั้งหมด ว่ากันว่าพวกเขาเหล่านั้นมีโอกาสเพียงแค่ 0.1% เท่านั้นที่จะได้อยู่บนยอดสูงสุดของปิรามิด ... แต่ถึงอย่างนั้นหลายครอบครัวก็หวังลึก ๆ ว่าลูกชายของพวกเขาจะเป็นผู้โชคดีหนึ่งในนั้น ครอบครัวของ เอสเตเวา วิลเลี่ยน ก็เช่นกัน 

"ฟรังก้า" คือเมืองชายขอบที่เงียบสงบ ในรัฐใหญ่อย่าง เซา เปาโล ... อิโว กอนซัลเวส อดีตผู้รักษาประตูสโมสรท้องถิ่น ที่เคยพยายามอย่างเต็มที่แต่ไปได้ไม่ไกลในอาชีพค้าแข้ง จนต้องเลิกรากับความฝัน และหันมาทำงานตามความศรัทธาเป็น "ศิษยาภิบาล" หรือ "คนดูแลโบสถ์" ซึ่งเป็นงานในเชิงอาสาที่มีรายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่ภรรยาของเขาเป็นสาวโรงงานเพื่อช่วยหารายได้มาจุนเจือครอบครัว 

2 ปากอาจอยู่ได้ แต่แล้ววันหนึ่ง เอสเตเวา วิลเลี่ยน ก็คลอดออกมาลืมตาดูโลก พ่อของเขาจึงรู้ว่า ถึงแม้ที่สุดแล้วเขาอาจจะไม่ใช่คนที่ทำงานและได้เงินเยอะ แต่สิ่งที่เขาได้ด้วยหน้าที่การงานที่มี คือการเปลี่ยนให้สังคมรอบตัวของลูกชายเขาดีขึ้น และเขาก็เริ่มมันด้วยตัวเอง ด้วยการพยายามเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด แม้รายได้จะน้อย แต่เขาจะทดแทนเงินด้วยความใส่ใจ

"ผมรักฟุตบอล แต่ผมก็ต้องทำงาน ในช่วงเวลาวันหยุด ผมมักจะพาลูกชายผมไปสนามด้วยเสมอ เขาเห็นและเริ่มเตะฟุตบอลตามตั้งแต่ยังเด็กมาก ๆ ตัวของผมเข้าใจความยากของการเตะฟุตบอลหาเลี้ยงชีพเพราะผมเคยผ่านมา แต่เมื่อคืนวันผ่านไป เขาอยู่กับลูกฟุตบอลและใส่ใจกับมันมากขึ้น ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มสังเกตว่าเขาเริ่มจะค้นพบแล้วว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออะไร" อิโว เล่าจุดเริ่มต้นในการเล่นฟุตบอลของ เอสเตเวา วิลเลี่ยน 

เมื่อลูกใส่ใจ ก็เป็นหน้าที่ของพ่อที่ต้องพยายามตอบสนองทุกอย่าง เขาพยายามเล่าว่า เอสเตเวา เล่นฟุตบอลได้ดีตั้งแต่ช่วง 5-6 ขวบ จนกระทั่งเมื่ออายุถึง 8 ขวบ อิโว ใช้ประสบการณ์การเป็นนักฟุตบอลที่น้อยนิดมองไปที่ลูกของเขา และคิดว่าด้วยความสามารถที่ เอสเตเวา มี บางทีเขาและลูกอาจจะได้ร่วมกันสร้างความฝันที่เคยพังทลายในวัยหนุ่มของเขาไปพร้อม ๆ กัน 

"ผมบอกลูกชายเสมอว่า ลูกไม่ได้มีพรสวรค์เหมือนกับเนย์มาร์ แต่ไม่ต้องกลัว พระเจ้าได้ให้สิ่งพิเศษบางอย่างแก่ลููกมา นั่นคือความสามารถในความพยายาม นั่นเป็นของขวัญจากพระเจ้าที่มากพอที่จะทำให้เราลุยไปด้วยกัน" 

อิโว ยอมสละอาชีพที่เขาทำด้วยศรัทธา และเหนือสิ่งอื่นใดคือการบอกภรรยาถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญของครอบครัวนี้ว่า เขาจะพา เอสเตเวา ในวัย 8 ขวบ เดินทางกว่า 500 กิโลเมตร เพื่อไปที่รัฐ มีนาสเกไรส์  ซึ่งเป็นที่ตั้งของสโมสรดังอย่าง ครูไซโร่ 

อิโว บอกว่านี่คือการเดินทางที่เขาและลูกชายทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง ไม่เว้นแม้แต่ครอบครัว และสังคมที่เขาพยายามสร้างขึ้นมา โดยใช้ฟุตบอลเป็นหมุดหมายสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด 

"พอเขาอายุได้ 8 ขวบ เราคุยกัน 2 พ่อลูก และเราตกลงกันว่าจากนี้เราจะเดิมพันกันบนรถกระบะเก่า ๆ ของผม ทิ้งฟรังก้าและทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรืองาน ... มันทำใจได้ยาก แต่มันก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ ทุก ๆ คนเเตือนสติผมและบอกว่า ผมกำลังทำอะไรที่บ้าเกินกว่าคำว่าผจญภัย" อิโว ว่าแบบนั้น 

ไม่แปลกที่ใครจะบอกว่าเขาบ้าเกินจะมองโลกแห่งความจริง เขาบอกให้ภรรยาอยู่บ้าน ทำงานที่โรงงาน และดูแล เอสเธอร์ น้องสาวของ เอสเตเวา ต่อไป ส่วนเขากับลูกชายพร้อมกับเงิน 1 ก้อน ที่มีค่าแค่เช่าห้องพักเล็ก ๆ ได้ 1 เดือน ก็เดินทางไปยังเมืองที่พวกเขาไม่เคยไป โดยที่เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าลูกชายของเขาจะสามารถทำความฝันนี้ได้หรือไม่ 

ขณะที่พ่อของเขากำลังเดิมพันกับฝันที่บ้าระห่ำ ... ภาพตัดกลับมาที่เด็กชายวัย 8 ขวบบนเบาะคนนั่ง ทุกป้ายบอกทางที่หมายที่รถเก่า ๆ ขับผ่าน มันยิ่งทำให้เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ดีแม้จะยังเด็กมาก เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่เขาจะไม่มีวันทำเด็ดขาดคือการเดินไปบอกกับพ่อและบอกว่ายอมแพ้ นั่นคือเสียงในหัวที่เขากำลังทบทวนตัวเองอยู่ซ้ำ ๆ ระหว่างที่ล้อกำลังหมุนไปอย่างช้า ๆ 

 

แค่ 8 ขวบก็โตพอ

"ผมเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น จะมีพ่อแม่สักกี่คนที่ยอมทิ้งชีวิตของตัวเองเพื่อพาลูกชายอายุ 8 ขวบตามหาควาามฝัน ? พ่อยอมทิ้งงาน ทิ้งบ้าน ทิ้งสังคม โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าครูไซโร่จะรับผมไว้ในทีมหรือเปล่า" 

"และอีกสิ่งที่ผมเข้าใจเสมอนั่นก็คือในประเทศนี้ โอกาสที่จะเป็นนักฟุตบอลมันแทบจะเป็น 0.0000001% หลายคนพูดคำนี้กับพ่อผม มันเสี่ยงเกินไป แต่เขาตอบกลับไปเหมือนเดิมทุกครั้งว่า 'ไม่หรอก ถ้าคุณแน่ใจว่าของที่คุณมีคือของแท้'" เอสเตเว่า เล่าย้อนความไปถึงจุดเริ่มต้นของเขา

การทดสอบฝีเท้าในศูนย์ฝึกเยาวชนไม่ใช่สิ่งที่ เอสเตเวา จำได้แม่นนัก เพราะความทรงจำของเขาถูกเว้นที่ว่างให้กับการบอกลา การโยนเสื้อผ้าใส่กระบะท้าย และการเดินทางด้วยงบประมาณที่จำกัด แม้แต่พิซซ่าสักถาด ก็ยังต้องเป็นพิซซ่าราคาเลหลังจากร้านข้างทาง

"เราสองคนพ่อลูกใช้เวลาเดินทางแทบทั้งวัน สมองคิดถึงบ้าน และท้องของผมก็คิดถึงอาหาร เราเดินทางโดยไม่ได้กินอะไรเลยจนกระทั่งพ่อจอดที่ร้านพิซซ่าเมื่อเรามาถึงที่หมาย คนขายบอกว่าจะเอาแบบไหนระหว่างถาดใหญ่กับถาดเล็ก ? ... ด้วยเงินที่มีอยู่เท่านั้นพ่อเลือกจะซื้อกล่องเล็กที่มี พิซซ่า อยู่ 4 ชิ้น"

ไม่อิ่ม เหนียว และรสชาติก็ห่วยแตก แต่กลับเป็นอาหารมื้อที่เขาและพ่อจำได้แม่นยำชนิดว่าในทุกวันนี้หลับตาก็ยังนึกรสชาติความห่วยที่แสนอร่อยในวันนั้นได้ 

2 พ่อลูกใช้เวลาไปทดสอบฝีเท้าอยู่หลายฝัน อิโว ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อแลกค่ากินอยู่ในเมืองนี้ ความบันเทิงหลังจากเข้าห้องพักคือการเปิดดูคลิปวีดีโอการเล่นของ เนย์มาร์ ในยูทูบด้วยกัน พูดคุยและจินตนาการถึงอนาคตด้วยกัน บางวันก็คุยเรื่องจริงจัง บางครั้งก็คุยเรื่องความฝันแบบโลกแฟนตาซี สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปลอบประโลมในวันที่ทั้งคู่ต้องการกำลังใจให้สู้ในเช้าวันใหม่

"ทุกอย่างวนไปอย่างนั้นเป็นกิจวัตร พ่อผมไปดูการซ้อมและการแข่งของผมประจำ แต่พ่อไม่เคยพูดไม่เคยตะโกนโวยวายเวลาที่เห็นเด็กคนอื่นไล่เตะหน้าแข้งเพื่อหยุดผม ซึ่งถ้ามองย้อนไปในตอนนั้น ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อไม่ปกป้องผม นั่นก็เพราะจนถึงช่วงเวลาหนึ่งผมจะรับมือกับคู่แข่งแบบนี้ได้ และพวกเขาจะไม่สามารถไล่เตะผมได้อีกต่อไป" 

ในวันคัดตัวครั้งสุดท้าย เอสเตเวา ก็ถูกเลือกจนได้ ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่อะไรหลายอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี อิโว พยายามบอกลูกชายว่า กุญแจสำคัญของการเป็นนักฟุตบอลคือความสม่ำเสมอ ห้ามหยุดทำงานหนักเด็ดขาด ดังนั้นหลังจากซ้อมกับทีมเสร็จ 2 พ่อลูกมักจะไปตามสนามใกล้ห้องเช่า ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นใช้เป็นที่ที่เอาวัวและม้ามากินหญ้า 

แน่นอนว่าเมื่อสัตว์สี่เท้าเดินย่ำสนามทั้งวัน สภาพพื้นสนามจึงขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นเหมือนการเพิ่มเลเวลในการฝึกเพิ่มเติมให้เขามีทักษะฟุตบอลที่ขึ้น นั่นคือการมองโลกในแง่บวกเท่าที่จะทำได้ 

พวกเขาซ้อมกันจนพระอาทิตย์ตกดิน นาฬิกาเดียวที่ทำให้พ่อเขาบอกว่า "พอ" และเลิกฝึกคือเวลาที่มืดจนมองไม่เห็นลูกฟุตบอล ซึ่งช่วงเวลานี้เองเป็นช่วงเวลาที่ อิโว จะเปลี่ยนโหมดจากครูฝึก กลายเป็นคุณพ่อ เขาจะพาลูกชายเดินกลับห้องพักด้วยความเหนื่อยล้า เสื้อเปื้อนฝุน ก่อนจะกินข้าวเย็นด้วยกัน 

นี่คือกิจกรรมที่พวกเขาทำซ้ำ ๆ ทุกวันไม่มีวันหยุดตั้งแต่ 8 ขวบ แน่นอนว่าเมื่อ เอสเตเวา เริ่มโตขึ้น เขาอาจจะอยากใช้เวลาสนุกกับเพื่อน ๆ บ้าง แต่คำสอนที่พ่อของเขาพูดมา 1 ครั้งและเขาจำมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ "มีเด็กบราซิลอีกเป็นล้าน ๆ คนที่มีฝันเหมือนกับพวกเรา แต่น้อยคนที่พร้อมจะอุทิศชีวิตเพื่อฝันนั้นเท่ากับที่เราทำ" 

 

ไม่เสียสละ ชัยชนะไม่เกิด 

วิถีชีวิตที่มีแต่ฟุตบอลของ 2 พ่อลูกได้ให้รางวัลตอบแทนกับพวกเขา เพราะ เอสเตเวา กลายเป็นเด็กที่เก่งที่สุดในรุ่นอายุของตัวเอง สโมสร ครูเซโร่ พาเขาไปแข่งขันตามที่ต่าง ๆ ในรายการระดับประเทศ และทักษะแบบลุยปลักวัวปลักควายของเขาก็แสดงผลออกมาบนสนามมาตรฐาน  ... สนามดี ๆ กลายเป็นของง่าย และการที่จะล็อกหลบใครสักคน วางเท้ายิง คอนโทรลบอลให้เขาประตู กลายเป็นสิ่งที่ เอสเตเวา ทำได้เหนือใคร ๆ 

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาได้รับการเซ็นสัญญาจากแบรนด์ ไนกี้ ที่เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนเขาตั้งแต่ 10 ขวบ ... นี่คือสัญญาที่ ไนกี้ มอบให้นักเตะอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเขาเลยก็ว่าได้ 

"ตอนนั้นผมน่าจะอายุสัก 10 ขวบ พ่อไม่ค่อยอนุญาตให้ผมยุ่งกับโลกอินเตอร์เน็ตมากเท่าไหร่นอกจากดูคลิปเนย์มาร์ แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ผมรู้จัก ไนกี้ เพราะพวกเขาก็เป็นผู้สนับสนุนเนย์มาร์ด้วย ผมไม่ได้คิดเรื่องเงินในตอนนั้น ความเข้าใจของผมมีแค่ว่า 'นี่เรากำลังจะได้รองเท้ารุ่นเดียวกับเนย์มาร์มาใส่ฟรี ๆ อย่างนั้นน่ะเหรอ ?'" 

สัญญาฉบับนั้นทำให้แม่ของเขาลาออกจากงานและย้ายมาอยู่ด้วยกัน ทำให้เขาได้ย้ายที่อยู่จากห้องเช่าแคบ ๆ อยู่กัน 2 พ่อลูก กลายเป็นบ้านที่อยู่ด้วยกัน 4 คนเป็นครอบครัว ความสุขเล็ก ๆ นี้มันช่วยติดไฟให้ เอสเตเวา ยิ่งอยากสู้ ยากพยายามขึ้นไปอีก ดังคำสอนของพ่อที่บอกว่า "ห้ามหยุดเด็ดขาด" 

จากนั้นทุกอย่างก็เดินทางไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เอสเตเวา กลายเป็นนักเตะที่สื่อจับตามองตั้งแต่ยังเด็ก ขณะที่ตัวของเขาเองก็บอกว่าด้วยการสั่งสอนจากความจน และความใส่ใจที่พ่อของเขามอบให้ตลอดเวลา มันทำให้เขาไม่เคยหลุดโฟกัสเลย ถ่อมตัว และติดดินเสมอ 

เขาไม่เที่ยว ไม่กิน ไม่ดื่ม กิจกรรมที่เขาอนุญาตให้ตัวเองมีความสุขจากฟุตบอลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาก็การเล่นวีดีโอเกมเล็ก ๆ น้อย ๆ และการซ้อมตีกลองชุดเท่านั้น

เราอาจจะไม่ต้องอธิบายอะไรต่อมากนัก เพราะเขาถูก พัลไมรัส ซื้อตัวไปตอนอายุ 15 ปี จากนั้นก็กลายเป็นนักเตะประวัติศาสตร์ของสโมสร ได้สัญญาก้อนโตจากทีมและไนกี้ ก้าวขึ้นมาติดทีมชาติบราซิล และกลายเป็นนักเตะของสโมสร เชลซี ที่เพิ่งยิงประตูใส่ ลิเวอร์พูล เพราะสิ่งที่น่าสนใจกว่าคือเรื่องราวการเสียสละตนเพื่อความฝันของเขา ที่ทั้งครอบครัวพร้อมใจลงมือทำด้วยกัน 

"ผมพยายามมีความสุขกับทุก ๆ ก้าว ครอบครัวของเราเฉลิมฉลองด้วยกันในทุกความสำเร็จเล็ก ๆ เช่นวันที่เรามีเงินมากพอจะจ่ายค่าเช่าบ้านได้ เราได้กินพิซซ่าที่ร้านดี ๆ อร่อย ๆ จนสามารถเรียกมันได้ว่าพิซซ่าจริง ๆ ผมคิดว่าพวกเราทุกคนทำความฝันนี้สำเร็จแล้ว" เอสเตเวา กล่าว

ด้าน อิโว ที่ตอนนี้เหมือนได้วิ่งเข้าเส้นชัยไปพร้อมกับลูกชาย เพราะเขาเองก็พยายามและเสียสละไม่แพ้กัน เขาเล่าถึงเรื่องในอดีตด้วยรอยยิ้มเสมอแม้มันจะยากลำบากแค่ไหน การสร้าง เอสเตเวา วิลเลี่ยน ของเขา กลายเป็นบทเรียนสอนเขาไปด้วยว่า โลกแห่งความสำเร็จไม่มีทางลัด ยิ่งอยากประสบความสำเร็จบนเส้นทางที่มีผู้รอดถึงฝั่งน้อยแค่ไหน ยิ่งต้องใส่ให้สุดตัวแบบไม่กลัวผิดหวัง หรือไม่กลัวแม้กระทั่งความตายแบบที่เขาตัดสินใจมอบแพสชั่นที่มีทั้งหมดเพื่อลูกชายของเขา 

"สิ่งที่ทำให้ผมยิ้มได้ในทุกวันนี้ ก็คือเวลาที่เห็นผู้คนพูดถึงเขา (เอสเตเวา) ว่าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์ติดตัวตั้งแต่เกิด เป็นพรสวรรค์ที่พาเขามาถึงอาชีพที่มหัศจรรย์ ... ผมยิ้ม เพราะความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น เบื้องหลังของเด็กคนนี้เผชิญกับสิ่งยาก ๆ มากกว่าที่หลายคนจะจินตนาการได้ ความกดดัน ความเสียสละตน หรือแม้กระทั่งการมองข้ามความสุข"

"ตลอดเวลาที่ผ่านมา เอสเตเวา ไม่เคยหยุด ไม่เคยพัก เขาตั้งตารอการลงสนาม และตั้งความหวังก่อนลงเหยียบพื้นหญ้าด้วยแนวคิดที่แน่วแน่เสมอว่า วันนี้ฉันจะต้องบรรลุเป้าหมายให้ได้" คุณพ่อของเขาเล่าเรื่องความทุกข์ด้วยสีหน้าแห่งความสุขในตอนท้ายของเรื่องนี้ 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.theplayerstribune.com/estevao-palmeiras-brazil-soccer-english
https://www.chelseafc.com/en/news/article/estevao-chelsea-the-first-interview
https://franca.sp.leg.br/pt-br/noticias/2025/08/um-projeto-incrivel-diz-fransergio-sobre-implantacao-do-instituto-estevao-william
https://www.fifa.com/pt/tournaments/mens/club-world-cup/usa-2025/articles/estevao-estrelas-mundial-de-clubes
https://ge.globo.com/sp/ribeirao-preto-e-regiao/futebol/noticia/2024/04/12/pai-de-estevao-joia-do-palmeiras-e-avisado-de-titularidade-em-viagem-e-brinca-apos-gol-ate-que-enfim.ghtml
https://en.wikipedia.org/wiki/Est%C3%AAv%C3%A3o_Willian

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ