ยื้อกันอยู่นานเกือบสองเดือน สุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เปิดตัว ไบรอัน เอ็มเบอโม่ เข้ามาเป็นตัวรุกทางเลือกคนใหม่ของทีมจนได้
ราคารวม 71 ล้านปอนด์ สำหรับดาวเตะที่ยิง 20 ประตูและ 8 แอสซิสต์ เมื่อฤดูกาล 2024-25 คือราคาที่ปีศาจแดงเกี่ยงงอนอยู่นาน สุดท้ายก็ยอมจ่าย ... และอาจมันเป็นเพราะว่านี่คือกุญแจสำคัญในการเสริมทีมยุค รูเบน อโมริม ที่ทั้งตัวโค้ชและสโมสรไม่สามารถเล็งเป้าผิดคนได้อีกแล้ว
เมื่อสถานการณ์ทางการเงินบีบบังคับ และงบประมาณในการซื้อตัวของทีมน้อยลงในแทบทุก ๆ ปี ... ทำไมต้องจบที่ เอ็มเบอโม ?
ที่สุดแห่งความลื่นไหล
ไบรอัน เอ็มเบอโม่ คือนักเตะที่ยอดเยี่ยมเมื่อคุณดูจากสถิติ รวมถึงตัวเลขการยิงประตูและแอสซิสต์ของเขาในซีซั่นที่ผ่านมา ถ้าคิดกันเร็ว ๆ จากจำนวนเหล่านี้ที่ทำได้ เขาน่าจะทำให้แนวรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่อยู่ในยุคที่ปืนฝืดที่สุดดีขึ้นได้ ... แต่ถ้าจะไปให้ลึกกว่านั้น มันจะดีขึ้นในแง่ไหนกันล่ะ ?
ยูไนเต็ด เปิดศึกชิงตัว เอ็มเบอโม่ กับ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ และมี นิวคาสเซิ่ล เข้ามาพัวพันในบ้างช่วงเวลา จะเห็นได้ว่าด้วยความสำเร็จในปีที่แล้ว ยูไนเต็ด เป็นรองทั้ง 2 ทีมที่ได้ไปเตะ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ทว่าสุดท้ายนักเตะก็เลือกพวกเขาด้วยเหตุผลต่าง ๆ และหนึ่งในนั้นคือ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นทีมโปรดในดวงใจตั้งแต่ยังเด็ก
ตัดเรื่องของความชอบไป การที่ ยูไนเต็ด ต้องกระโดดเข้าแย่งตัว เอ็มเบอโม่ นั้นมีหลากหลายเหตุผล หลัก ๆ เลยคือเขาเป็นนักเตะตัวรุกที่ค่อนข้างจะแตกต่างออกไป นั่นคือเป็นคนที่สามารถเล่นได้หลากหลายตำแหน่ง และไม่ว่าจะในตำแหน่งไหน เขาก็ไม่เคยตายไมค์หรือหายไปจากเกมเลยสักครั้ง เพราะสถิติบอกว่าคะแนนความสามารถเฉลี่ยของ เอ็มเบอโม่ ไม่ว่าจะตอนที่เขาลงเล่นเป็นปีกขวา ปีกซ้าย กองหน้าตัวต่ำ หรือยืนหอกตัวเป้า ไม่เคยต่ำกว่า 7 คะแนนเลยใน 3 ซีซั่นหลังสุดกับ เบรนท์ฟอร์ด
ดาวเตะชาวแคเมอรูนรายนี้ลงเล่นมาหลายบทบาทให้ "ผึ้งพิฆาต" ไม่ว่าจะในระบบ 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 ซึ่งเมื่อได้ในเล่นในระบบนี้เขามักจะถูกจับไปเล่นเป็นปีกขวาเป็นส่วนใหญ่ และมีบางจังหวะที่ทีมเปิดเกมรุกเขาจะเข้าไปเล่นเป็นกองหน้าตัวต่ำทำงานร่วมกับ ไอแวน โทนี่ย์ ซึ่งก็กลายเป็นคู่หูอันตรายของพรีเมียร์ลีกในช่วงเวลานั้น
และล่าสุดในซีซั่นที่ผ่านมา กุนซือ โธมัส แฟรงค์ ก็เปลี่ยนระบบการเล่น ใช้ 3-5-2 เป็นหลัก และปรับวิธีการเล่นของเขาให้เป็นกองหน้าคู่ ทำงานร่วมกับ โยอัน วิสซ่า ซึ่งผลออกมาก็อย่างที่เห็น ทั้งการมีส่วนร่วมกับเกม หรือสถิติในการยิงประตูของเขาก็ไหลมาเทมา จนกลายเป็นปีที่เขายิงประตูมากที่สุดในอาชีพอีกด้วย
ถ้าถามว่า ยูไนเต็ด จะได้อะไรจากเขาในการเสริมทัพครั้งนี้ เหตุผลหลัก ๆ คงเป็นเรื่องความหลากหลายที่เพิ่มเข้ามา ทำให้ อโมริม ที่ยึดมั่นกับระบบการเล่น 3-4-2-1 ได้คนที่เข้ามารับบทบาทเบอร์ 10 ในระบบ "ดับเบิลเท็น" ที่คุ้นชินกับการเล่นในพื้นที่ฮาล์ฟสเปซ
วิธีการเล่นของ เอ็มเบอโม่ นั้นดูไม่ซับซ้อน แต่มีประสิทธิภาพ เพราะเขาเป็นนักเตะประเภทที่สร้างสรรค์เกมได้ทันทีเมื่อได้บอล มีความเป็นนักเตะที่เหมาะกับสไตล์ฟุตบอลไดเร็กต์สูง และสิ่งที่แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการจากเขามากที่สุด แบบที่ไม่มีนักเตะคนไหนทำให้พวกเขาได้เลยในซีซั่นที่แล้วก็คือ การพาบอลเข้าไปพื้นที่ว่างรอบ ๆ กรอบเขตโทษ ซึ่งเป็นสิ่งที่ แฟรงค์ อธิบายถึง เอ็มเบอโม่ ว่า "นี่คือนักเตะที่เหมือนกับติดตั้งระบบอัตโนมัติ เมื่่อเขาได้บอล เขาจะโจมตีพื้นที่ว่าง ซึ่งเขาทำมันได้อย่างเชี่ยวชาญ จากความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า"
ไม่ใช่แค่ลากบอลเข้าไปสร้างความกดดันให้กับคู่แข่งเท่านั้น ... ถ้าจะให้เขาเป็นคนที่รับหน้าที่หาจังหวะง้างเท้ายิงประตู เขาก็ทำได้ดีเช่นกัน
ไปได้-จบได้
"เกมรุกของยูไนเต็ดเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องแก้ไขและพัฒนาอย่างเห็นได้ชัดสุด ๆ นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาเลือกเอ็มเบอโม่ เพราะผมคิดว่าเขาเป็นคนที่ทำให้รู้สึกว่าสามารถไว้วางใจได้ในทุกพื้นที่เกมรุก ทั้งการครองบอลและวิ่งช่องหาตำแหน่ง เขาเป็นคนที่ขยับตัวเยอะ อ่านเกมตลอดเวลาด้วยความมุ่งมั่นและพลังงาน ที่สำคัญคือเขารู้วิธีการทำประตูด้วย"
คริส ซัตตัน อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษ กูรูของ BBC อธิบายถึงเหตุผลที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จำเป็นต้องซื้อ เอ็มเบอโม่ ว่าเกิดจากความสามารถที่ตรงกับที่ทีมขาดหายไป และทำให้ฟุตบอลของ อโมริม จบต้นชนปลายไม่ถูก แม้กระทั่งทุกวันนี้
สิ่งหนึ่งที่ เอ็มเบอโม่ พัฒนาขึ้นมาชัดเจนในฤดูกาล 2024-25 คือการหาพื้นที่โจมตีเสาสองได้ดีขึ้น กล่าวคือไม่ใช่แค่การเอาบอลเข้าไปทำเองเท่านั้น แต่การอ่านจังหวะเพื่อวิ่งสอดทะลุแนวรับ หรือเติมเข้าไปเล่นจังหวะครอสของเพื่อนร่วมทีมได้ถูกที่ถูกเวลา และทำให้เขาเป็นตัวจบสกอร์ที่ดีมาก ๆ
20 ประตูของ เอ็มเบอโม่ ในซีซั่นที่แล้วเกิดขึ้นผ่านค่า xG เฉลี่ยรวมทั้งซีซั่นแค่ 12.3 เท่านั้น ... เท่ากับว่าเขายิงประตูได้มากกว่าโอกาสที่ควรจะทำได้ไปถึง 7.7 ลูก ไม่่มีนักเตะคนไหนในพรีเมียร์ลีกอีกแล้ว ที่เปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตูได้มากกว่าเขา และในพรีเมียร์ลีก 5 ซีซั่นหลังสุดมีนักเตะเพียงแค่ 14 คนเท่านั้นที่สามารถยิงประตูได้เกินค่า xG แบบที่ เอ็มเบอโม่ ทำ
เอ็มเบอโม่ ยังคงเป็นนักเตะตัวรุกที่มีการสัมผัสบอลต่อ 1 เกมมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ถึง 48.8 ครั้ง เป็นรองแค่ โคล พาลเมอร์ และ หลุยส์ ดิอาซ นอกจากนี้ทุก ๆ ครั้งที่เขาได้จับบอล เขาเป็นนักเตะที่สร้างโอกาสจากโอเพ่นเพลย์รวมถึง 11 ครั้ง มากเป็นอันดับที่ 3 ของลีกรองจาก พาลเมอร์ และ โม ซาลาห์ ... และแน่นอน คุณต้องไม่ลืมว่าการมีส่วนร่วมกับเกมมากขนาดนี้ สำคัญกับการบอกวิธีการเล่นของเขาแค่ไหน เพราะ พาลเมอร์, ดิอาซ และ ซาลาห์ นั้นเป็นนักเตะที่อยู่กับทีมที่ครองบอลเฉลี่ยมากกว่า เบรนท์ฟอร์ด (อันดับ 12 ของลีก) ที่มีค่าเฉลี่ยครองบอลต่อเกมแค่ 47.2% เท่านั้น
จากทุกสถิติที่ว่ามา คุณจะเห็นได้ว่า เอ็มเบอโม่ เป็นนักเตะที่สร้างมิติในเกมรุกได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยง การจ่าย หรือการจบสกอร์ด้วยตัวเอง ... เป็นแบบที่ อโมริม ต้องการแบบสุด ๆ เพราะในปีที่แล้วเขาลองนักเตะหลายคนในทีมให้มาเล่นในตำแหน่งนี้ แต่ก็ไม่มีใครใกล้เคียง ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพูดถึงนักเตะในตำแหน่งเบอร์ 10 ฝั่งขวาในอุดมคติของเขาว่า
“นักเตะที่เล่น ‘ด้านใน’ มากกว่า ‘ด้านนอก’ จำเป็นต้องมีรายละเอียดเล็ก ๆ ประกอบกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด อย่างเช่นเท้าข้างถนัดก็สำคัญมาก โดยเฉพาะในตำแหน่งที่การ์นาโช่เล่นวันนี้ (หมายเลข 10 ทางขวา) การมีเท้าซ้ายมันสามารถเปลี่ยนวิธีการเล่นได้เลย” อโมริม พยายามเปรียบเทียบ การ์นาโช่ กับใครสักคนในเวลานั้น ซึ่งจากสิ่งที่เขาบอก นี่มันคือหน้าที่ที่ เอ็มเบอโม่ จะถูกวางไว้เล่นในตำแหน่งนี้ชัด ๆ
ข้อควรระวังของดีลที่ห้ามเจ๊ง
ถ้ามองแค่ตัวเลขและสถิติของ เอ็มเบอโม่ และเอามาผนวกกับสิ่งที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส และ มาเธอุส คุนญ่า ทำได้ มันคงคาดเดาได้ไม่ยากว่า ยูไนเต็ด จะมีเกมรุกที่ดีขึ้นแน่ ๆ ซึ่งมันก็มีโอกาสจะดีกว่าจริง ๆ เนื่องจากเกมบุกปีที่แล้วของยูไนเต็ดสามารถใช้คำว่าสะเปะสะปะได้เต็มปาก สถิติเกมรุกของพวกเขาไม่ต่างจากทีมท้ายตาราง ซึ่งอันดับในตารางก็ยืนยันเรื่องนี้ได้ดี
ทว่าแค่คำว่า "ดีกว่าคนเดิม" อาจจะง่ายเกินไปสำหรับ เอ็มเบอโม่ ... ดังนั้นบททดสอบที่สมกับค่าตัวระดับนี้ คงต้องพิสูจน์กันว่าเขาจะเปลี่ยนแปลง ยูไนเต็ด ได้มากแค่ไหนต่างหาก ซึ่งเรื่องนี้ก็มีจุดเสี่ยง และจุดที่ต้องระวังจาก เอ็มเบอโม่ เช่นกัน ไม่ใช่มีแค่ข้อดีให้กล่าวถึงอย่างเดียวเท่านั้น
การยิงเกินค่า xG ที่กล่าวไปในข้างต้นอาจจะสามารถบอกว่าเขายิงคมได้ แต่ทางกลับกัน ค่า xG ดังกล่าวก็สามารถบอกว่าเขาเป็นนักเตะที่กำลังอยู่ในช่วงท็อปฟอร์ม ทำอะไรก็ดีไปหมด ซึ่งส่วนที่ยากของนักเตะแบบนี้คือการรักษาความต่อเนื่องสม่ำเสมอ และน่าสนใจว่าเขาจะรักษาสถิติสวย ๆ แบบนี้ไว้ได้จนถึงซีซั่นหน้ามากน้อยแค่ไหน
อีกเรื่องก็คือ ด้วยความที่เขาเป็นดาวเด่นของ เบรนท์ฟอร์ด จึงทำให้เขาเป็นคนที่เพื่อนร่วมทีมมองหาตลอด และกลายเป็นนักเตะที่จะเล่นได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อได้บอลบ่อย ๆ
ซึ่งข้อนี้ตรงกับความเด่นของทั้ง บรูโน่ และ คุนญ่า ที่เป็นพวกต้องการบอลในการเล่นเกมรุกด้วยตัวเองเช่นกัน ดังนั้นจุดนี้ อโมริม ต้องเฉลี่ยบทบาทของทั้ง 3 คนออกมาให้ดี เซ็ตเกมรุกที่ถือว่าเป็นกลุ่มตัวท็อปของลีกในซีซั่นที่แล้วออกมาให้ลงตัวมากที่สุด ทำอย่างไรไม่ให้พวกเขากลบแสงกันเอง จนทีมไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรจะได้ ... ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือเรื่องของจุดโทษที่ เอ็มเบอโม่ ซัดไป 6 ลูกในฐานะมือยิงของ เบรนท์ฟอร์ด ซึ่งเมื่อเขาย้ายทีม มันก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะแย่งตำแหน่งมือยิงของปีศาจแดงจาก บรูโน่ ที่ทำหน้าที่นี้มาโดยตลอดได้
ท้ายที่สุด สิ่งสำคัญที่นักเตะที่ย้ายมาอยู่กับ ยูไนเต็ด ทุกคนต้องเจอ ก็คือเรื่องของการรับมือกับความคาดหวังและความกดดันจากแฟนบอล แม้ตัวของ เอ็มเบอโม่ จะทำผลงานได้ดีที่ เบรนท์ฟอร์ด แต่การเล่นให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นแตกต่างเป็นอย่างมาก ... สำหรับ เบรนท์ฟอร์ด แล้ว ไม่ได้มีความคาดหวังอะไรมากมายนัก และนั่นทำให้เขาจะถูกพูดถึงทุกครั้งเมื่อยิงประตูได้
กลับกันที่ ยูไนเต็ด เขาจะถูกคาดหวังให้โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมทันที ... และถ้าเกมไหนเขายิงไม่ได้ มีจังหวะพลาด หรือเล่นไม่ดี ผู้คนก็จะพูดถึงเรื่องนี้อย่างไม่ปราณีเช่นกัน
แต่สุดท้ายนี้ อย่างไรเสีย ยูไนเต็ด ก็อยู่ในช่วงความตกต่ำในแบบที่ยอมให้ต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้ว และเรื่องงบประมาณเสริมทัพที่เริ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎทางการเงิน ยิ่งบีบให้พวกเขาต้องซื้อนักเตะแบบ เอ็มเบอโม่
ยูไนเต็ด ขาดคุณภาพในแทบทุกพื้นที่ของสนามจนเกินกว่าจะซื้อนักเตะดาวรุ่งเข้ามาเพื่อรอการพัฒนาได้ ณ ตอนนี้พวกเขาต้องการของจริง มีประสบการณ์จริง และเล่นได้จริง ๆ เข้ามายกระดับคุณภาพเกมโดยทันที ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาต้องยอมจ่ายในราคาที่ เบรนท์ฟอร์ด อยากจะได้ในท้ายที่สุด
71 ล้านปอนด์ถือว่าไม่ใช่ราคาถูก แต่ถ้าเทียบกับนักเตะที่ผ่านเกมพรีเมียร์ลีกมาโชกโชน พิสูจน์ฝีมือตัวเองมาแล้วอย่าง เอ็มเบอโม่ มันก็ไม่ใช่ราคาที่แพงเกินไปจนรับไม่ได้ พวกเขาเสียเงินให้กับนักเตะที่ราคาแพงเกินจริงมาหลายหนในรอบหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นการกัดฟันจ่ายเพื่อนักเตะอย่าง เอ็มเบอโม่ หรือ คุนญ่า ก็เป็นการลงทุนที่น่าใช้คำว่า "ได้ลุ้น" มากกว่าหลายดีลที่ผ่านมา
แหล่งอ้างอิง
https://www.nytimes.com/athletic/6397630/2025/06/03/bryan-mbeumo-manchester-united-transfer-analysis/
https://www.transfermarkt.com/man-united-sign-brentford-winger-for-huge-fee-why-bryan-mbeumo-is-hot-property/view/news/445620
https://www.bbc.com/sport/football/articles/c5ylzl4p227o
https://www.premierleague.com/en/news/4323193/analysis-mbeumo-the-perfect-fit-for-amorims-new-plan