Feature

เซอร์เบีย vs โครเอเชีย : จากศัตรูในสนามรบ สู่คู่ปรับในสนามฟุตบอล | Main Stand

แม้เสียงปืนในสงครามปลดปล่อยโครเอเชีย ภายใต้การปกครองของยูโกสลาเวีย หรือเซอร์เบียในปัจจุบันยุติลงไปกว่า 30 ปี แต่ความเป็นอริระหว่าง 2 ชาตินี้ไม่เคยจางหายไป เมื่อทั้งคู่เผชิญหน้ากันในการแข่งขันฟุตบอล จึงด้วยไปเต็มไปด้วยความเข้มข้นและดุเดือดจากการช่วงชิงความเป็นเจ้ากีฬาแห่งยุโรปตะวันออก

 


Main Stand พาไปหาคำตอบว่า เหตุใดการแข่งขันฟุตบอลระหว่างเซอร์เบียกับโครเอเชีย จึงเต็มไปด้วยความดุเดือด ดราม่า และรวมถึงความรุนแรงที่ไม่แพ้การแข่งขันนัดใดในโลก 

 

ลูกเตะของ ซโวนิเมียร์ โบบัน

หลายคนมองว่า เกมฟุตบอลลีกยูโกสลาเวียเมื่อปี 1990 ระหว่าง ดินาโม ซาเกร็บ ปะทะ เร้ดสตาร์ เบลเกรด ในสนามมักซิเมียร์ เมืองซาเกร็บ คือจุดแตกหักระหว่างความขัดแย้งของชาวโครแอตและเซิร์บที่เริ่มต้นจากสนามฟุตบอล

ความเป็นอริของสองสโมสรเกี่ยวข้องกับประเด็นการเมือง นั่นคือประเด็นความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ระหว่างชาวโครแอตกับเซิร์บ ทำให้ก่อนจะเริ่มเกมที่ ดินาโม ซาเกร็บ ปะทะ เร้ดสตาร์ เบลเกรด กองเชียร์ของทั้งคู่มักจะมีวิวาทะกันอยู่เสมอ แต่ในปีดังกล่าว ดีกรีความเดือดไปไกลกว่าแค่การโต้เถียงกัน  

ก่อนเริ่มการแข่งขันเพียง 10 นาที เกิดการชกต่อยระหว่าง แฟนบอล ดินาโม ซาเกร็บ กับ แฟนบอล เร้ดสตาร์ เบลเกรด ทำให้เกิดการจลาจลขึ้น ตำรวจคุมฝูงชนชาวเซิร์บต้องเข้ามาระงับเหตุด่วน ทำให้เกิดการใช้กำลังกับแฟนบอลดินาโม ซาเกร็บ ที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ 

ซโวนิเมียร์ โบบัน  กองกลาง ดินาโม ซาเกร็บ รับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงเข้าไปปกป้องแฟนบอลด้วยการเข้าไปกระโดดกังฟูคิกใส่ตำรวจคุมฝูงชน ซึ่งชาวโครแอตมองว่าการกระทำเช่นนั้นของโบบัน เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ถึงการปลดปล่อยโครแอต ว่าจะไม่ยอมอยู่ภายใต้การปกครองของยูโกสลาเวียอีกต่อไป  

หลังจากนั้นเพียง 1 ปี โครเอเชียประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากการปกครองของรัฐยูโกสลาเวีย โดยสาเหตุการแยกตัวเป็นอิสระของโครเอเชีย มาจาก การที่ชาวโครแอตไม่ได้รับสิทธิเสรีภาพอย่างเต็มที่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเซิร์บ 

หลังจากที่ประธานาธิบดี โยซิป บรอซ ตีโต้ เสียชีวิตเมื่อปี 1980 ยูโกสลาเวียไร้ซึ่งเอกภาพในการปกครองประเทศ ประกอบปัญหาสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ชาวโครแอต ชาวบอสเนีย และชาวสโลวีเนีย จึงตัดสินใจแยกตัวมาก่อตั้งรัฐอิสระ 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกรุงเบลเกรดไม่ต้องการให้ชนชาติอื่น ๆ แยกตัวออกจากการปกครอง จึงเกิดการปะทะกันทางทหาร สุดท้ายทั้ง 2 ฝ่ายเล็งเห็นว่าการสู้รบจะเกิดการสูญเสียต่อทั้งคู่ จึงเข้าสู่โต๊ะเจรจาร่วมกัน นำไปสู่ข้อตกลงยุติสงครามโครเอเชีย-ยูโกสลาเวียในเดือนมกราคมปี 1992


 
รัฐยูโกสลาเวียได้ล่มสลายลง แตกกระสานซ่านเซ็นเป็นประเทศต่าง ๆ และแม้รัฐบาลกรุงเบลเกรดของชาวเซิร์บ ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศจาก ยูโกสลาเวีย เป็น เซอร์เบียและมอนเตเนโกร เมื่อปี 2003 ก็ไม่อาจขวางการแยกประเทศของชาวมอนเตเนโกรไปได้ ที่สุดแล้วก็เหลือแค่เพียง เซอร์เบีย ในปี 2006

หลังจากปี 2003 เป็นต้นมา เซอร์เบียและโครเอเชียไม่เคยมีการปะทะกันทางทหารต่อกัน แต่สงครามการรบได้แปรเปลี่ยนไปเป็นสงครามในสนามกีฬาที่นักกีฬาของทั้งสองชาติแบกศักดิ์ศรีและความคาดหวังของชาติ ในการเอาชนะคู่อริเบอร์หนึ่งตนให้ได้ 

 

เซิร์บปะทะโครแอตในสนามฟุตบอล

หลังจากสงครามแยกประเทศโครเอเชียยุติลง ในฟุตบอลยูโร 2000 รอบคัดเลือก กลุ่ม 8 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ยูโกสลาเวียโคจรมาพบโครเอเชีย  

เกมนี้จัดขึ้นที่กรุงเบลเกรด เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 1999 ก่อนเกมมีการปลุกระดมกระแสชาตินิยมจากทั้งสองฟากฝั่ง แฟนบอลทั้งสองชาติหลั่งไหลมาชมเกมเต็มสนาม 

แม้เกมการแข่งขันจะจบลงแบบไร้สกอร์ 0-0 แต่อารมณ์ความเดือดนอกสนามระหว่างแฟนบอลโครเอเชียปะทะแฟนบอลยูโกสลาเวีย ทำให้เกิดการปะทะกันเล็กน้อยแต่อยู่ในระดับที่ตำรวจควบคุม 

หลังจากนั้น ในวันที่ 9 ตุลาคม 1999 โครเอเชียเปิดบ้านที่กรุงซาเกร็บต้อนรับการมาเยือนของยูโกสลาเวีย เกมเริ่มต้นได้อย่างสนุก โครเอเชียได้ประตูขึ้นนำก่อนจาก อเล็น บ็อกซิช กองหน้าชาวโครแอต ในนาทีที่ 20

อย่างไรก็ตาม ยูโกสลาเวียได้ประตูจาก เปแดร็ก มิยาโตวิช ในนาทีที่ 25 กับ เดยัน สแตนโควิช ในนาทีที่ 31 พลิกขึ้นนำ 2-1 ในช่วงครึ่งแรก ก่อนที่โครเอเชียจะได้ประตูตีเสมอจากมาริโอ สตานิช  ในนาทีที่ 47 จบเกมเสมอ 2-2 แบ่งไปทีมละ 1 คะแนน

ผลสกอร์ดังกล่าวนี้ไม่เพียงพอต่อการที่ทีมชาติโครเอเชียจะเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลยูโร 2000 เนื่องจากทัพตาหมากรุก ที่เพิ่งคว้าอันดับ 3 ฟุตบอลโลก 1998 จบอันดับ 3 ของกลุ่ม 8 โดยยูโกสลาเวียจบแชมป์กลุ่ม เข้ารอบสุดท้าย ไอร์แลนด์จบรองแชมป์กลุ่ม เข้ารอบเพลย์ออฟ ก่อนไปแพ้ตุรกี ไม่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย

ก่อนที่อีก 14 ปีต่อมา โครเอเชียและเซอร์เบียโคจรมาพบกันในการแข่งขันฟุตบอลอีกครั้ง ในฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก กลุ่ม A และเป็นการพบกันครั้งแรกของทั้ง 2 ชาติ หลังการประกาศแปรสภาพรัฐยูโกสลาเวียมาเป็นเซอร์เบียอีกด้วย โดยเกมแรกจัดขึ้นที่กรุงซาเกร็บ ประเทศโครเอเชีย ซึ่งทัพตาหมากรุกชนะไป 2-0 โดยได้ประตูจาก มาริโอ มานด์ซูคิซ ในนาทีที่ 23 และ อิวิก้า โอลิซ ในนาทีที่ 37

ขณะที่นอกสนามฟุตบอลมีการปะทะกันในระดับที่ควบคุมได้ แต่ที่จำเป็นต้องกล่าวถึงประเด็นวิวาทะของแฟนบอล ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนมรดกความขัดแย้งในทางประวัติศาสตร์ทั้ง สองชาติ ในระหว่างเกมการแข่งขันแฟนบอลหัวรุนแรงชาวโครแอต มีการร้องเพลงข่มขวัญคู่แข่งที่มีเนื้อหาว่า “สังหารพวกเซิร์บ” (Kill a Serb)  ซึ่งเป็นเพลงของกลุ่มโครแอตฟาสซิสต์ในช่วงทศวรรษ 1940 ซึ่งแฟนบอลหัวรุนแรงเหล่านี้ ถูกสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) และ สหพันธ์ฟุตบอลโครเอเชีย ลงโทษปรับเงินและสั่งห้ามเข้าชมการแข่งขันฟุตบอลที่จัดขึ้นโดยยูฟ่าและฟีฟ่า

ขณะที่เกมที่เซอร์เบียเป็นเจ้าบ้านรับการมาเยือนของโครเอเชีย ทัพตาหมากรุกขึ้นนำก่อนในนาทีที่ 53 จากศูนย์หน้าตัวเก่งของทีม มาริโอ มานด์ซูคิซ ก่อนที่อีก 13 นาที อเล็กซานเดอร์ มิโตรวิช กองหน้าชาวเซิร์บจะตีเสมอให้เซอร์เบียในนาทีที่ 66 ก่อนจบเกมด้วยผลเสมอ แบ่งกันไปทีมละ 1 คะแนน อย่างไรตามผู้ชนะแท้จริง คือ โครเอเชีย จบอันดับ 2 ในรอบคัดเลือกกลุ่ม A เข้ารอบเพลย์ออฟ ก่อนชนะ ไอซ์แลนด์ เข้ารอบสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2014 ขณะที่ เซอร์เบีย จบอันดับ 3 รอบคัดเลือกกลุ่ม A ไม่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย

หลังจากรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2014 ทั้งเซอร์เบียและโครเอเชีย ยังไม่เคยเจอกันในสนามฟุตบอลอีก แต่ทั้งสองชาติกลับมีประเด็นวิวาทะระหว่างในโลกฟุตบอลกันอีกครั้ง ในเกมยูโร 2024 ระหว่างเกมที่โครเอเชีย ปะทะแอลเบเนีย เมื่อทั้งแฟนบอลโครแอตและแอลเบเนีย ซึ่งเป็นอริของชาวเซิร์บในอดีตสงครามยูโกสลาเวีย ต่างร้องเพลงสนับสนุนการสังหารชาวเซิร์บ 

สมาคมฟุตบอลเซอร์เบียไม่พอใจอย่างมาก ทำให้ โยวาน เซอร์บาโตวิชา เลขาธิการสมาคมฟุตบอลเซอร์เบีย เรียกร้องให้ยูฟ่าลงโทษทั้งสองชาติ โดยหากหากยูฟ่าไม่ทำตามคำเรียกร้อง จะพิจารณาถอนทีมจากการแข่งขันยูโร 2024 

อย่างไรก็ตามการถอนตัวของทีมชาติเซอร์เบียไม่เกิดขึ้น เนื่องจากทางยูฟ่าสามารถระงับสถานการณ์ไม่ให้บานปลายได้ ทั้งนี้ กรณีศึกษาดังกล่าวเป็นจุดบ่งชี้ว่าความเป็นอริของสองชาติไม่อาจเลือนหายไปได้ แม้การกาลเวลาจะมาผ่านหลายทศวรรษแล้วก็ตาม

 

ความขัดแย้งที่มากกว่าเกมลูกหนัง

การแข่งขันระหว่างเซอร์เบีย และ โครเอเชีย เป็นมากกว่าเพียงแค่การแข่งขันกีฬา ตลอดระยะเวลา 30 ปี ที่ทั้ง 2 ชาติช่วงชิงความเป็นเจ้ากีฬาแห่งยุโรปตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นกีฬา ฟุตบอล แฮนด์บอล โปโลน้ำ และกีฬาอื่น ๆ เวทีกีฬาเป็นสิ่งสะท้อนถึงความขัดแย้ง ทางชาติพันธุ์ การเมือง และ บาดแผลในประวัติศาสตร์ที่ทั้ง 2 ชาติ ล้วนเผชิญหน้ากันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 

ความดุเดือดที่เกิดขึ้นทั้งในนอกสนามสะท้อน ความสำคัญของการแข่งขันกีฬาของทั้ง 2 ชาตินี้ ที่เรียกได้ว่า เซอร์เบีย - โครเอเชีย เป็นหนึ่งในคู่ปรับตลอดกาลเวลาในโลกกีฬาที่แฟนกีฬาทุกคนจับตามองอยู่เสมอหากทั้งคู่โคจรมาพบกัน คงไม่ใช่การกล่าวเกินจริงแต่อย่างใด

 

 

บทความโดย : กษิธัฏฐ์ เอี้ยงเอี่ยม (นักศึกษาฝึกงาน)

รายการอ้างอิง 

เซอร์เวนา ซเวซดา vs ปาร์ติซาน เบลเกรด : การต่อสู้ระหว่างคอมมิวนิสต์และเผด็จการทหารในเซอร์เบีย
https://www.the101.world/the-rivalry-ep-16/
Croatia v Serbia: the sporting rivalry - in pictures by the guardian 
https://www.theguardian.com/football/gallery/2013/mar/22/croatia-serbia-sporting-rivalry
เซอร์เบียขู่ถอนทีมจากยูโร 2024 เหตุแฟนบอลโครเอเชียกับแอลเบเนียพร้อมใจร้องเพลงต้าน
https://mainstand.co.th/th/news/1/article/17987
Soccer's Most Violent Rivalry: VICE World of Sports
via Youtube
https://youtu.be/g8MonIeEFsI?si=0Szve-_8uK9CDjOV
ดินาโม VS เรดสตาร์ : เกมลูกหนังชนวนสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สู่การล่มสลายของยูโกสลาเวีย | MAIN STAND
https://www.blockdit.com/posts/5fba3d675f56da0cb898a11c
10 years ago today: Croatia’s only football victory over Serbia
https://www.croatiaweek.com/10-years-ago-today-croatias-only-football-victory-over-serbia/

Author

Main Stand

Stand ForAll สื่อกีฬาที่เข้าถึงทุกคน

Graphic

อภิสิทธิ์ โชติพิบูลย์ทรัพย์

Art Director ผู้รับเหมางานภาพกราฟิกหน้าปกบทความทุกชิ้น