Feature

สัมผัสได้ถึงความ "เซ็ง" : ทัวร์โพสต์ซีซั่นทีมดัง ใครได้ - ใครเสีย ? | Main Stand

สีหน้าเซ็ง ๆ ผลการแข่งขันที่ไม่เป็นไปดั่งที่แฟนบอลนึก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องมาตรฐานเกมในสนาม ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมอุ่นเครื่องพบ อาเซียน ออลสตาร์ และทีมชาติฮ่องกง แสดงให้เห็นว่าการทัวร์โพสต์ซีซั่น หรือทัวร์อุ่นเครื่องหลังซีซั่นจบ คงไม่มีเรื่องอะไรที่สำคัญไปกว่าเรื่อง "เงิน"

 

เพียงแต่ว่ารายละเอียดเล็ก ๆ ของเรื่องนี้ต่างหากที่น่าสนใจ ทำไมช่วงหลัง ๆ หลายสโมสรมักเริ่มทัวร์หลังซีซั่นจบแบบที่ไม่ปล่อยให้นักเตะได้พัก แทนที่จะมีแค่อุ่นเครื่องพรีซีซั่นแบบเมื่อครั้งอดีต ? 

ติดตามเบื้องหลังทัวร์ที่หลายคนมองว่า "ไม่ได้อะไรเลยนอกจากเงิน" 

 

กำเนิดซูเปอร์แบรนด์ 

ทัวร์โพสต์ซีซั่นไม่ใช่ของใหม่ในวงการฟุตบอล เรื่องนี้เกิดขึ้นมานาน และเหตุผลของการที่ทีมดังในยุโรป หอบนักเตะขึ้นเครื่องบินข้ามโลกมาลงเตะเกมอุ่นเครื่องทันทีหลังจากการแข่งขันอันยาวนานในเกมลีกจบลงไม่กี่วัน ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเงินเป็นหลัก เพียงแต่ว่ารายละเอียดต่าง ๆ และสิ่งที่ทำให้เกิดการ ได้-เสีย มันมีมากยิ่งกว่านั้น 

เดิมทีแนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงราว ๆ 10 ปีก่อน ประมาณยุค 2010s ช่วงที่ธุรกิจฟุตบอลเฟื่องฟูสุดขีด ค่าตัวของนักเตะคนหนึ่งทะยานแตะหลัก 100 ล้านปอนด์ได้สบาย ๆ แม้นักเตะซูเปอร์สตาร์คนนั้นอาจจะไม่ใช่นักเตะเบอร์ 1 ของโลกก็ตาม เช่นเดียวกันกับค่าจ้าง จุดเริ่มต้นของ "เพดานค่าจ้างพัง" ก็เริ่มจากฟุตบอลเมื่อราว 10 ปีก่อนนี่แหละ เพราะจากตัวเลขที่คนเคยมองว่าเยอะในสมัยก่อนอย่าง 100,000-200,000 ปอนด์ ได้กระโดดไปไกล และทำให้นักเตะคนหนึ่งอาจจะมีค่าเหนื่อยที่รับจากสโมสร (ก่อนหักภาษี) สูงถึง 500,000 ปอนด์เป็นอย่างน้อย 

การที่แต่ละทีมจะจ่ายเงินขนาดนั้นได้ พวกเขาย่อมต้องมีรายรับมหาศาล การทัวร์แบบโพสต์ซีซั่นจึงเป็นอะไรที่ตอบโจทย์อย่างมาก และทำเงินได้แบบที่สโมสรต้องยอมให้นักเตะที่กรำศึกหนักมาตลอดซีซั่นไม่พอใจ เพราะเป็นการวางโปรแกรมแบบเบียดวันพักผ่อนอันแสนน้อยนิดของนักเตะอาชีพ 

ภาพจำที่ชัดเจนสำหรับแฟนฟุตบอลชาวไทยก็คือเชลซี ที่หลังจากพวกเขาพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2014-15 พวกเขาก็เดินทางมาทัวร์ที่ประเทศไทย และต่อด้วยออสเตรเลียในทันที เหตุผลก็เพราะว่ามีรายได้ตอบแทนที่ยอดเยี่ยม และยังเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่สโมสรได้ทำกับสปอนเซอร์และพาร์ทเนอร์ของทีมด้วย

แต่ถ้าจะถามว่าทีมไหนที่เป็นตัวตึงในการเริ่มเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด นี่แหละ พวกเขาคือทีมที่มูลค่าทางตลาดสูงมาแต่ไหนแต่ไร และเก่งเรื่องการขยายฐานแฟนบอลเป็นสโมสรแรก ๆ ของโลกใบนี้ด้วยซ้ำ และเรื่องเกิดขึ้นหลังจากจบฤดูกาล 1998-99 ที่พวกเขาคว้า 3 แชมป์กระหึ่มโลก พรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

ในฐานะ "ซูเปอร์แบรนด์ระดับโลก" ยูไนเต็ด เลือกที่จะไม่ป้องกันแชมป์เอฟเอคัพ ในฤดูกาล 1999-2000 เพราะพวกเขาต้องการที่จะไปแข่งขันในรายการ FIFA Club World Cup หรือ ฟุตบอลสโมสรชิงแชมป์โลก 

แม้ว่าถ้วยนี้จะไม่ได้เตะกลางซีซั่น แถมยังส่งผลถึงการเตรียมทีมในฤดูกาลอันยาวนาน แต่ ยูไนเต็ด ก็เลือกทิ้งฟุตบอลถ้วยในประเทศที่โปรแกรมชนกัน เพื่อไปแสวงหาสิ่งที่จะทำเงินพวกเขาในระยะยาวอีกเป็นสิบ ๆ ปี 

ฟุตบอลสโมสรโลกที่แข่งกันในเดือนมกราคม 2000 ยูไนเต็ด อาจจะไม่ประสบความสำเร็จในแง่ของกีฬามากนัก เพราะทีมปีศาจแดงตกรอบแบ่งกลุ่ม แต่มันก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิด "ใช้แมตช์เพื่อขยายฐานแฟนบอลทั่วโลก และเพิ่มรายได้"

การไปบราซิลครั้งนั้นได้อะไรกลับมาบ้าง ? คำตอบก็คือ พวกเขาไปที่นั่นเพื่อสร้างแบรนด์ของสโมสรในตลาดโลก, เพิ่มยอดขายสินค้าสโมสร, ขยายฐานแฟนบอลในประเทศเป้าหมาย และยังได้เจรจาธุรกิจหรือหาสปอนเซอร์กับแบรนด์ท้องถิ่นอีกด้วย นี่คือสิ่งที่ ยูไนเต็ด ได้ นอกเหนือจากเงินรางวัลในรายการดังกล่าวที่จะอยู่ที่ราว ๆ 2.5-3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่ธรรมดา สำหรับฟุตบอลเมื่อ 25 ปีก่อน 

แมนฯ ยูไนเต็ด นี่แหละที่เป็นคนเริ่มเรื่องราวเหล่านี้ จากนั้นไม่นานนักหลายทีมในยุโรป ก็เริ่มจะใช้วิธีการหาทำธุรกิจกับโพสต์ซีซั่นทัวร์ หรือบางครั้งก็ทัวร์ระหว่างซีซั่นเลยมากขึ้น โดยเฉพาะ 2 สโมสรจากสเปน อย่าง บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด จากชื่อที่กล่าวมา มันแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกทีมที่จะทำแบบนี้ได้ ต้องเป็นทีมระดับ "ซูเปอร์แบรนด์" เท่านั้น

 

ธุรกิจเบื้องหลังทัวร์นาเมนต์

ในวงการฟุตบอล ความสำเร็จและเกียรติยศในสนามเป็นเรื่องสำคัญอันดับ 1 เสมอมา ทว่าในช่วงเวลา 10-20 ปีมานี้ ไม่มีใครไม่กล้ายอมรับว่า เรื่องธุรกิจและการตลาดกลายเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในระดับเกือบ ๆ จะเท่ากับเรื่องผลงานในสนามเลยด้วยซ้ำ และนั่นทำให้เกิดยุคเฟื่องฟูของโพสต์ซีซั่นทัวร์ ที่มักจะใช้เวลาราว 1-2 สัปดาห์หลังฤดูกาลปกติจบลง

มีการเปิดเผยจาก The Athletic ว่าทีมใหญ่ ๆ ที่มาโพสต์ซีซั่นทัวร์นั้นจะได้เงินก้อนโตจากค่าจ้างที่ทางเจ้าภาพได้จัดไว้ให้ โดยมาตรฐาน ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 5-10 ล้านยูโรต่อ 1 ทัวร์นาเมนต์ หรือราว ๆ 2.5-5 ล้านยูโรต่อ 1 เกม 

ข้อมูลดังกล่าวค่อนข้างสอดคล้องกับข้อมูลที่เปิดเผยว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ได้รับค่าจ้างถึง 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทัวร์เอเชียหลังจบฤดูกาล 2024-25 กับ 2 แมตช์ พบ อาเซียน ออลสตาร์ และทีมชาติฮ่องกง

เตะเกมเดียวฟาดเงินเป็นล้านแบบนี้ แทบไม่มีเหตุผลเลยที่พวกเขาจะไม่รับข้อเสนอมาเล่น แม้นักเตะของพวกเขาจะออกอาการเซ็ง ๆ แบบภาษากายฟ้อง แต่สโมสรก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก และพวกเขาจำเป็นจะต้องเล่นเกมเหล่านี้แบบเลี่ยงไม่ได้ เพราะเรื่องของเงิน ๆ ทอง ๆ เป็นอันดับแรก 

คุณต้องไม่ลืมว่า รายได้จากทัวร์นี้มีความสำคัญต่อสโมสร เนื่องจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบปัญหาทางการเงิน โดยมีรายงานว่าขาดทุนมากกว่า 300 ล้านปอนด์ ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ดังนั้นต่อให้นักเตะของพวกเขาจะทำหน้าซังกะตายแค่ไหน แต่ด้วยผลงานที่ย่ำแย่สุด ๆ ในซีซั่นนี้ ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด จึงเป็นทีมดังทีมแรกที่ขับเคลื่อนด้านธุรกิจ รีบหาเงินทันที ตั้งแต่ฤดูกาล 2024-25 จบลง แม้ว่าข้อเสียของการเล่นทัวร์นาเม้นต์ลักษณะนี้จะมีไม่น้อยก็ตาม

 

เงิน กับ คน 

นอกจากเรื่องเงิน ธุรกิจ และการเซอร์วิสแฟนบอลในภูมิภาคต่าง ๆ แล้ว ข้อดีส่วนอื่น ๆ อาจจะพอมีอยู่บ้าง แต่ข้อเสียของทัวร์โพสต์ซีซั่นก็มีไม่น้อย อย่างแรกเลย นักฟุตบอลก็คือคนหนึ่ง ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาคิดว่างานของตัวเองจบลงพร้อมกับซีซั่น แต่พวกเขายังต้องยอมเสียวันหยุดอันน้อยนิด มาเตะฟุตบอลในเกมที่แทบจะไม่ได้มีความหมายอะไรกับพวกเขาเลยในแง่ของฟุตบอล

ยกตัวอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด นี่แหละที่ง่ายที่สุด เพราะหลังจากฤดูกาลที่ยากลำบาก จบอันดับที่ 15 ในพรีเมียร์ลีก และพ่ายแพ้ในรอบชิงชนะเลิศยูโรป้าลีก นักเตะต้องเดินทางไกลและแข่งขันในสภาพอากาศร้อนชื้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความฟิตและความพร้อมของทีมสำหรับฤดูกาลถัดไป แทนที่ปัญหาเรื่องความฟิต ความเหนื่อยล้า และสภาพจิตใจของพวกเขาจะถูกปลดเปลื้อง พวกเขายังต้องเล่นต่อไป และรับเสียงวิจารณ์อย่างที่เราได้เห็น ซึ่งมันเสี่ยงที่จะทำให้ปัญหาดังกล่าวส่งต่อไปถึงซีซั่นหน้า

และสิ่งที่ยืนยันว่าความ "เซ็ง" เกิดขึ้นจริง ก็ดูได้จากรูปเกมของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่แทบไม่มีความกระตือรือร้น ภาษากายของนักเตะแต่ละคนที่แสดงออกทางสีหน้า และแสดงปฏิกิริยาที่ทำให้แฟนบอลที่รอจะเจอพวกเขาต้องผิดหวัง เรียกได้ว่าการมาแบบใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้ แทนที่จะทำให้แฟน ๆ ได้รู้สึกเติมเต็มความฝัน ได้เห็นนักเตะที่พวกเขารักและเชียร์ กลับกลายเป็นความทรงจำที่ไม่ดีนัก ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ในแง่ธุรกิจ  เพราะการจะหาเงินจากลักษณะนี้ได้ยาว ๆ ต้องวินกันทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ว่าจะทางสโมสร หรือผู้จัดจ้างและแฟนบอลด้วย  

โดยสรุปก็คือ ถ้าเลือกได้ สโมสรคงไม่เอาทัวร์โพสต์ซีซั่นมาใช้เป็นแผนธุรกิจในการหาเงินบ่อย ๆ แน่นอน เพราะนอกจากเรื่องเงินแล้ว แทบไม่ได้อะไร

ครั้งหนึ่งเมื่อราว 10 ปีก่อน อาร์แซน เวนเกอร์ เคยออกมาพูดว่าเขารู้สึกยินดีมากที่ อาร์เซน่อล ไม่ต้องเตะทัวร์โพสต์ซีซั่น เพราะฤดูกาลอันยาวนานรออยู่ และนักเตะของพวกเขาก็ต้องการพักผ่อนร่างกายและจิตใจ เพื่อสู้ศึกที่อาจจะทำเงินได้มากกว่ามาก เช่นการติดท็อป 4 ที่จะทำให้ทีมได้เงิน 100 ล้านปอนด์เป็นอย่างน้อย โดยไม่ต้องมาลุ้นเงิน 5-10 ล้านปอนด์ ที่อาจจะนำมาซึ่งความเสี่ยงในอนาคตสารพัด 

"ผมหวังว่าเราจะได้รับประโยชน์จากการทัวร์ให้สั้นลง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผมกังวลเสมอว่าเราจะผ่านเข้ารอบแชมเปี้ยนส์ลีกได้หรือไม่" 

"ดังนั้น ก่อนอื่นเราต้องแน่ใจก่อนว่าเราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น (การันตีท็อป 4 ให้ได้) แล้วเราค่อยดูกัน ว่าการทัวร์ในระยะสั้น ๆ แค่ 1 สัปดาห์จะให้อะไรกับเราบ้าง" เวนเกอร์ กล่าวในปี 2015 สมัยที่เขายังคุมทีม อาร์เซน่อล 

ถ้ามีทางเลือกที่ดีกว่าการทัวร์โพสต์ซีซั่น ก็ไม่ได้จำเป็นถึงขนาดเป็นสิ่งที่ "ต้องทำ" แต่สำหรับทีมที่จำเป็นต้องใช้เงิน นั่นคือสิ่งที่พวกเขาต้องยอมแลก เหมือนกับที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นในเวลานี้ 

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ