แอนจ์ ปอสเตโคกลู กลายเป็นกุนซือของ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ คนแรกในรอบ 100 ปีที่คุมทีม 6 นัดแรกและไม่สามารถชนะใครได้เลย
มีการวิเคราะห์กันว่า "เรื่องเดิม ๆ" กำลังทำให้เขา "เจ็บซ้ำ ๆ" น่าแปลกที่เขากลับไม่ยอมเรียนรู้จากมัน
เรื่องเดิม ๆ ที่เป็นปัญหาของเขาคืออะไร ? ติดตามกับ Main Stand
6 เดือนที่แสนพลิกผัน
"ซิตี้ กราวด์" สังเวียนเหย้าของ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ถือเป็นสนามเก่าแก่และมีมนต์ขลัง เพราะนี่คือสังเวียนของทีมจากอังกฤษทีมเดียวที่สามารถป้องกันแชมป์ยุโรปได้
แต่ความขลังก็ห่างหายไปนานหลายสิบปีหลังจากสโมสรเริ่มตกต่ำและใช้เวลาส่วนมากในลีกล่าง จนกระทั่งดวงชะตาฟ้าเปิด ในที่สุดวันที่แฟนบอลของฟอเรสต์รอคอยก็มาถึง นั่นคือการดีขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งพวกเขาได้กลับมาเล่นในฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก) อีกครั้งในรอบ 30 ปี
ทว่าการคัมแบ็กของฟุตบอลยุโรปในสังเวียนแห่งนี้ กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ไม่หอมหวานอย่างที่คิด แถมยังขมปี๋เกินกว่าใครจะจินตนาการ
แอนจ์ ปอสเตโคกลู กุนซือคนใหม่ของพวกเขาพาทีมแพ้สโมสรจากลีกเดนมาร์กอย่าง มิดทิลลันด์ 2-3 และตอนนี้พวกเขาไม่ชนะใคร 6 เกมติดต่อกันในทุกรายการ แถมหนักไปทางแพ้เสียเป็นส่วนใหญ่
เรียกได้ว่าเสียงเฮและการเฉลิมฉลองของแฟนฟอเรสต์ที่เคยมีตลอดช่วง 6 เดือนก่อนภายใต้การทำทีมของโค้ชคนเก่าอย่าง นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ ได้ถูกทดแทนด้วยความขมขื่นและคำสบถจากแฟน ๆ ที่ไม่อยากจะเชื่อว่าขาลงจะมาเยือนพวกเขาเร็วขนาดนี้ ... ว่ากันว่าความแตกต่างนั้นมาจากโค้ชนี่แหละ
ค่ำคืนนั้นเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและเจ็บปวด แฟนบอล ฟอเรสต์ ตะโกเรียกชื่อ "นูโน่" พร้อมร้องเพลงเชียร์ประจำตัวของเขา เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่ากุนซืออย่าง นูโน่ เป็นกุนซือที่พวกเขารัก และเชื่อมั่นมากกว่าโค้ชใหม่ที่มีดีกรีแชมป์ ยูโรป้า ลีก 1 สมัยอย่าง แอนจ์ ปอสเตโคกลู อย่างเห็นได้ชัด
แม้ แอนจ์ จะเพิ่งคุมทีมได้ไม่ถึง 1 เดือนเต็ม แต่เขากำลังพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่แย่สุด ๆ แค่แฟนบอลตะโกนเรียกชื่อโค้ชเก่าก็หนักพออยู่แล้ว แต่ล่าสุดแม้แต่แฟน ฟอเรสต์ ก็ยังร้องเพลง "Sack in the morning (แกจะโดนไล่ออกพรุ่งนี้เช้า)" ใส่เขาเลยด้วยซ้ำ ... ทำไมถึงเป็นแบบนั้นกันล่ะ ? แอนจ์ แตกต่างกับ นูโน่ ตรงไหนในมุมมองของแฟนเจ้าป่า ?
แฟนบอลของฟอเรสต์ ระบายข้ออารมณ์ผ่านข้อความใน Reddit อย่างไม่มีกั๊กถึงความต่างของกุนซือเก่าและใหม่ของพวกเขาว่า
"นูโน่ เป็นบุคคลที่พาทีมประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมในหมู่ของพวกเรา เขาไม่ได้แค่มอบของขวัญให้เราด้วยการพาทีมกลับไปเล่นฟุตบอลยุโรปที่รอคอยมาตั้งแต่ยุค 1990s เท่านั้น"
"สิ่งที่เขามอบให้กับเราคือความอุ่นใจว่าทีมจะไม่แพ้ใครง่าย ๆ ผ่านคาแร็คเตอร์การทำงานของเขา ... การจะหาใครสักคนมาแทนที่เขาเป็นเรื่องที่โคตรจะยากไม่ว่าใครจะรับงานนีก็ตาม เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันมากเกินไป แอนจ์ ไม่ใช่แค่โค้ชใหม่เท่านั้น แต่เขายังเข้ามาเปลี่ยนแปลงปรัชญาและจิตวิญญาณของทีม ๆ นี้ อย่างสิ้นเชิง ซึ่งปกติแล้วไม่ใช่เรื่องที่โค้ชใหม่เขาจะมาหักด้ามพร้าด้วยเข่ากันแบบนี้หรอก"
ต่างกันโดยสิ้นเชิงในมุมมองของแฟน ฟอเรสต์ คืออะไร ? ทำไม แอนจ์ ที่มีแชมป์ยุโรปติดมือมาด้วย กลับทำในสิ่งที่ นูโน่ ที่เป็นโค้ชที่แทบไม่เคยมีแชมป์ระดับเมเจอร์ติดมือทำไม่ได้ ?
เรื่องเก่าเล่าใหม่
ว่ากันว่าปัญหาสำหรับ แอนจ์ ในเวลานี้แทบไม่ต่างจากช่วง 2-3 เดือนก่อนตอนที่เขาโดนปลดออกจากตำแหน่งการเป็นกุนซือของ สเปอร์ส ทั้ง ๆ ที่เพิ่งพาทีมคว้าแชมป์ในรอบ 16 ปี
ความแตกต่างของ แอนจ์ และ นูโน่ ที่ ฟอเรสต์ ก็คือแนวคิดในการทำทีมและการเลือกใช้ทรัพยากรนักเตะที่มีให้ออกมามีประสิทธิภาพที่สุด หากยังจำกันได้ ฟุตบอลของ นูโน่ เป็นฟุตบอลเน้นตั้งรับให้เหนียวแน่น ไม่สนเรื่องการครองบอลมากน้อย พวกเขาพร้อมสวนกลับด้วยนักเตะที่เร็วและแข็งแกร่ง พร้อมด้วยการเน้นสุด ๆ ในการเล่นลูกตั้งเตะทุกจังหวะ ... หัวใจของฟุตบอล นูโน่ คือ "ไม่เสียประตู และไม่แพ้เอาไว้ก่อน" และนักเตะในทีมก็แทบตอบโจทย์ปรัชญาของเขาแบบสุด ๆ
ตัดกลับมาที่ปัจจุบันของ แอนจ์ กุนซือชาวออสซี่ ยืนยันตั้งแต่รับงานว่าจะสร้างความบันเทิงแลทำให้แฟน ๆ สนุกกับการดูฟุตบอลมาากขึ้น และอย่างที่เรารู้กันฟุตบอลของแอนจ์ คือบอลบุกเต็มรูปแบบ และเขาส่งต่อแนวคิดดังกล่าวให้นักเตะในทีมทันที เห็นได้ชัดในเกมกับ สวอนซี, เบิร์นลี่ย์, เรอัล เบติส, ซันเดอร์แลนด์ หรือกระทั่ง มิดทิลแลนด์ ที่ ฟอเรสต์ เป็นฝ่ายครองบอลบุกมากกว่า เพื่อเปิดเกมรุกสำหรับชัยชนะที่ทีมต้องการ
จริง ๆ มันก็ไม่ได้แย่ไปทั้งหมด 100% เพราะแนวทางใหม่ที่เขานำมาสู่ ฟอเรสต์ ได้ทำให้ ๆ ทีม ๆ นี้มีโอกาสยิงประตูถึง 22 ครั้งจาาก 3 เกมหลังสุด แต่ที่มันเป็นปัญหาก็เพราะบุกแล้วยิงไม่เข้า ไม่แม่นยำ ไม่เด็ดขาด ซึ่งการเล่นเกมบุกที่ไม่เด็ดขาดนั้นมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ และราคาที่ต้องจ่ายของฟอเรสต์ในตอนนี้ก็คือ เกมรับที่อ่อนยวบ แทบจะเป็นคนละทีมกับซีซั่นที่แล้ว
ฟอเรสต์เสียไป 13 ประตูจาก 6 นัดที่ลงเล่นในยุค แอนจ์ ไม่สามารถเก็บคลีนชีตได้เลยสักเกม ที่น่าตกใจก็คือจากทีมที่เล่นเซ็ตพีซเก่งมากได้ประตูจากลูกตั้งเตะเยอะ ฟอเรสต์ ยุค แอนจ์ กลายเป็นทีมที่เสียประตูจากฟรีคิกและเตะมุมไปแล้วถึง 9 ลูกจาก 6 นัดที่ลงสนาม ... อย่าเพิ่งตกใจ เพราะตอนที่คุม สเปอร์ส แอนจ์ ทำทีมเสียประตูจากลูกตั้งเตะถึง 45 ประตู (ไม่รวมจุดโทษ) ไม่มีผู้จัดการทีมคนไหนเปราะบางกับลูกตั้งเตะมากกว่าเขาอีกแล้ว
นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย แอนจ์ เจอปัญหาแนวรับเปราะบางมาตั้งแต่คุมทีม สเปอร์ส แล้ว และเขายืนยันจะไม่เปลี่ยนแปลงวิธีการทำทีมของเขา เพียงแต่ปัญหามันหนักขึ้นที่ ฟอเรสต์ เพราะนักเตะที่มีในทีมนั้นเป็นนักเตะที่เก่งเกมรับมากกว่าเกมบุก และการให้พวกเขาเปลี่ยนวิธีการเล่นแบบ "ทันทีทันใด" จากรับสุด เป็นบุกสุดไม่สนเกมรับ มันทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลบวกอย่างเห็นได้ชัด
แม้ มอร์แกน กิ๊บส์ ไวท์ จะพูถึง แอนจ์ ในเชิงบวกกับเกมกับ มิดทิลลันด์ ว่า "นี่คือโค้ชที่มีแพชชั่นกับชัยชนะ และทีมกำลังเชื่อมันพร้อมเดินตามแนวคิดของเขา"
แต่เมื่อเกมจบ บรรยากาศที่ ซิตี้ กราวด์ บอกว่าหลายสิ่งกำลังตรงกันข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสียประตูจากลูกโต้กลับท้ายเกม ซึ่งเป็นลูกแบบที่พวกเขาถนัดในซีซั่นที่แล้ว บรรยากาศในสนามก็เงียบกริบ เหลือแต่เพียงการระบายออกแบบตรงกันว่า "ผลงานแย่แบบนี้ก็ดี เขาจะได้โดนปลดไปเลย" แฟนรายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับ Sky Sports แบบนั้น ... เห็นได้ชัดว่าแค่ 6 นัด แอนจ์ ก็ได้ทำให้แฟน ๆ ฟอเรสต์ หมดความไว้เนื้อเชื่อใจในปรัชญาฟุตบอลของเขาแล้ว
กลับตัวทันไหม ?
แน่นอนว่า แอนจ์ พูดกับสื่อมาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงตัวตน มันเป็นความชันเจนและเชื่อมั่นในตัวเองซึ่งถือว่าเป็นคุณสมบัติที่ดีของคนเป็นโค้ช ... ทว่ากับพรีเมียร์ลีกยุคนี้ บางครั้งการลองปรับตัวอาจจะเป็นอะไรที่ดีกว่า โดยเฉพาะกับทีมที่ไม่ได้แข็งแกร่งและเป็นหัวแถวของลีกแบบ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์
เมื่อเราค้นประวัติเก่า ๆ ในช่วง 5-6 ปีหลังในพรีเมียร์ลีก ทีมระดับกลางตาราง (หรือค่อนล่าง) ที่อยู่รอดและมีผลงานที่แน่นอนสามารถเอาตัวรอดได้ส่วนใหญ่ มักจะเลือกติดตั้งเกมรับที่เหนียวแน่นก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ ส่วนที่เปิดหน้าแลกทุกกรณีส่วนใหญ่จะไม่รอด ไม่ว่าจะ อิปสวิช ทาวน์, ลีดส์ ยูไนเต็ด, ลูตัน และ เลสเตอร์ ซิตี้
แม้แต่ทีมระดับหัวแถวที่มีนักเตะคุณภาพดีในระดับหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะทำบอลเกมรุกออกมาได้ดี ตัวอย่างก็ไม่ใช่ที่ไหนอื่นไกล สเปอร์ส ของ แอนจ์ ในซีซั่นที่แล้วที่จบอันดับ 17 ของตารางพรีเมียร์ลีก หรือ แมนฯ ยูไนเต็ด ของ รูเบน อโมริม ที่พยามเปิดเกมบุก และตายตอนจบกับบอลสวนกลับของคู่แข่งทั้งคู่
ในยุคที่ฟุตบอลมีความเข้มข้นสูง และเกมเร็วขึ้นมาก ๆ บางครั้งการเลือกซื้อความแน่นอนอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ทีมได้ผลการแข่งขันที่ดี ไม่ใช่แค่ทีมเล็กหรือทีมกลาง ๆ เท่านั้น ปัจจุบันเจ้าพ่อครองบอลอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ของเขามีจังหวะผ่อนเร็ว-ช้า บางครั้งถึงกับอุดจนโดนวิจารณ์ในเกมใหญ่ ๆ เลยก็มี
ไหนจะ อาร์เซน่อล ที่ไขเกมรับจนแน่นปึ๊ก ลิเวอร์พูล ของ อาร์เน่อ ชล็อต ที่ลดจังหวะการเล่นเดือด ๆ ลงมาจากยุคของ คล็อปป์ และเลือกซื้อความแน่นอนเน้นผลจนทีมได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อซีซั่น 2024-25 คือคำยืนยันได้อย่างดีว่า เกมรับคือหัวใจของฟุตบอลยุคนี้หากคุณต้องการผลการแข่งขันที่ดีในเกมสำคัญๆ ... สำหรับทีมเล็ก ๆ ที่ทุกนัด ทุกแต้มสำคัญต่อการอยู่รอด ยิ่งต้องไปคิดเรื่องนี้ให้หนักว่า การพยายามเล่นเกมบุกเพื่อยิงประตู สร้างฟุตบอลที่สวยงาม และความบันเทิงให้แฟนบอล มันคุ้มกันหรือไม่
เรื่องนี้ชวนให้นึกถึงประโยคคลาสสิกของกุนซือสายเกมรับเก่า ๆ หลายคน อาทิ โทนี่ พูลิส ที่เคยบอกว่า "สำหรับทีมแบบเรา การอยู่รอดมาก่อนความบันเทิง เพราะระบบและวินัยคือสิ่งที่ทำให้เราอยู่รอด" ขณะที่ "บิ๊ก แซม" แซม อัลลาร์ไดซ์ ก็พูดไม่ต่างกันว่า "มองโลกตามความเป็นจริงและประเมินตัวเองให้ดีต่างหากที่ทำให้ทีมรอด ไม่ใช่ปรัชญาการเล่นเสมอไปหรอก"
สิ่งที่ แอนจ์ ทำอยู่อาจจะดีตอนปลาย หากนักเตะปรับตัวเข้ากับระบบการเล่นที่เขานำพามาได้ ... แต่ต้องไม่ลืมว่าฟุตบอลสมัยนี้ทุกนัด ทุกแต้ม ล้วนมีความหมาย สโมสรไม่อาจรอโค้ชคนไหนให้สร้างผลงานนาน ๆ ได้ ... หากแต้มยังไม่มา ทีมยังไม่ชนะ ไม่แน่ แอนจ์ อาจจะอยู่ไม่ทันได้เห็นลูกทีมของเขาเล่นเกมบุกสุดตัวแบบที่เขาฝันไว้ก็เป็นได้
แหล่งอ้างอิง
https://www.nytimes.com/athletic/6685370/2025/10/03/nottingham-forest-europa-league-postecoglou-struggles/
https://www.skysports.com/football/news/11727/13443251/ange-postecoglou-sacked-chants-nottingham-forest-boss-says-team-on-right-track-amid-fan-backlash
https://www.reddit.com/r/coys/comments/1k4qhnb/ange_postecoglou_the_frustrating_bit_is_its_not/?rdt=59892
https://www.goal.com/en/lists/ange-postecoglou-unwanted-nottingham-forest-history-first-manager-century-terrible-start/blt4738b0dcc50dffd0