Feature

รำลึก Bray Wyatt : นักมวยปล้ำผู้ก้าวผ่านจุดต่ำของชีวิตด้วยบท "เจ้าลัทธิ-ปีศาจ" | Main Stand

24 สิงหาคม 2023 ผู้คนในวงการมวยปล้ำทั่วโลก ต่างแสดงความอาลัยให้กับการจากไปของ วินด์แฮม โรทันดา หรือที่แฟนมวยปล้ำรู้จักกันดีในนาม "เบรย์ ไวแอตต์" เจ้าของบทบาทนักมวยปล้ำผู้มีฝีไม้ลายมือและบุคลิกบนสังเวียนที่โดดเด่นไม่มีใครเหมือน ซึ่งเสียชีวิตจากอาการหัวใจวายเฉียบพลัน

 


นับตั้งแต่ก้าวขึ้นสู่โชว์หลักของ WWE เมื่อปี 2013 เบรย์ ไวแอตต์ กลายเป็นที่จดจำของคนดูอย่างยิ่งจากกิมมิคผู้นำลัทธิชวนขนลุก คาดเดาพฤติกรรมไม่ได้ ก่อนยกระดับไปสู่จุดสูงสุดคือกลายร่างเป็นจอมปีศาจ The Fiend ผู้มาพร้อมหน้ากากปีศาจสุดสยองที่สร้างความหวาดผวาแก่คู่แข่งมานับไม่ถ้วน ซึ่งด้วยทักษะที่ครบเครื่องเช่นนี้ ทำให้เขาถูกมองว่าเป็นนักมวยปล้ำมากพรสวรรค์ และมีอนาคตไกลคนหนึ่ง

และนี่คือเรื่องราวของหนึ่งในนักมวยปล้ำสายหลอนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเหนือใครบนสังเวียน WWE ที่ Main Stand นำมาฝากเป็นการระลึกถึงการจากไปของเขา

 

เกิดมาเพื่อเป็นนักมวยปล้ำ

ช่วงเวลาหนึ่งของปี 2008 นักเรียนหนุ่มร่างท้วมคนหนึ่งของมหาวิทยาลัยทรอย ในอลาบาม่า สหรัฐอเมริกา ต้องตัดสินใจขีดเส้นทางอนาคตของตัวเองว่าจะไปทางไหน ระหว่างการเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ที่มีฝีไม้ลายมือดีพอจะพัฒนาไปสู่การเล่นลีกระดับอาชีพในอนาคต หรือ กลับไปพัฒนาทักษะมวยปล้ำของตัวเองเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นนักมวยปล้ำอาชีพ จากดีกรีที่เคยเป็นแชมป์สมัครเล่นมาก่อนเมื่อปี 2005

แล้วในที่สุด วินด์แฮม โรทันดา นักศึกษาหนุ่มจากเมืองบรูคสวิลล์ รัฐฟลอริด้า ก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางการเป็นนักมวยปล้ำแทน เหตุเพราะเขาฝึกมวยปล้ำมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ และถูกเลี้ยงดูโดยคุณปู่กับคุณพ่อที่เป็นนักมวยปล้ำระดับตำนานคอยเสี้ยมสอนวิชาให้เขา ปู่ของเขาคือ แบล็คแจ็ค มัลลิแกน ตำนานมวยปล้ำผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค 70 ส่วนพ่อของเขา ไมค์ โรทันดา ก็เป็นอดีตนักมวยปล้ำที่มีชื่อเสียงในยุค 80 และมีชื่ออยู่ในหอเกียรติยศมวยปล้ำของ WWE ด้วย

การเป็นลูกชายของตระกูลนักมวยปล้ำ โรทันดา ทำให้ วินด์แฮม ซึมซับวิชาการต่อสู้จากคุณปู่และพ่อเข้าสู่สายเลือดโดยธรรมชาติ และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากใดๆ สำหรับ วินด์แฮม ที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองจากผู้เล่นฟุตบอล มาเป็นจอมทุ่มบนสังเวียนสี่เหลี่ยม

"ผมฝึกมวยปล้ำตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เรียนรู้ระเบียบวินัยจากมัน ไปจนถึงวิธีการทรงตัว การฝึกใช้อุปกรณ์ต่างๆ สิ่งเหล่านี้ช่วยผมได้มาก" วินด์แฮม ผู้ก้าวขึ้นมาเป็นนักมวยปล้ำรุ่นที่ 3 ของตระกูลโรทันดา กล่าว ซึ่งเส้นทางของเขาก็ถือว่าไปได้สวยเมื่อได้รับการพิจารณาเข้ามาเป็นนักมวยปล้ำฝึกหัดที่ FCW ค่ายพัฒนาทักษะนักมวยปล้ำ ที่อยู่ภายใต้ชายคาของ WWE สมาคมมวยปล้ำระดับโลกในเวลาต่อมา

 

เปิดตัวด้วยความล้มเหลว

แม้พิสูจน์ตัวเองต่อหน้าทีมบริหารของ FCW และ WWE ได้ในฐานะนักมวยปล้ำดาวจรัสแสง มีฝีไม้ลายมือและสกิลการพูดออกไมโครโฟนที่น่าสนใจ กระนั้น วินด์แฮม โรทันดา ซึ่งเปลี่ยนมาใช้ชื่อในวงการว่า "ฮัสกี้ แฮร์ริส" และได้รับการผลักดันเข้าสู่ค่ายใหญ่ใน WWE RAW เมื่อปี 2010 ในฐานะสมาชิกกลุ่ม The Nexus แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ไม่สวยงามนักเพราะเป็นเพียงนักมวยปล้ำระดับตัวประกอบ ไม่ได้เปล่งศักยภาพเฉิดฉายออกมาเท่าใดนักช่วงเวลาที่อยู่กับ The Nexus ฮัสกี้ แฮร์ริส ที่มีสมญานาม "ไอ้รถถังเครื่องยนต์เฟอร์รารี่" เพราะแม้ร่างกายอวบอ้วน แต่ก็เคลื่อนไหวปราดเปรียวว่องไว เขามีโอกาสเปิดศึกกับนักมวยปล้ำเบอร์ใหญ่ทั้ง จอห์น ซีน่า, แรนดี้ ออร์ตัน ทว่าก็ไม่สามารถฉายแสงออกมาได้ คนดูมองเขาเป็นแค่เบี้ยของทีม The Nexus อีกคนเท่านั้น แม้ได้รับโอกาสให้ชิงแชมป์แท็กทีมแต่ก็ล้มเหลว ซึ่งในที่สุดเขาก็ถูกตัดบทด้วยการให้ แรนดี้ ออร์ตัน วิ่งมาเตะจุดโทษ (Punt Kick) ใส่ศีรษะจนสลบไป

ปี 2011 หลังถูกตัดออกจากโชว์ของ RAW วินด์แฮม กลับมาอยู่กับ FCW ตามเดิม (ซึ่งกลายเป็นค่าย NXT เวลาต่อมา) เขาใช้ช่วงเวลาแห่งการถอยหลังนี้กลับมาทบทวนตัวเอง พลางคิดหาบทบาทที่เหมาะสมไปเรื่อยๆ เช่นไอ้หนุ่มสวมหน้ากากฮ็อคกี้ แอกเซิล มัลลิแกน หรือกลับมาใช้ชื่อ ฮัสกี้ แฮร์ริส จับคู่ โบ ดัลลัส น้องชายร่วมสายเลือด (ชื่อ-นามสกุลจริงของ โบ ดัลลัส คือ เทย์เลอร์ โรทันดา) ปล้ำแท็กทีมจนคว้าแชมป์แท็กทีมของ FCW มาประดับความสามารถ

แม้มองด้วยสายตา การถูกลดระดับจากค่ายใหญ่มาอยู่ค่ายพัฒนาทักษะอย่าง NXT อาจถือว่าล้มเหลว ทว่านั่นกลับเปิดโอกาสให้ วินด์แฮม ได้พบกับเพื่อนร่วมสังเวียนสองคนอย่าง ลุค ฮาร์เปอร์ และ อีริค โรแวน และนำมาสู่บทบาทใหม่ที่พวกเขาจับมือกันเพื่อเสิร์ฟ "ความน่ากลัวรูปแบบใหม่" ไปสู่คู่ต่อสู้และคนดูทั่วโลก

 

เจ้าลัทธิ และครอบครัวสุดหลอน

ปี 2012 ที่ NXT วินด์แฮม เปลี่ยนแปลงตัวเองอีกครั้ง เขาปรากฏตัวบนสังเวียนด้วยเสื้อฮาวายสีฉูดฉาด หนวดเคราเฟิ้ม สวมหมวกปิดบังใบหน้า และใช้ชื่อใหม่ว่า "เบรย์ ไวแอตต์" หัวหน้าครอบครัวสุดหลอน "Wyatt Family" วางตัวเองในบทบาทหัวหน้าลัทธิ พร้อมด้วย อีริค โรแวน กับ ลุค ฮาร์เปอร์ ที่ปรากฏกายเคียงข้างเขาในฐานะศิษยานุศิษย์ เดินหน้าบดขยี้นักมวยปล้ำทุกรายที่ขวางหน้า

แม้ไม่มีการเปิดเผยที่มาที่ไปของกิมมิคนี้ แต่สิ่งที่ยืนยันได้คือ เบรย์ ไวแอตต์ เป็นคนคิดค้นบทบาท "หัวหน้าลัทธิ" และครอบครัว Wyatt Family ด้วยตัวเอง เขานำกิมมิคนี้ไปเสนอกับทางผู้บริหาร NXT และได้รับไฟเขียวให้ลุยเต็มที่ ซึ่งในที่สุด เดือนพฤศจิกายน ปี 2012 ก็เป็นช่วงฤกษ์งามยามดีที่ Wyatt Family ทั้ง เบรย์ ไวแอตต์, ลุค ฮาร์เปอร์ และ อีริค โรแวน จะออกมาทักทายคนดูอย่างเป็นทางการ พร้อม Theme เปิดตัวสุดโดดเด่นที่ดูแล้วไม่มีวันลืม

"เราอยู่ที่นี่แล้ว" เบรย์ ไวแอตต์ พูดต่อหน้ากล้องด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกหลังจุดไฟในตะเกียงให้สว่างท่ามกลางความมืด ขนาบข้างด้วยลูกศิษย์ทั้งสอง อีริค โรแวน กับ ลุค ฮาร์เปอร์ ที่สวมหน้ากากแพะสุดหลอน ก่อนเป่าลมดับไฟในตะเกียง เดินออกมาที่เวทีพร้อมกับเพลง Live in Fear ชวนขนลุกของ มาร์ค โครเซอร์ แล้วจัดการมอบ "ความกลัวรูปแบบใหม่" เล่นงานนักมวยปล้ำคู่แข่งคนแล้วคนเล่า สร้างความน่าเกรงขามแก่ตัวเองและครอบครัว

กิมมิค "เจ้าลัทธิ" ของ เบรย์ ไวแอตต์ ได้รับเสียงตอบรับจากคนดูใน NXT อย่างมาก คนดูต่างตะโกนเชียร์ Wyatt Family กันลั่นสนามเล็กๆ ของ NXT ที่จุได้แค่ไม่กี่พันคน จนในที่สุด เสียงตอบรับนี้ก็ดังไปถึงหูผู้บริหารของ WWE และกลายเป็นว่าทั้ง เบรย์ ไวแอตต์ กับครอบครัว Wyatt Family ก็ได้แพ็คกระเป๋ากลับขึ้นไปอยู่ในรายการ RAW อีกครั้ง เพื่อเผยแพร่ความกลัวและคำสอนของลัทธิ Wyatt Family ไปสู่วงกว้างในเดือนกรกฏาคม ปี 2013

 

เผยแพร่คำสอนบนสังเวียนใหญ่

"ไม่มีใครบอกผมได้ว่าควรจะพูดหรือทำตัวอย่างไร เพราะไม่มีใครรู้จักผมดีเท่ากับตัวผมเองหรอก ผมเป็นคนแบบนั้น ผมจะเป็นตัวของตัวเอง ผมไม่ต้องการให้ใครมาบอกว่าต้องทำอะไรแบบไหน มีแค่ผมเท่านั้นที่รู้ว่า เบรย์ ควรเป็นคนแบบใด" เบรย์ ไวแอตต์ ให้สัมภาษณ์สื่อเกี่ยวกับบทบาทผู้นำลัทธิ Wyatt Family อันโดดเด่น

และก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับบนเวที NXT เมื่อคนดูในโชว์รายการของ RAW ให้การต้อนรับ เบรย์ ไวแอตต์ และชาวคณะ Wyatt Family กันอย่างล้นหลามไม่แพ้กัน พวกเขาเปิดตัวด้วยการออกมาเล่นงาน เคน อสูรกายมวยปล้ำรุ่นเก๋าจนหมดสภาพ แล้วค่อยๆ จัดการนักมวยปล้ำทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ ด้วยท่าจูบมรณะ Sister Abigail เก็บแต้มพลางสั่งสมบารมีให้ครอบครัว Wyatt Family น่าเกรงขามขึ้นทุกสัปดาห์

ปี 2014 ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ Wyatt Family เมื่อพวกเขาได้รับการยกระดับขึ้นไปเปิดศึกกับนักมวยปล้ำเบอร์ใหญ่มากขึ้นเช่นกลุ่ม The Shield ของสามสหาย โรมัน เรนส์, เซธ โรลลินส์ และ ดีน อัมโบรส ไปจนถึง คริส เจอริโก้ และ จอห์น ซีน่า โดยรายหลังนี้โดนเล่นงานหนักเป็นพิเศษเพราะมักถูกกลุ่ม Wyatt Family ลอบทำร้าย ใช้กลวิธีต่างๆ คอยหลอกหลอนและจับใส่ท่า Sister Abigail จนแทบเสียสติอยู่บ่อยครั้ง จนกลายเป็นโมเมนต์ที่คนดูจดจำได้เป็นอย่างดี

อีกหนึ่งช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของ เบรย์ ไวแอตต์ ก็คือการได้โอกาสเผชิญหน้ากับ "ดิ อันเดอร์เทเกอร์" ตำนานนักมวยปล้ำรุ่นพี่ เขาออกมาท้าเจอกับสัปเหร่อจอมมารในศึก WrestleMania ครั้งที่ 31 ในวันที่ 29 มีนาคม ปี 2015 แม้จะมีเสียงวิจารณ์พอสมควรว่าเป็นการปูเนื้อเรื่องแบบไม่มีที่มาที่ไป หรือมีสตอรี่เกี่ยวพันกันมาก่อน แต่ในที่สุดแฟนมวยปล้ำก็ได้เห็น เบรย์ ไวแอตต์ กับ อันเดอร์เทเกอร์ สู้กันจนได้ที่สนาม ลีวาย สเตเดียม วันดังกล่าว

แมตช์นั้นจบลงด้วยชัยชนะของ "เดอะ ฟีนอม" ที่จับ เบรย์ ไวแอตต์ ตอกเสาเข็ม Tombstone กดนับสามไป ซึ่งถือเป็นการฟื้นคืนชีพของเขาอีกครั้งหลังจากพ่ายแพ้เสียสถิติไร้พ่ายให้ บร็อค เลสเนอร์ ใน WrestleMania ปีก่อน ขณะที่แฟนคลับ อันเดอร์เทเกอร์ ก็ชื่นชอบฝีมือของ เบรย์ ไวแอตต์ ที่สู้ได้อย่างน่าประทับใจจนมีการพูดถึงในโลกอินเตอร์เน็ตว่าหาก อันเดอร์เทเกอร์ วางมือไปแล้ว เบรย์ ไวแอตต์ นี่แหละคือคนที่จะสืบทอดบทบาท "นักมวยปล้ำสายจอมมาร" ของ อันเดอร์เทเกอร์ ต่อไปในอนาคต

WWE ผลักดัน เบรย์ ไวแอตต์ อย่างต่อเนื่อง เขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยการคว้าแชมป์โลก WWE จากชัยชนะเหนือ เอเจ สไตลส์ ในแมตช์กรงเหล็กรวม Elimination Chamber ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2017 โดยถือเป็นแชมป์เดี่ยวเส้นแรกในชีวิตของเขา แต่ก็ถือไว้ได้ไม่นานเพราะเมื่อถึงศึก WrestleMania วันที่ 2 เมษายน ปี 2017 ก็มาเสียแชมป์ให้ แรนดี้ ออร์ตัน ที่เปิดโหมดเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด จับใส่ RKO กดนับสามคว้าแชมป์ไปครอง

หลังเสียแชมป์ ชีวิตนักมวยปล้ำของ เบรย์ ไวแอตต์ ถอยหลังลงไปเรื่อยๆ เมื่อเสียงตอบรับจากคนดูในบทบาทของเขาเริ่มลดลง จนในที่สุดก็ต้องเฟดตัวหายไปจากหน้าจอเพราะ WWE ไม่สามารถหาเรื่องราวหรือบทบาทที่เหมาะสมให้กับ เบรย์ ไวแอตต์ ได้เล่นต่อในปี 2018

 

คืนชีพด้วยบท "ปีศาจจากนรก"

ภายหลังถูกถอดออกจากจอทีวีเพื่อไปเค้นสมองคิดไอเดียใหม่ ๆ ในที่สุดปี 2019 เบรย์ ไวแอตต์ กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งกับบทบาทใหม่นั่นคือคนสองบุคลิก ร่างหนึ่งคือชายร่างอวบที่มีหัวใจความเป็นเด็กอยู่ข้างใน เป็นเจ้าของบ้าน Firefly Fun House บ้านหิ่งห้อยที่มีเหล่าตุ๊กตาหน้าตาชวนขนลุกเป็นเพื่อน ส่วนอีกร่างหนึ่งคือ The Fiend ปีศาจจากนรก ผู้มาพร้อมกับหน้ากากปีศาจสุดสะพรึง เสียงร้องสุดโหยหวน และวลีเด็ด "LET ME IN" สร้างความหวาดกลัวให้แก่คู่ต่อสู้และคนดูชนิดที่ลูกเด็กเล็กแดงมากมายยังเบือนหน้าหนี

บรอน สโตรแมน นักมวยปล้ำร่างยักษ์ อดีตเพื่อนร่วมทีม Wyatt Family และเพื่อนของ เบรย์ ไวแอตต์ เล่าว่าช่วงเวลาที่ เบรย์ ไม่มีบทออกทีวี เขาคิดค้นบทบาท The Fiend ขึ้นมาเพื่อกลบเรื่องราวความล้มเหลวต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของ เบรย์ ไวแอตต์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในชีวิตจริงหรือความพ่ายแพ้บนสังเวียนที่ผ่านมา เปรียบเสมือนเกราะกำบังความล้มเหลว และแปรเปลี่ยนเป็น "ความกลัว" เพื่อตอบโต้ไปยังเหล่าคู่ต่อสู้ที่เคยทำให้เขาเจ็บปวดในอดีต

บทบาท The Fiend ของ เบรย์ ไวแอตต์ ได้รับเสียงตอบรับจากคนดูล้นหลามไม่แพ้ Wyatt Family กิมมิคนี้สร้างความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากบรรดานักมวยปล้ำคนอื่น ทุกครั้งที่เขาปรากฏกายทำเอาคนดูที่อินกับมวยปล้ำสไตล์ WWE รู้สึกขนหัวลุก ชนิดที่ว่าตัวเขาเองต้องให้สัมภาษณ์สื่อเพื่อปลอบเด็กๆ ที่รู้สึกกลัวเจ้าปีศาจ The Fiend กันเลยทีเดียว

"ผมรับรู้ถึงกระแสจากแฟนๆ ที่พูดถึง The Fiend แฟนมวยปล้ำหลายคนชอบมัน เพราะมันแปลกและน่าตื่นเต้นที่ได้เห็น แต่ก็มีแฟนๆ อีกหลายคนรู้สึกหวาดกลัว The Fiend พวกเขาเห็นและรู้สึกขนลุกถึงขนาดเก็บไปฝันร้ายตอนนอน ซึ่งเจตนาผมคือไม่อยากให้ผู้คนรู้สึกวิตกกังวลกับมันเลย" เบรย์ ไวแอตต์ พูดถึงบทบาทจอมปีศาจที่ได้รับกระแสตอบรับดีสุดๆ จนถูกสื่อมวยปล้ำอย่าง Wrestling Observer ยกให้เป็นบทบาทที่น่าสนใจที่สุดของเวลานั้นปฏิเสธไม่ได้ว่า The Fiend ช่วยต่อยอดชีวิตการเป็นนักมวยปล้ำอาชีพของ เบรย์ ไวแอตต์ ทอดยาวออกไปอีกจนได้เข็มขัดแชมป์ Universal มาครอง 2 สมัย จากชัยชนะเหนือ เซธ โรลลินส์ ใน Crown Jewell ปี 2019 และอีกสมัยด้วยการปราบเพื่อนเก่า บรอน สโตรแมน ในศึก SummerSlam ปี 2020 ขณะที่บรรดาสินค้าที่ระลึกเกี่ยวกับ The Fiend ทั้งเสื้อยืด หน้ากาก เครื่องประดับ ยันเข็มขัดแชมป์หน้า The Fiend ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ติดท็อป 3 ของช็อป WWE อยู่หลายปี

กระนั้น บทบาทของ The Fiend ก็เป็นดาบสองคม แง่หนึ่งมันช่วยขับเคลื่อนให้ เบรย์ ไวแอตต์ ได้รับความนิยมในหมู่แฟนๆ แต่ด้วยกิมมิคที่แข็งแรง แฟนตาซีและเหนือธรรมชาติเกินไป มันจึงกลบสกิลการปล้ำของ เบรย์ ไวแอตต์ ไปเสียหมด ขณะที่คาแร็กเตอร์แบบปีศาจจากนรก ฆ่ายังไงก็ไม่ตาย โดนท่าไม้ตายกี่รอบก็ไม่แพ้ ทำให้นักมวยปล้ำหลายคนที่สู้กับเขาแล้วแพ้ในแมตช์นั้นเจอทางตัน เสียเครดิต ความนิยมตกต่ำ หาทางไปต่อใน WWE ไม่ได้ ราวกับถูกปีศาจกดฝังจมดิน

หนึ่งในคนที่ได้รับผลกระทบคือ เซธ โรลลินส์ ที่ได้เจอกับ เบรย์ ไวแอตต์ หรือ The Fiend ในกรงเหล็กของศึกชิงแชมป์โลก Hell in a Cell เมื่อปี 2019 แมตช์นั้นกลายเป็นตำนานในด้านลบทั้งในเรื่องการเปิดไฟสีแดงตลอดทั้งแมตช์จนคนดูรู้สึกอึดอัด ชมลำบาก หรือตอนจบสุดห่วยที่ The Fiend ถูก เซธ โรลลินส์ เอาค้อนทุบบนเวทีจนกรรมการสั่งยุติการปล้ำ จบแบบชนะฟาล์ว ไม่เสียเข็มขัด ก่อนที่ เซธ จะโดน The Fiend จับกวาดคอ Mandible Claw ปิดท้ายไปพร้อมกับเสียงโห่ดังสนั่นจากคนดูในสนามที่รู้สึกเสียดายเวลากับแมตช์คู่เอกสุดห่วย จนได้รับการยกให้เป็นแมตช์ที่แย่ที่สุดของปี 2019 จาก Wrestling Observer แบบเอกฉันท์

"มันยากนะที่จะหาวิธีเล่าเรื่องที่ดีเมื่อต้องเจอกับตัวละครแบบนั้น ผมไม่เก่งเรื่องนี้เลย ผมไม่สามารถเอาเรื่องแบบนั้นไปผสมกับเรื่องจริงได้ดีพอที่จะทำให้ทุกคนหลงใหลไปกับมัน สุดท้ายแล้วถ้ามันจบลงที่ผมโดนอัดในลูกกรง แล้วโดนล้วงคอบนเวทีแพ้ไปเลยก็น่าจะดีกว่านี้" เซธ โรลลินส์ เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจบแมตช์อัปยศนั้น ที่แม้จะผ่านพ้นวิกฤตินั้นมาได้แต่ก็ทุลักทุเลพอควร

เดฟ เมลเซอร์ นักข่าวสายมวยปล้ำชื่อดัง วิจารณ์บทบาทของ The Fiend ว่าแม้จะเป็นกิมมิคที่ยอดเยี่ยม แต่ด้วยบทบาทที่มันเด่นกว่าตัวนักมวยปล้ำ ก็ไม่ได้ทำให้ เบรย์ ไวแอตต์ มีแมตช์ที่น่าจดจำเลยสักครั้ง แถมการที่ WWE ต้องเขียนบทให้ The Fiend เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยพลังเหนือธรรมชาติบ่อยๆ เพื่อรักษากิมมิคอันน่ากลัวนี้ไว้ กลับสร้างความเสียหายให้กับตัวของ The Fiend ไปด้วย เพราะคนดูมวยปล้ำสายจริงจังหลายคนก็รับไม่ได้กับสิ่งที่เห็น แทนที่จะให้ The Fiend ชนะด้วยฝีมือมากกว่า

 

ส่วนเกินของ WWE

ผลพวงที่เกิดขึ้นจากศึก Hell in a Cell ในปี 2019 ทำให้บทบาทของ The Fiend ค่อยๆ ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ถูกนักมวยปล้ำแก่ชราอย่าง โกลด์เบิร์ก ยัดเยียดความปราชัยจนเสียแชมป์ Universal ในศึก Super Showdown ที่ซาอุดีอาระเบีย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2020 ทำให้สถิติไร้พ่ายของจอมปีศาจ The Fiend จบลงที่ 118 วัน แม้จะกลับมาอีกครั้งเพื่อเปิดศึกกับ จอห์น ซีน่า อริเก่าใน WrestleMania ปีเดียวกัน

แต่ด้วยการปล้ำในแมตช์ที่เรียกว่า Firefly Fun House ที่เต็มไปด้วยความแฟนตาซี ผสมการเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์ Cinematic ขุดเรื่องราวของ ซีน่า กับ ไวแอตต์ มาเล่าผ่านซีนต่างๆ ไม่ได้สู้อัดกันแบบเนื้อๆ เน้นๆ เหมือนที่เห็นกันบนเวทีปกติ ก็ยิ่งทำให้คนดูมวยปล้ำรู้สึกถอยห่างกับตัวของ เบรย์ ไวแอตต์ และ The Fiend เข้าไปอีก

แล้วในที่สุดบทบาทของ เบรย์ ไวแอตต์ และ The Fiend ก็มาถึงตอนจบเมื่อเขาเปิดศึกกับ แรนดี้ ออร์ตัน อีกหนึ่งคู่อริเก่า ต่อเนื้อเรื่องกันมาจนถึง WrestleMania วันที่ 11 เมษายน 2021 แมตช์จบลงที่ แรนดี้ ออร์ตัน จับ The Fiend ใส่ท่า RKO กดนับสามชนะไป หลังจากได้ อเล็กซ่า บลิส นักมวยปล้ำหญิงคู่หูของ The Fiend มาช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ ก่อนที่ทั้ง อเล็กซ่า และ The Fiend จะหายไปในตอนจบพร้อมกับเสียงคนดูเกือบ 20,000 คนที่ เรย์มอนด์ เจมส์ สเตเดียม โห่กันเกรียวเพราะแมตช์จบแบบค้างคา เต็มไปด้วยปริศนา งงงวยกันทุกฝ่าย

ไม่เพียงแต่จบบทบาทของ The Fiend ไปพร้อมกับความผิดหวังของคนดู แต่ เบรย์ ไวแอตต์ ยังจบบทบาทของตัวเองกับ WWE ไปด้วยเพราะเมื่อถึงวันที่ 31 กรกฏาคม ปี 2021 สมาคมมวยปล้ำอันดับ 1 ของโลก ก็ประกาศปล่อยตัว เบรย์ ไวแอตต์ ออกจากสมาคมไป โดยให้เหตุผลว่าเพื่อลดค่าใช้จ่าย ที่แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ WWE ทำมาตลอดทุกปีกับการโละนักมวยปล้ำที่ไม่ใช้งานหรือหมดสัญญา แต่การโละ เบรย์ ไวแอตต์ ลูกหม้อที่ WWE ผลักดันมาตั้งแต่เป็นดาวรุ่ง ก็ทำให้แฟนมวยปล้ำทั่วโลกตะลึงกันพอสมควร

 

กลับมาแต่ไม่เหมือนเดิม

ภายหลังการถูกปลดจากสมาคม เบรย์ ไวแอตต์ หายหน้าหายตาไปจากวงการมวยปล้ำกว่า 1 ปี หลายฝ่ายคาดเดากันไปว่าอาจเป็นปัญหาเรื่องสุขภาพ หรือสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงจากการสูญเสียเพื่อนรักอย่าง โจนาธาน อูเบอร์ หรือ ลุค ฮาร์เปอร์ อดีตเพื่อนร่วมลัทธิ Wyatt Family จนหมดกำลังใจที่จะขึ้นเวทีมวยปล้ำอีกต่อไปแล้ว

แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2022 พอล เลเวสก์ หรือ ทริปเปิลเอช (HHH) ตำนานนักมวยปล้ำดาวร้าย ได้รับโอกาสขึ้นมาดูแลกิจการ WWE แทน วินซ์ แม็คแมน ประธานเจ้าอำนาจที่กำลังมีคดีความเรื่องล่วงละเมิดทางเพศพนักงานบริษัท และนั่งเก้าอี้คุมงานครีเอทีฟหลังฉาก หนึ่งในงานที่เขาทำก็คือเซ็นสัญญาดึงนักมวยปล้ำที่โละออกไปเป็นจำนวนมากกลับมา ทำให้มีกระแสว่า HHH อาจดึง เบรย์ ไวแอตต์ กลับมาอีกครั้งเมื่อสถานการณ์กับเวลาเป็นใจ

จนในที่สุด วันที่ 8 ตุลาคม 2022 เบรย์ ไวแอตต์ ก็กลับมาจริงๆ เขาโผล่มาเซอร์ไพรส์แฟนๆ ที่ เวลส์ ฟาร์โก เซ็นเตอร์ เมื่อรายการจบลง พร้อมกับตะเกียงนำทางส่องสว่างท่ามกลางความมืด ขณะที่คนดูนอกจากกรีดร้องด้วยความดีใจแล้ว ยังช่วยกันเปิดแฟลชที่โทรศัพท์มือถือ เป็นแสงหิ่งห้อยน้อยๆ ต้อนรับการกลับมาของเขาโดยพร้อมเพรียงกัน

และสิ่งที่เขาพูดกับคนดูครั้งแรกเมื่อกลับมาในรายการ Smackdown! สัปดาห์ต่อมา คือการฉีกคาแร็กเตอร์ตัวเอง และกล่าวขอบคุณแฟนๆ ด้วยน้ำเสียงที่จริงใจอย่างที่ เบรย์ ไวแอตต์ ไม่เคยทำบนเวที WWE มาก่อน

"ผมอยากแชร์เรื่องนี้กับทุกคน ปีที่แล้วผมสูญเสียอะไรไปมากเหลือเกิน ทั้งตกงาน สูญเสียความมั่นใจ สูญเสียคนใกล้ชิดไปถึงสองคน ผมหลงทางจนถึงจุดที่คิดว่าทุกอย่างที่ผมทำบนสังเวียนนั้นไร้ความหมาย รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้มอบสิ่งสำคัญให้กับใครเลย แต่ผมก็คิดผิด เพราะทุกครั้งที่คิดเสียใจกับตัวเองและออกไปดูโลกภายนอกก็มีแต่คนบอกผมว่า ขอบคุณมากๆ เมื่อไหร่จะกลับมาเหรอ?"

"มันน่าทึ่งจริงๆ เพราะไม่บ่อยเลยที่ผมได้เจอกับใครสักคนแล้วกล่าวขอบคุณผม เมื่อเขารู้สึกอ่อนแอแล้วได้ฟังคำพูดของผม ก็ช่วยให้เขาได้กลับมาพบกับสิ่งที่ต้องการ ดังนั้นผมจึงอยากบอกทุกคนว่าขอบคุณมากที่ช่วยชีวิตผมไว้"

เบรย์ ไวแอตต์ กลับมาหนนี้ยังถูกกำหนดบทบาทเป็น "ชายผู้ลึกลับ" คาดเดาพฤติกรรมหรือแนวทางไม่ได้เหมือนเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็คือปฏิกริยาจากคนดูที่ไม่พีคเท่าเดิม เนื่องจากสับสนว่าตัวของ เบรย์ ไวแอตต์ กับ ครีเอทีฟของ WWE ต้องการทำอะไรกันแน่ นอกจากถือไมค์ออกมาพูดจา งงๆ บนเวทีอยู่ 2 เดือนพร้อมกับลูกสมุนของเขา กว่าจะได้ขึ้นปล้ำจริงๆ ก็คือศึก Royal Rumble วันที่ 20 มกราคม 2023 ที่เจอกับ แอลเอ ไนท์ ซึ่งนอกจากแพ้แล้ว แมตช์ยังออกมาห่วยจนนักวิจารณ์มวยปล้ำหลายสำนักยกนิ้วโป้งปักลงพื้นกันถ้วนหน้า

แต่ถึงอย่างนั้น WWE ก็ยังคงผลักดัน เบรย์ ไวแอตต์ ต่อไป โดยช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2023 เขาถูกกำหนดให้มีเรื่องราวกับ บ็อบบี แลชลีย์ นักมวยปล้ำสายจอมพลังดีกรีอดีตแชมป์โลก WWE ซึ่งมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่การเจอกันในศึกใหญ่ WrestleMania วันที่ 1-2 เมษายน 2023 ที่โซไฟ สเตเดียม ทว่าขณะที่การปูบทกำลังไปได้สวย WWE ตัดสินใจถอด เบรย์ ไวแอตต์ ออกจากรายการเพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ ที่ไม่ได้บอกสาเหตุว่าเป็นอะไร และก็ต้องยกเลิกแผนที่จะให้เจอกับ บ็อบบี้ แลชลีย์ ไปโดยปริยาย

เบรย์ ไวแอตต์ ปรากฏตัวครั้งล่าสุดในรายการ RAW วันที่ 27 กุมภาพันธ์ เขาออกมาปั่นประสาท บ็อบบี้ แลชลีย์ ว่าที่คู่ต่อสู้ของเขา โดยไม่มีใครรู้เลยว่านั่นจะเป็นการปรากฏกายใน WWE ครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขา

 

เมื่อปีศาจถูกพิชิตด้วย "โรคหัวใจ"

เบรย์ ไวแอตต์ หายหน้าไปจากจอของ WWE ยาวนานจนแฟนมวยปล้ำเริ่มเป็นห่วง ซึ่งระหว่างนั้นก็มีข่าวคราวว่าอาการป่วยของเขาที่ไม่มีการเปิดเผยสาเหตุ ค่อนข้างรุนแรงจนยังไม่มีกำหนดกลับมา ขณะที่อีกกระแสก็ระบุว่า เบรย์ ไวแอตต์ สุขภาพดีขึ้นมากแล้ว พร้อมสำหรับการคัมแบ็กอีกครั้งในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2023

ทว่าข่าวที่ปรากฏในค่ำคืนวันที่ 24 สิงหาคม กลับเป็นข่าวการเสียชีวิตของ เบรย์ ไวแอตต์ แบบที่ทุกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว

ทริปเปิลเอช ผู้บริหารและหัวหน้าฝ่ายครีเอทีฟของ WWE แจ้งข่าวนี้กับแฟนมวยปล้ำด้วยตัวเองว่า "ผมเพิ่งได้รับโทรศัพท์จาก ไมค์ โรทันดา ตำนานของ WWE ที่แจ้งให้พวกเรารู้ถึงข่าวเศร้าที่เกิดขึ้นกับสมาชิกถาวรของครอบครัว WWE วินด์แฮม โรทันดา หรือที่รู้จักในชื่อ เบรย์ ไวแอตต์ เขาจากพวกเราไปอย่างไม่ทันตั้งตัว เราขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของเขา และขอให้ทุกคนเคารพความเป็นส่วนตัวของครอบครัวพวกเขา"

ขณะที่ ฌอน รอสส์ แซปป์ นักข่าวมวยปล้ำของ Fightful เปิดเผยสาเหตุการจากไปของ เบรย์ ไวแอตต์ ผ่านสื่อหลังได้รับอนุญาตจากครอบครัวผู้เสียชีวิตแล้ว "เมื่อต้นปี วินด์แฮม โรทันดา ติดเชื้อโควิด มันทำให้ปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจรุนแรงขึ้น ทั้งที่มีความก้าวหน้าอย่างมากสำหรับการกลับมาและการฟื้นตัวของเขา ทว่าน่าเสียดายเหลือเกินที่เขามีอาการหัวใจวายและเสียชีวิตไป"

ข้อความอาลัยจากบรรดานักมวยปล้ำทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้อง เพื่อนร่วมรุ่น จนถึงแฟนมวยปล้ำทั่วโลก ปรากฏขึ้นบนโลกอินเตอร์เน็ตอย่างมหาศาลในวันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา ด้วยความรู้สึกทั้งอาลัย โศกเศร้า ใจหาย ที่รู้ว่าเพื่อนของพวกเขาจากไปแบบไม่ทันตั้งตัว

ขณะที่ทาง WWE ได้แสดงความอาลัยต่อการจากไปของเขาในรายการ Smackdown! วันถัดมา ด้วยการเผยแพร่วีดีโอรำลึกผลงานของเขา โดยมี บรอน สโตรแมน กับ อีริค โรแวน อดีตสมาชิก Wyatt Family ที่เคยสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับ เบรย์ ไวแอตต์ และ ลุค ฮาร์เปอร์ มายืนไว้อาลัยให้กับเพื่อนรักของพวกเขา ขณะเดียวกันยังมีแมตช์พิเศษเป็นการสู้กันระหว่าง ฟินน์ บาเลอร์ กับ แอลเอ ไนท์ โดย ฟินน์ บาเลอร์ คือคู่ต่อสู้คนแรกของ เบรย์ ไวแอตต์ ในบทจอมปีศาจ The Fiend ส่วน แอลเอ ไนท์ ก็คือคู่ต่อสู้คนแรกของ เบรย์ ไวแอตต์ ในวันที่เขากลับมาครั้งสุดท้าย

 

ปีศาจที่โลกมวยปล้ำไม่มีวันลืม

การสูญเสียของ เบรย์ ไวแอตต์ ในวัย 36 ปี เป็นข่าวสะเทือนใจสำหรับแฟนมวยปล้ำทั่วโลก แม้กระทั่ง WWE เพราะ เบรย์ ไวแอตต์ ถือเป็นนักมวยปล้ำระดับ "ลูกหม้อ" ที่สมาคมให้การดูแลและผลักดันอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่วันที่เป็นดาวรุ่งชื่อ วินด์แฮม โรทันดา หรือ ฮัสกี้ แฮร์ริส กระทั่งเติบใหญ่เป็นหัวหน้าลัทธิ Wyatt Family และจอมปีศาจ The Fiend แม้ครั้งหนึ่งจะเคยถูกปลดจากสมาคมเพื่อลดค่าใช้จ่ายภายในบริษัท แต่สุดท้าย WWE ก็ดึงเขากลับมาเหมือนเดิม

เมื่อมองย้อนกลับไปดูผลงานบนสังเวียน เบรย์ ไวแอตต์ ถือว่าประสบความสำเร็จในสายอาชีพทีเดียว ได้แชมป์โลก 1 สมัย, แชมป์ Universal สองสมัย, แชมป์แท็กทีมทั้ง RAW กับ Smackdown! ได้รางวัลนักมวยปล้ำชายยอดเยี่ยมของปี 2019 รวมถึงบทบาทเจ้าลัทธิ Wyatt Family กับจอมปีศาจ The Fiend ก็ถูกสื่อยกนิ้วโป้งให้ว่าเป็นสองบทบาทที่มีความโดดเด่นและสร้างสรรค์ที่สุดครั้งหนึ่งของโลกมวยปล้ำ

ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่ เบรย์ ไวแอตต์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ตอนที่เขายังมีลมหายใจ สิ่งที่เขาอยากทำให้มันเกิดขึ้นจริงนั่นคือการได้ถูกบรรจุชื่อเข้าสู่หอเกียรติยศ Hall of Fame ของทาง WWE ที่จัดให้เป็นประจำทุกปี เป็นการตอบแทนความมุ่งมั่น และเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จจากสิ่งที่เขาได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจให้กับ WWE มาตลอดนับตั้งแต่ถูกดันขึ้นมาสู่สังเวียนใหญ่

"ผมเริ่มต้นชีวิตนักมวยปล้ำอาชีพกับ WWE ตั้งแต่อายุ 21 เมื่อมองกลับไปถือว่ามาไกลมากแล้ว ดังนั้นเมื่อถึงวันที่ผมเสียชีวิตหรือได้รับการบรรจุเข้าสู่หอเกียรติยศ Hall of Fame ในช่วงหลังจากนี้ ผมจะทิ้งมรดกต่างๆ เอาไว้ให้กับคนรุ่นหลัง และได้รับการจดจำตลอดไป ซึ่งกว่าจะถึงวันนั้นก็น่าจะต้องได้แชมป์สัก 10 สมัยก่อนนะ (หัวเราะ) แต่ไม่ช้าก็เร็ว ผมจะทำให้สำเร็จ"

แม้สุดท้าย เบรย์ ไวแอตต์ จะไม่ได้มีชีวิตอยู่จนถึงวันที่เขาได้เห็นชื่อตัวเองเข้าสู่หอเกียรติยศอันศักดิ์สิทธิ์ของวงการมวยปล้ำ แต่ก็คงไม่ต้องบอกกันแล้วว่าสิ่งที่เขาทำมาตลอด 10 ปีบนสังเวียนของ WWE มีคุณค่ามากพอที่จะทำให้ชายผู้มีชื่อจริงว่า "วินด์แฮม โรทันดา" ได้รับการยกย่องเชิดชูในฐานะนักมวยปล้ำดาวค้างฟ้าอีกคนของโลกนี้

 

แหล่งอ้างอิง :

https://www.bbc.com/news/entertainment-arts-66613784?
https://www.espn.com/wwe/story/_/id/38253739/former-wwe-champion-bray-wyatt-dies-age-36
https://mothership.sg/2023/08/bray-wyatt-died-wwe/?
https://www.thesun.co.uk/sport/23651558/bray-wyatt-dead-wwe-superstar-reports/
https://www.al.com/entertainment/2016/09/i_am_right_with_my_god_bray_wy.html
https://www.thesportster.com/wrestling/bray-wyatt-versions-worst-best-rotunda/#fcw-rsquo-s-duke-rotundo
https://www.wrestlinginc.com/1055333/bray-wyatt-delivers-heartfelt-words-to-live-fans-on-wwe-smackdown/

Author

วัลลภ สวัสดี

ฟังไปเรื่อย ดูไปเรื่อย เขียนไปเรื่อย

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา