Feature

จากตระกูลเกลเซอร์ถึง เซอร์ จิม : วิเคราะห์การบริหาร แมนฯ ยูไนเต็ด ยุคใหม่ จะกลับมาเกรียงไกรหรือซ้ำรอยเดิม ? | Main Stand

ในยุคปัจจุบัน สนามฟุตบอลไม่ใช่เพียงสถานที่เอาไว้แข่งขันกีฬาเพื่อชัยชนะและถ้วยรางวัลเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นสมรภูมิที่มหาเศรษฐีใช้วัดความสำเร็จของสโมสรด้วยเม็ดเงิน ตัวเลขงบดุล และผลกำไร 

 

หนึ่งในทีมฟุตบอลที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แห่งอังกฤษ ซึ่งในระยะหลัง ทีมปีศาจแดงมีฟอร์มไม่ดี อิีกทั้งยังไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกถึง 12 ปี แต่เหตุใด แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงเป็นทีมที่ทำกำไรในโลกธุรกิจได้ดีอย่างต่อเนื่อง จริงหรือไม่ที่ผู้บริหารให้ความสำคัญกับผลกำไรมากกว่าผลงานของทีม ? 

Main Stand จะวิเคราะห์โดยใช้กรอบคิดตามหลักเหตุผล หรือ Rational Choice Theory มาช่วยวิเคราะห์การตัดสินใจของตระกูลเกลเซอร์ ตั้งแต่ขั้นตอนการซื้อสโมสร การบริหารจัดการเชิงพาณิชย์ ไปจนถึงการขายหุ้นบางส่วนให้ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ จาก INEOS โดยชี้ให้เห็นว่าทำไมแนวคิดเชิงผลประโยชน์ ถึงมีความสำคัญกว่าความสำเร็จทางกีฬาไปได้อย่างชัดเจน

 

ทฤษฎี Rational Choice 

ทฤษฎี Rational Choice ถือว่ามนุษย์ทุกคนมีเป้าหมายหรือความต้องการชัดเจน และเมื่อเผชิญทางเลือกหรือสถานการณ์ใด ๆ พวกเขาจะเลือกกระทำในแนวทางที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด (Utility Maximization) ภายใต้ข้อจำกัดต่าง ๆ องค์ประกอบสำคัญของ ทฤษฎี Rational Choice ได้แก่:

• เป้าหมายชัดเจน (Goal-oriented): นักลงทุนหรือนักบริหารจะต้องมีเป้าหมายหลัก เช่น การแสวงหาหาผลกำไร การสร้างชื่อเสียง เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการประเมินผลลัพธ์ของการลงทุน

• การคำนวณต้นทุน–ผลตอบแทน (Cost–Benefit Calculation): ทุกการตัดสินใจต้องพิจารณาผลดีผลเสียทั้งระยะสั้นและระยะยาวอย่างรอบคอบ เพื่อตัดสินใจเลือกแนวทางที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด

• การคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Interdependence): เมื่อผลลัพธ์ของการตัดสินใจขึ้นกับการกระทำของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรายอื่น ๆ ผู้ตัดสินใจจึงต้องพิจารณาปฏิกิริยาและความเป็นไปได้ต่าง ๆ จากตัวแปรเหล่านั้นควบคู่กันไป

ทฤษฎีนี้ถูกนำไปใช้วิเคราะห์พฤติกรรมในหลายสาขา เช่น เศรษฐศาสตร์ในการอธิบายพฤติกรรมผู้บริโภคและภาคธุรกิจ รัฐศาสตร์ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักการเมืองและนโยบายสาธารณะ รวมทั้งสังคมวิทยาและจิตวิทยาในการศึกษาการแลกเปลี่ยนทรัพยากรระหว่างกลุ่มหรือความสัมพันธ์เชิงอำนาจ 

จุดแข็งของ ทฤษฎี Rational Choice การที่เราสามารถวิเคราะห์ได้เห็นภาพอย่าชัดเจนและคาดการณ์พฤติกรรมได้ดีในหลายกรณี แต่ก็มีข้อจำกัดในความเป็นจริงที่บางกรณีเราไม่สามารถมีข้อมูลครบถ้วนหรือประเมินทุกทางเลือกได้อย่างสมบูรณ์

 

การเข้าซื้อ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยตระกูลเกลเซอร์

ในปี 2005 ตระกูลเกลเซอร์ ซึ่งสร้างชื่อจากการเป็นเจ้าของทีม แทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ส ในอเมริกันฟุตบอล NFL เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มูลค่ารวมประมาณ 790 ล้านปอนด์ ผ่านกลยุทธ์ธุรกิจที่เรียกว่า Leveraged Buyout (LBO) ซึ่งเป็นการกู้ยืมเงินจำนวนมากโดยใช้ทรัพย์สินที่ซื้อเป็นหลักประกัน ในกรณีนี้ สโมสร แมนฯ ยูไนเต็ด กลายเป็นหลักประกันหลัก

แม้ว่าการกู้ยืมจะสร้างภาระหนี้สินมหาศาลแก่สโมสร แต่ตระกูลเกลเซอร์เชื่อมั่นว่า รายได้จากสโมสรที่กว้างขวางและมั่นคงนั้นเพียงพอจะชำระหนี้พร้อมสร้างผลกำไรในระยะยาวได้ โดยก่อนหน้าการเทคโอเวอร์ของเกลเซอร์ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นสโมสรที่ประวัติศาสตร์แจ่มใสและแทบจะไร้หนี้สิน ทำให้แฟนบอลจำนวนมากแสดงความไม่พอใจที่เกลเซอร์จะเข้ามาเป็นเจ้าของคนใหม่ เพราะนั่นหมายถึงสโมสรต้องแบกรับหนี้ก้อนใหญ่นับจากนี้

เป้าหมายชัดเจนของตระกูลเกลเซอร์ ไม่ใช่การสร้างทีมเพื่อเป็นแชมป์ แต่เป็นการสร้างผลกำไรเชิงพาณิชย์ให้สูงสุด หลังจากตระกูลเกลเซอร์เข้าซื้อทีมสำเร็จแล้ว พวกเขาไม่ได้ทุ่มทุนมหาศาลกับการซื้อนักเตะเพื่อพัฒนาขุมกำลังผู้เล่น แต่กลับมุ่งขยายการหารายได้ด้านพาณิชย์ในหลายด้าน เช่น

• ขยายสัญญาสปอนเซอร์ระดับโลก: แมนฯ ยูไนเต็ด เปลี่ยนสปอนเซอร์หน้าอกเสื้อจาก AON มาเป็น Chevrolet จากนั้นเปลี่ยนเป็น TeamViewer และสัญญากับแบรนด์ระดับโลก, ระดับภูมิภาค และระดับประเทศอื่น ๆ เพื่อเพิ่มรายได้เข้าสโมสร

• ทัวร์ Pre-Season ทั่วโลก: แมนฯ ยูไนเต็ด ไปแข่งนัดพิเศษ โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย และประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อขยายฐานแฟนบอลในตลาดต่างประเทศ พร้อมสร้างโอกาสหารายได้

• ธุรกิจสินค้าลิขสิทธิ์และสิทธิ์ต่าง ๆ: พัฒนาแฟรนไชส์สินค้า, การร่วมมือกับเกม FIFA ของ EA Sports รวมถึง eFootball ของ Konami, ช่อง YouTube และคอนเทนต์ดิจิทัลอื่น ๆ เพื่อขยายแบรนด์ไปสู่แฟนรุ่นใหม่ทั่วโลก

แม้ผลงานในสนามของทีมจะไม่เป็นไปตามคาด ฟอร์มการแข่งขันตกต่ำลงเรื่อย ๆ แต่ฐานแฟนบอลระดับโลกของแมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงเหนียวแน่น ยอดซื้อค่าสมาชิก ค่าตั๋ว และสินค้าต่าง ๆ อยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ รายได้เชิงพาณิชย์ไม่ลดลงตามฟอร์มทีม ผู้บริหารภายใต้กรอบคิดทางธุรกิจจึงมองว่าการขยายรายได้จากแฟนทั่วโลกนั้นให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่าการทุ่มเงินเพื่อหวังแชมป์

เมื่อพิจารณาต้นทุนและผลตอบแทนในการบริหารสโมสรฟุตบอลโดยตรง ทฤษฎี Rational Choice ดังนี้

• ต้นทุนสำคัญ: การเซ็นสัญญานักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ย่อมมีต้นทุนมหาศาล ทั้งค่าตัวและค่าเหนื่อย ซึ่งตระกูลเกลเซอร์มองว่า มีความสำคัญกว่าค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ตลอดจนศูนย์ฝึกซ้อม แคร์ริงตัน หรือระบบบริหารจัดการต่าง ๆ 

• ผลตอบแทนเชิงพาณิชย์: รายได้หลักของแมนฯ ยูไนเต็ด รวมถึงค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก, ค่าสปอนเซอร์ระดับโลก, และยอดขายสินค้าลิขสิทธิ์ต่าง ๆ ทีมยังได้เงินมหาศาลจากรายได้เหล่านี้ แม้ผลงานในสนามจะตกต่ำ แต่แบรนด์แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงแข็งแกร่ง

ในเชิงเศรษฐศาสตร์ การลงทุนจำนวนมากเพื่อคว้าแชมป์หนึ่งถ้วยนั้นมีความเสี่ยงสูงที่อาจล้มเหลว แต่การขยายรายได้จากแฟนทั่วโลกซึ่งเป็นทางเลือกที่มั่นคงและต่อเนื่องกลับมีความคุ้มค่ามากกว่า ภายใต้ทฤษฎี Rational Choice ตรงนี้สะท้อนเป้าหมายหลักของตระกูลเกลเซอร์ คือกำไรก่อนผลงานในสนาม

 

ปัญหาโครงสร้างและหนี้ 

แม้ผลงานในสนามจะไม่ได้ดีเท่าที่ควร แต่แฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด จำนวนไม่น้อยยังคงมีความผูกพันอย่างเหนียวแน่น หลายคนพร้อมจ่ายค่าตั๋วเข้าชมทุกนัด จ่ายค่าสมาชิก และซื้อสินค้าต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นกล่าวขานกันว่าพวกเขาซื้อของในขณะที่สโมสรยังไม่มีความสำเร็จเป็นรูปธรรมเลยด้วยซ้ำ 

นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยบ่งชี้ว่า แฟนบอลจะมีความรักต่อทีมสูงสุดเมื่อรู้สึกว่าสโมสรคือ "ครอบครัว" มากกว่าการเป็นองค์กรธุรกิจ ถึงแม้ตระกูลเกลเซอร์จะเปลี่ยนภาพลักษณ์แบรนด์ให้กลายเป็นธุรกิจ ทีมก็ยังได้ประโยชน์จากความผูกพันของแฟนกลับมาอย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่แบรนด์แมนฯ ยูไนเต็ด ยังมีอิทธิพลอยู่ แฟนบอลก็ยังติดตามสนับสนุน 

แม้ฟอร์มการเล่นที่ตกต่ำและผลงานของทีมดูไม่กระทบต่อรายได้โดยรวมมากนัก อย่างไรก็ตามปัญหา เหล่านี้ส่งผลให้แฟนบอลรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้จ่ายหนี้ต่าง ๆ ให้แก่สโมสร โดยที่ตระกูลเกลเซอร์ไม่ได้ซัพพอร์ตปัญหาหนี้การเงินใด ๆ ของแมนฯ ยูไนเต็ดเลย 

ขณะเดียวกัน ก็มีปัญหาเชิงโครงสร้างเช่นกัน เมื่อตระกูลเกลเซอร์มุ่งเน้นที่ประเด็นการแสวงหาผลกำไรเชิงพาณิชย์ มากกว่าความสำเร็จเชิงฟุตบอล ตระกูลเกลเซอร์ได้มุ่งลงทุนสร้างประสบการณ์เชิงพาณิชย์ที่ดึงดูดแฟนบอลมากยิ่งขึ้น แทนที่จะโฟกัสกับผลงานในสนามเป็นหลัก มิหนำซ้ำ การลงทุนกับนักเตะของพวกเขายังล้มเหลวเสียเป็นส่วนใหญ่ นักเตะที่ซื้อมาด้วยเงินมหาศาล ไม่สามารถช่วยทีมให้คว้าแชมป์ลีกหรือแชมเปี้ยนส์ลีกได้ และหลายคนถูกปล่อยให้หมดสัญญา ออกจากทีมไปแบบฟรี ๆ เพราะสโมสรให้ค่าเหนื่อยสูงเกินไปตอนย้ายมาร่วมทีม

การดำเนินการเชิงพาณิชย์ด้านต่าง ๆ เหล่านี้ สะท้อนให้เห็นกลยุทธ์ชัดเจนของตระกูลเกลเซอร์ที่เรียกว่า "กำไรก่อนผลการแข่งขัน" นั่นคือพวกเขาให้ความสำคัญกับการสร้างผลตอบแทนจากฐานแฟนทั่วโลกและการบริหารแบรนด์ที่แน่นอนและยั่งยืนกว่า ในขณะที่การลงทุนโดยตรงเพื่อชิงแชมป์ต้องแบกรับต้นทุนและความเสี่ยงสูง เช่น  การทุ่มทุนซื้อนักเตะค่าตัวมหาศาลแต่ไม่มีอะไรการันตีว่าจะได้ถ้วยรางวัลกลับมาหรือไม่

 

การขายหุ้นให้ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ 

หลังผ่านหลายฤดูกาลที่ผลงาน แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้ดีขึ้นตามคาด แรงกดดันจากแฟนบอล สื่อ และนักวิเคราะห์เริ่มสูงขึ้น บีบให้ตระกูลเกลเซอร์ต้องแสดงท่าทีกับทีมมากขึ้น แม้แต่สื่อหลักในต่างประเทศยังจับตาว่าตระกูลเกลเซอร์จะตอบสนองอย่างไรต่อสถานการณ์ดังกล่าว พวกเขาเลือกทฤษฎี Rational Choice มาใช้อีกครั้ง โดยขายหุ้นสโมสรบางส่วนให้กับ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ เจ้าของ INEOS บริษัทเคมีภัณฑ์ชื่อดังของอังกฤษ ที่มีประสบการณ์ทำทีมกีฬาหลายชนิด มาช่วยบริหารจัดการฟุตบอลของสโมสรแทน

การขายหุ้นครั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์ภายใต้กรอบคิด Rational Choice พบว่ามีความสมเหตุสมผลหลายด้าน

• ต้นทุนทางชื่อเสียงสูง: หากตระกูลเกลเซอร์เลือกไม่เปลี่ยนแปลงใด ๆ แฟนบอลอาจประท้วงต่อต้านหนักขึ้น มีผลกระทบต่อมูลค่าหุ้นของสโมสรในระยะยาว

• ผลตอบแทนเชิงสภาพคล่อง: การขายหุ้น 25% ให้กับ INEOS ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ดได้รับเงินสดจำนวนมหาศาล ประมาณ 1 พันล้านปอนด์ ซึ่งสามารถนำมาใช้ชำระหนี้หรือปรับปรุงส่วนอื่น ๆ ของสโมสรได้ทันที

• เสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น: การมีพันธมิตรใหม่เข้ามาร่วมลงทุน ช่วยแบ่งเบาความกดดันที่ตระกูลเกลเซอร์ต้องรับผิดชอบคนเดียว ทั้งเรื่องงบประมาณเสริมทัพและการถูกวิจารณ์จากแฟนบอล

ด้านเชิงกลยุทธ์ แม้เกลเซอร์ยังคงถือหุ้นส่วนใหญ่ของสโมสร แต่การที่ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ เข้ามาช่วยบริหารจัดการทีม ลดดีกรีความโกรธของแฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ดต่อตระกูลเกลเซอร์ลงไป นอกจากนี้ พวกเขายังคงได้รับส่วนแบ่งรายได้เชิงพาณิชย์จากแบรนด์แมนฯ ยูไนเต็ด ในขณะที่ไม่ต้องรับผิดชอบทุกกระบวนการของสโมสรทั้งหมดเองอีกต่อไป

 

เปรียบเทียบกับเจ้าของทีมรายอื่นในพรีเมียร์ลีก

ในพรีเมียร์ลีก เมื่อพูดถึงเจ้าของสโมสรแต่ละราย โดยใช้หลักการ Rational Choice Theory สะท้อนผ่าน "เป้าหมายประโยชน์สูงสุด" ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน หากเปรียบเทียบแนวทางของตระกูลเกลเซอร์ เจ้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับเจ้าของทีมอื่น เช่น แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เชลซี และ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การนำของ ชีค มานซูร์ แห่งอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ใช้กลยุทธ์ "ลงทุนหนักเพื่อชัยชนะ" ไม่ลังเลที่จะทุ่มเงินในนักเตะระดับโลก และระบบสนับสนุนการเล่น เพื่อเป้าหมายคือการชนะลีกและถ้วยยุโรป ซึ่งผลลัพธ์คือสร้างผลตอบแทนมหาศาลผ่านค่าลิขสิทธิ์สื่อ สปอนเซอร์ และการเติบโตของมูลค่าแบรนด์ โดยปรัชญาของพวกเขาคือยอมรับต้นทุนสูง ด้วยความมั่นใจว่า "ชัยชนะ = กำไรในระยะยาว"

ขณะที่ เชลซี ในยุค โรมัน อบราโมวิช และต่อเนื่องจนถึงยุค BlueCo ปฏิบัติเหมือนนักเทคโอเวอร์ธุรกิจที่ต้องการเห็นผลลัพธ์เร็ว พวกเขาใช้เงินมหาศาลในตลาดซื้อขายนักเตะ เพื่อเป้าหมายคว้าแชมป์อย่างรวดเร็ว เป็นวิธีที่สะท้อนแนวคิด Rational Choice ลงทุนอย่างมหาศาลเพื่อกำไรจากถ้วยรางวัลและค่าลิขสิทธิ์ทันที 

ในทางตรงกันข้าม ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ภายใต้การนำของ แดเนียล เลวี่ และกลุ่ม ENIC ใช้แนวทาง "ตั้งรับอย่างรอบคอบ" โดยมุ่งสร้างผลกำไรจากกิจกรรมทางการเงิน มุ่งในผลกำไรจากรายได้สโมสรต่ำสุดในกลุ่มบิ๊ก 6 ทำให้สโมสรสร้างกำไรพร้อมความมั่นคง แม้จะไม่คว้าแชมป์ใหญ่ แนวคิดตรงนี้คือ "กำไรเสถียรก่อน แล้วค่อยขยับสู่ความสำเร็จ" 

เมื่อเทียบกับโมเดลของตระกูลเกลเซอร์ ที่เลือกใช้ Rational Choice แล้ว พบว่าแนวคิดของพวกเขาคือ "กำไรเชิงพาณิชย์สำคัญกว่าถ้วยแชมป์" ด้วยเป้าหมายสร้างรายได้จากแฟนทั่วโลกผ่านสปอนเซอร์และลิขสิทธิ์ แม้ผลงานบนสนามเริ่มตกต่ำลงไป ตราบใดที่แบรนด์ยังยิ่งใหญ่ ก็ยังสร้างเม็ดเงินมหาศาลได้อย่างต่อเนื่อง ที่น่าสนใจคือ แม้กระทั่ง เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ กับทีม INEOS ที่เข้ามาถือหุ้นบางส่วนของแมนฯ ยูไนเต็ด และเข้าควบคุมการจัดการเกมฟุตบอล เขาใช้แนวคิด Rational Choice ด้วยการปรับโครงสร้างต้นทุนและลดพนักงานเพื่อให้สโมสรหลุดพ้นจากสภาพการเงินที่ย่ำแย่ ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการบริหารของตระกูลเกลเซอร์ 

ในบทสรุป การเปรียบเทียบเจ้าของสโมสรพรีเมียร์ลีกแต่ละรายให้เห็นว่า Rational Choice ใช้ได้กับทุกโมเดล แต่อรรถประโยชน์ หรือ Utility สูงสุด ที่เจ้าของแต่ละรายเลือกนั้นอาจแตกต่างกันไป บางทีมองเป็น "ชัยชนะทางกีฬา" (แมนฯ ซิตี้/เชลซี), บางทีมเน้น "กำไรระยะยาว" (สเปอร์ส), หรือ "ผลกำไรเชิงพาณิชย์มากกว่าแชมป์" (แมนฯ ยูไนเต็ด) โมเดลเหล่านี้สะท้อนความสมเหตุสมผลในบริบทที่ต่างกัน

 

สู่เส้นทางใหม่ของแมนฯ ยูไนเต็ด

การเข้ามาถือหุ้นของ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ใน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ชวนตั้งคำถามว่า เขากำลังเดินตามรอยตระกูลเกลเซอร์ หรือกำลังเลือกเส้นทางใหม่ที่แตกต่างออกไป แม้จะเห็นว่าเขาใช้เครื่องมือทางธุรกิจที่คล้ายกัน แต่หากพิจารณาภายใต้กรอบทฤษฎี Rational Choice Theory จะเห็นว่าความเหมือนนั้นมีเพียงเล็กน้อย ขณะที่เป้าหมายและการตัดสินใจแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

ตระกูลเกลเซอร์เข้าครอบครองแมนฯ ยูไนเต็ด โดยเน้นไปที่การสร้างผลกำไรจากแบรนด์และทรัพย์สินของสโมสร มากกว่าการแข่งขันหรือถ้วยรางวัล ซึ่งเป็น Rational Choice ที่มุ่งหวัง อรรถประโยชน์ เชิงพาณิชย์เป็นหลัก

ในทางตรงกันข้าม เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ผู้ที่เข้ามาถือหุ้นราว 27.7% ของสโมสรในช่วงปลายปี 2023 นั้น มีเป้าหมายที่ดูแตกต่างไป เขาไม่ได้หวังเพียงแต่กำไร แต่ตั้งเป้าหมายการแข่งขันอย่างชัดเจนผ่านโครงการ "Mission 21" ซึ่งตั้งเป้าพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกภายในปี 2028 เรียกว่ามีเป้าหมายสำคัญคือการทวงคืนความเป็นเจ้าลูกหนังแห่งเกาะอังกฤษ

ภายใต้การบริหารของ เซอร์ จิม แสดงออกถึงความใส่ใจในโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การลดจำนวนพนักงานที่ไม่จำเป็นกว่า 200 คน การจัดสรรงบประมาณใหม่อย่างเข้มงวด ไปจนถึงการลงทุนในสนามฝึกซ้อมและโครงการก่อสร้างสนามใหม่ขนาด 100,000 ที่นั่ง ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณสูงถึง 2 พันล้านปอนด์

ที่สำคัญคือ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ไม่ใช่เจ้าของที่อยู่บนหอคอยงาช้างแบบตระกูลเกลเซอร์ เขาเข้ามามีบทบาทโดยตรงในเรื่องการบริหารฟุตบอลและลงทุนด้านกีฬาอย่างจริงจัง การดำเนินการเหล่านี้สะท้อน Rationality ในอีกรูปแบบหนึ่ง คือการมองว่า "ชัยชนะในสนาม" คือวิธีสร้าง อรรถประโยชน์ ที่ยั่งยืน ผ่านการขยายฐานแฟนบอล ความนิยมระดับสากล และรายได้ในอนาคต

หากโครงการ "Mission 21" ประสบความสำเร็จ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ทั้งในอังกฤษและเวทียุโรป ส่งผลให้เป้าหมายของเซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ หวังไว้สำเร็จในทุกมิติเหนือกว่าเกลเซอร์อย่างชัดเจน … กล่าวได้ว่า เซอร์ จิม ไม่เพียงแต่ใช้ Rational Choice เพื่อการตัดสินใจระยะสั้น แต่เขากำลังวางยุทธศาสตร์ที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์และการวางแผนในระยะยาว ซึ่งอาจเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแมนฯ ยูไนเต็ด และแนวทางการบริหารสโมสรฟุตบอลในศตวรรษที่ 21 ไปโดยสิ้นเชิง

 

บทสรุป มองอนาคตของฟุตบอลในยุคใหม่อย่างไร ?

กล่าวโดยสรุป เมื่อมองผ่านทฤษฎี Rational Choice การตัดสินใจของตระกูลเกลเซอร์ ตั้งแต่การเทคโอเวอร์ในปี 2005 การบริหารเชิงพาณิชย์ที่มุ่งเน้นผลกำไร ไปจนถึงการขายหุ้นบางส่วนให้ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ล้วนมีเป้าหมายเดียวคือ การแสวงหาผลประโยชน์สสูงสุดภายใต้ข้อจำกัดของสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็น ต้นทุนหนี้สิน แรงกดดันจากแฟนบอล และข้อจำกัดทางการเงินอื่น ๆ

พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธว่าความสำเร็จบนสนามไม่มีความหมาย แต่เมื่อประเมินด้วยมุมมองของนักลงทุนแล้ว "กำไรเชิงพาณิชย์" ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากกว่า "ถ้วยแชมป์" สำหรับตระกูลเกลเซอร์ การทุ่มทุนเพื่อคว้าแชมป์จึงไม่ใช่ทางเลือกที่สมเหตุสมผลมากที่สุดเสมอไป

แม้แนวทางเหล่านี้จะทำให้แฟนบอลจำนวนไม่น้อยรู้สึกเจ็บปวด แต่แนวคิดของตระกูลเกลเซอร์ที่ว่า "ผลกำไรมาก่อนผลงาน" มีเหตุผลภายใต้กรอบคิด ทฤษฎี Rational Choice  ที่เน้นผลประโยชน์ด้านตัวเลขในแง่มุมของนักลงทุน มากกว่าการมองไปที่ความสำเร็จด้านผลงานในสนาม

บทวิเคราะห์นี้สะท้อนว่า ในยุคที่ฟุตบอลกลายเป็นธุรกิจอย่างจริงจัง เจ้าของสโมสรอาจต้องตัดสินใจแบบนักลงทุน มากกว่าที่จะสร้างทีมด้วยความรักฟุตบอลอย่างจริงใจ ในเมื่อผลกำไรกลายมาเป็นเป้าหมายหลัก ก็จะทำให้สโมสรถูกขับเคลื่อนด้วยอรรถประโยชน์สูงสุด ด้วยคำว่า "ผลกำไรมาก่อนผลงาน" ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เสน่ห์ของฟุตบอลเสื่อมถอยลงในไม่ช้า

 

บทความโดย : กษิธัฏฐ์ เอี้ยงเอี่ยม (นักศึกษาฝึกงาน)

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.investopedia.com/terms/r/rational-choice-theory.asp
https://www.skysports.com/football/story-telling/11667/12987531/the-glazers-at-manchester-united-the-story-of-their-turbulent-tenure-so-far
https://www.skysports.com/football/news/11667/13037428/manchester-united-sir-jim-ratcliffes-deal-with-the-glazers-explained-and-what-it-means-for-the-premier-league-club
https://www.nytimes.com/athletic/6352213/2025/05/13/glazers-manchester-united-debt-takeover/
https://www.espn.com/soccer/story/_/id/39378413/whats-gone-wrong-manchester-united-glazer-ownership
https://www.blackwellpublishing.com/content/GrantContemporaryStrategyAnalysis/6th_Edition/case_teaching_notes/CSA6CaseNotes_06.pdf
https://www.bbc.com/sport/football/articles/cd9lwdegxvxo
https://www.the-star.co.ke/business/kenya/2023-12-24-manchester-united-sir-jim-ratcliffe-agrees-deal-to-buy-25-stake-for-about-125bn

Author

Main Stand

Stand ForAll สื่อกีฬาที่เข้าถึงทุกคน

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ