News

ทัพเจ็ตสกีไทย : จากกีฬาสู่ฮีโร่ช่วยวิกฤตน้ำท่วม

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่ภาคใต้ เป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นเหล่าบรรดาอาสากู้ภัยจากหน่วยงานต่าง ๆ ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมกันอย่างยากลำบาก

 

หนึ่งในนั้นก็คือทีมอาสาสมัครเจ็ตสกีจากสมาคมกีฬาเจ็ตสกีแห่งประเทศไทย ที่ส่งบรรดานักแข่งดีกรีระดับแชมป์โลกลงไปช่วย 

พวกเขาเหล่านี้ล้วนมาด้วยใจ ไม่มีเหรียญรางวัล ไม่มีค่าจ้างตอบแทน ที่สำคัญไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก 

ทำไมเจ็ตสกีจึงเข้ามามีบทบาทแทบทุกครั้งที่เกิดวิกฤตน้ำท่วมในเมืองไทย … ติดตามเรื่องราวได้ที่ Main Stand

 

จากพาหนะสู่กีฬา

ชื่อ “เจ็ตสกี” ที่หลายคนคุ้นเคยนั้น ที่จริงแล้วไม่ใช่ชื่อเรียกของยานพาหนะทางน้ำ หรือ สกู๊ตเตอร์น้ำ (Water Scooter) ชนิดนี้โดยตรง

คำว่า “เจ็ตสกี” นั้นมาจากชื่อแบรนด์ “Kawasaki Jet Ski” ยานพาหนะทางน้ำส่วนบุคคล หรือ Personal Watercraft (PWC)  ที่ผลิตโดยบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นอย่างคาวาซากิ ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1972

ด้วยการออกแบบอันโดดเด่นทั้งเทคโนโลยีและความปลอดภัยในเวลานั้น Kawasaki Jet Ski ได้กลายเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์มากที่สุดในอเมริกา โดยครองความยิ่งใหญ่ยาวนานกว่า 16 ปี จน Jet Ski กลายเป็นชื่อติดปากที่ถูกเรียกพาหนะประเภทนี้มาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากจะเป็นยานพาหนะสำหรับใช้เดินทางและสันทนาการแล้ว ในเวลาต่อมาเจ็ตสกียังถูกนำมาใช้แข่งขัน โดยมีการพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีความเร็วมากขึ้น รวมถึงมีรูปทรงที่ปราดเปรียวว่องไวมากขึ้น จนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

ก่อนที่จะมีการจัดตั้ง สมาคมเจ็ตสกีนานาชาติ หรือ International Jet Sports Boating Association (IJSBA) ในปี 1982 เพื่อควบคุมและรับรองการแข่งขันเรือส่วนบุคคลระดับโลก 

ปัจจุบัน IJSBA มีสมาชิกกว่า 50 ชาติ รวมถึงประเทศไทย ภายใต้การดูแลของ “สมาคมกีฬาเจ็ตสกีแห่งประเทศไทย” ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1997 (พ.ศ.2540) ด้วยเช่นกัน 

ภารกิจหลักของ “สมาคมกีฬาเจ็ตสกีแห่งประเทศไทย” นอกจากจะปลุกปั้นนักกีฬาจนก้าวถึงระดับแชมป์โลกแล้ว ทางสมาคมยังมีความตั้งใจที่อยากให้กีฬาชนิดนี้ สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนได้อีกด้วย

 

ฮีโร่ช่วยน้ำท่วม

“นอกจากเรื่องกีฬาที่แข่งขันเพื่อความเป็นเลิศแล้ว ผมมองว่ากีฬานี้ควรจะมีประโยชน์มากขึ้น ถ้าหากทำอะไรให้ประชาชนได้” พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา นายกสมาคมกีฬาเจ็ตสกีแห่งประเทศไทย กล่าวกับ Main Stand 

ความตั้งใจที่มีไม่ได้เป็นเพียงนโยบายเท่านั้น แต่ทางสมาคมได้ทำมันให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในยามที่ประเทศไทยเจอวิกฤตอุทกภัย ภาพที่เราเห็นจนคุ้นตาก็คือ เหล่าบรรดานักเจ็ตสกีจิตอาสา ที่รวมตัวกันออกมาช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยอยู่ตลอด

จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2567 ในช่วงเดือนสิงหาคม ที่เกิดวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ปกคลุมพื้นที่ในหลายจังหวัดบริเวณภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบนของประเทศไทย 

“น้องนักกีฬาที่เคยเป็นจิตอาสา ได้มาปรึกษากับผมว่าอยากจะลงพื้นที่ไปช่วยเหลือ เนื่องจากเห็นข่าวที่มีคนร้องขอความช่วยเหลือจำนวนมาก หลายคนติดอยู่ในบ้าน ไม่มีข้าวไม่มีน้ำ เพราะหน่วยงานของรัฐอาจมีเครื่องไม้เครื่องมือไม่เฉพาะทางก็เลยเข้าไม่ถึง”

“ผมถามก่อนเลยว่าแล้วมีงบประมาณและต้องใช้เงินอย่างไร แต่เขาก็บอกมาว่าไม่เป็นไรครับ ใช้ทุนส่วนตัวกันก่อน เจ็ตสกีก็เป็นของนักกีฬาเอง เราก็เลยตัดสินใจไปช่วยกัน”

“ตอนนั้นเราช่วยได้ทั้งเด็กเล็ก คนแก่ คนติดเตียง คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย ช่วยไม่ให้เขาตาย ซึ่งนักกีฬาทุกคนรู้สึกปิติอย่างมากที่ได้ช่วยเหลือ จึงตัดสินใจทำกันต่อไป เพราะหลังจากนั้นน้ำท่วมก็ยังมีต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ ไล่จากแพร่ น่าน อุตรดิตถ์ จนวนขึ้นเหนือไปที่เชียงใหม่ เชียงราย และแม่สาย” พล.ต.อ.เดชณรงค์ เผย

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่อำเภอแม่สายครั้งนั้น ได้สร้างการรับรู้แก่ประชาชนในวงกว้างถึงการออกมาช่วยเหลือประชาชนของฮีโร่นักเจ็ตสกีเหล่านี้

โดยเฉพาะเคสของ “คุณลุงเขียงหมู” วัย 86 ปี ที่ติดอยู่บนหลังคาเต็นท์สีแดง รอความช่วยเหลือมานานกว่า 18 ชั่วโมง ก่อนจะได้ “แชมป์” ธีรภัทร์ ขันทอง นักเจ็ตสกีดีกรีแชมป์โลก ขี่เข้าไปช่วยออกมาได้อย่างปลอดภัย

ปัจจัยหลักที่ทำให้เจ็ตสกีกลายเป็นพาหนะช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมได้อย่างลงตัว ก็เพราะเจ็ตสกีขับเคลื่อนบนผิวน้ำได้ดีและมีความคล่องตัว สามารถนำไปใช้งานได้ตั้งแต่น้ำตื้นระดับหัวเข่า ไปจนถึงคลอง แม่น้ำ และทะเล  

ที่สำคัญยังมีกำลังเครื่องยนต์สูง ตั้งแต่ 800 ซีซี 1,200 ซีซี ไปจนถึง 1,600 ซีซี จึงสามารถวิ่งฝ่าน้ำเชี่ยวหรือน้ำหลากได้ และระบบขับเคลื่อนยังไม่มีใบพัดภายนอก ทำให้ปลอดภัยต่อสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำ มากกว่าเรือยนต์ทั่วไป

นอกจากนี้ยังมีรูปทรงที่ปราดเปรียวและน้ำหนักที่เบา รวมทั้งยังติดตั้งอุปกรณ์กู้ภัยเพื่อช่วยเหลือฉุกเฉินเพิ่มได้ด้วย 

โดยเจ็ตสกีแบบนั่ง 2-3 คน จะมีความกว้างอยู่ที่ไม่เกิน 1.5 เมตร ยาวไม่เกิน 4 เมตร และมีน้ำหนักประมาณ 180-400 กิโลกรัมเท่านั้น ทำให้ขนย้ายสะดวกและแล่นเข้าบริเวณพื้นที่แคบหรือพื้นที่ขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี

การนำเจ็ตสกีลงพื้นที่ จึงไม่ได้แค่ช่วยนำผู้ประสบภัยออกมาจากพื้นที่ แต่ยังสามารถนำอาหาร ยา และของใช้ที่จำเป็น ติดตัวไปให้พวกเขาเหล่านั้นประทังชีวิตต่อไปได้อีกด้วย

เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาเหล่านี้มาด้วยใจล้วน ๆ นักกีฬาเจ็ตสกีทีมชาติไทยทุกคนตอบตกลงโดยทันทีเมื่อถูกถามถึงความสมัครใจในการลงพื้นที่มาช่วยพี่น้องประชาชน 

ทุกคนที่มาไม่ได้เงินรางวัล ไม่มีค่าจ้างผลตอบแทนใด ๆ แถมยังต้องเสี่ยงอันตรายจากกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวและแรงมากด้วยก็ตาม … เช่นเดียวกับวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ที่ภาคใต้ในเวลานี้

 

วิกฤตอุทกภัยสงขลา

หลังผ่านเหตุการณ์ที่ภาคเหนือ ทัพนักกีฬาเจ็ตสกีทีมชาติไทยกลับไปมุ่งมั่นลงฝึกซ้อมอย่างหนักกันต่อ เพื่อเตรียมตัวลงแข่งขันในซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ช่วงเดือนธันวาคมนี้

ทว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นขณะที่เหลือเวลาก่อนทัวร์นาเมนท์จะเปิดฉากไม่ถึง 1เดือน เมื่อฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัด โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่แทบจะจมบาดาล

หนึ่งในจังหวัดเจ้าภาพซีเกมส์ได้รับผลกระทบอย่างหนัก น้ำท่วมสูงมิดหัวเกือบ 4 เมตร มีประชาชนได้รับผลกระทบหลักแสนหลาย และนับพันรายยังคงติดอยู่ในพื้นที่ไม่สามารถหนีออกมาได้

ที่สำคัญถนนหลายสายยังถูกตัดขาด การสัญจรทางบกแทบเป็นไปไม่ได้ ชาวบ้านจึงได้แต่หนีไปใช้ชีวิตอยู่บนหลังคาหรือพื้นที่ที่สูงที่สุดเท่าที่จะไปได้ เพื่อรอคอยความหวังอย่างรวนริน

“ที่นี่หนักกว่าตอนเชียงรายเป็น 100 เท่า เพราะกินบริเวณกว้าง พื้นที่เป็นแอ่งกระทะ มีคนอยู่หนาแน่น มีซอกซอยเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้ทำงานลำบากมาก” นายกสมาคมกีฬาเจ็ตสกี ระบุ

วิกฤตที่หาดใหญ่ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่สมาคมกีฬาเจ็ตสกีแห่งประเทศไทย และนักเจ็ตสกีทีมชาติไทยทุกคน ต่างพร้อมใจกันยกทีมลงมาช่วยเหลือผู้ประสบภัย

นำทีมโดย พล.ต.อ.เดชณรงค์ นายกสมาคมฯ ที่ลงพื้นที่มาสั่งการด้วยตนเอง พร้อมด้วยนักกีฬาดีกรีระดับแชมป์โลก อาทิ “แชมป์” ธีรภัทร์ ขันทอง และ “แบงค์” พิตติพงศ์ เกียรติกมลกุล

ช่วงแรกเริ่มนั้นทางสมาคมได้นำเจ็ตสกีลงมาช่วยทั้งหมด 30 ลำ โดยทั้งหมดเป็นของส่วนตัวของนักกีฬาเอง ไม่รวมกับกำลังพลจากฝ่ายต่าง ๆ ทั้งคู่บัดดี้ ทีมช่าง และฝ่ายซัปพอร์ต ที่รวมกันแล้วมากกว่าจำนวนเรือที่มา 

ก่อนที่ 2 วันถัดมาสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น จึงตัดสินนำกำลังเสริมเพิ่มเข้ามาช่วยอีก 30 ลำ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอาสาสมัครในวงการที่มีเจ็ตสกีเป็นของตัวเอง เช่น ผู้ประกอบการธุรกิจ ท่องเที่ยว ทัวร์ริง ฯลฯ 

“พอได้ทราบข่าวพวกเรานักเจ็ตสกีก็พร้อมใจกันลงมาช่วยทันที นักกีฬาทุกคนตอบตกลงมากันหมด”

“เราพยายามช่วยให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ตั้งแต่ช่วยอพยพคน แจกข้าว แจกน้ำ นำยาลดไข้มาให้เด็กเล็กที่มีไข้สูง พาคนท้องแก่ออกมาคลอด ทุกคนอดหลับอดนอน ลุยกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ” พิตติพงศ์ 
แชมป์โลกศึกเจ็ตสกีเวิลด์ซีรีส์ 2022 ที่โปแลนด์ เล่าประสบการณ์จริง

นักกีฬาและอาสาสมัครเหล่านี้แทบทุกคนยังได้รับการฝึกฝนมาแล้วเป็นอย่างดี เพราะหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมภาคเหนือ ทางสมาคมเจ็ตสกีได้เปิดอบรมหลักสูตร “อาสากู้ภัยทางน้ำและดูแลสิ่งแวดล้อมทางน้ำ” ให้นักกีฬาและบุคลาการในวงการเจ็ตสกีได้เรียนรู้เพื่อนำมาใช้จริงในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ทางสมาคมยังตั้งเป้าที่จะสานต่อโครงการนี้ต่อไป โดยมีแผนที่จะรวบรวมอาสาสมัครให้ได้ถึง 200 คน ภายในปี 2570 เนื่องจากมองว่าสถานการณ์น้ำท่วมเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นวงรอบเดิม ๆ แทบทุกปี มีฝนตก มีน้ำท่วม ไล่จากภาคเหนือลงมาภาคกลาง จนถึงภาคใต้ช่วงปลายปี

ทว่าสิ่งทำคัญก็คืองบประมาณ เพราะปัจจุบันสมาคมกีฬาเจ็ตสกีได้งบสนับสนุนจากภาครัฐปีละ 1 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งใช้จัดการแข่งขันเวิลด์ ทัวร์ ปีละ 4 ครั้ง (น้ำทะเล 2 น้ำจืด 2) เงินก็หมดแล้ว จึงไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้ในงานอาสาสมัครส่วนนี้

ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ทั้งค่าน้ำมันเดินทาง ค่าอาหารการกิน ไปจนถึงค่าหยุกยาและอุปกรณ์กู้ภัยที่เตรียมนำมาช่วยเหลือ ส่วนใหญ่เป็นเงินส่วนตัวของนักกีฬาหรือมีภาคเอกชนที่มองเห็นความสำคัญร่วมลงขันมอบให้

“ทุกคนที่มาช่วยตั้งมั่นทำงานกันเต็มที่โดยเห็นความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก บางคนถึงขนาดเห็นทารกคลอดกับตาก็มี แต่ทุกอย่างคือความสุขที่ได้ลงมือทำ”

“ผมบอกกับนักกีฬาเสมอว่า เราทำอะไรให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนและพี่น้องประเทศชาติได้บ้าง เราได้เหรียญทอง ได้เกียรติยศ มันก็เป็นความภาคภูมิใจระดับหนึ่ง แต่ถ้ากีฬาเหล่านั้นสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ มันยิ่งดีมากขึ้น” พล.ต.อ.เดชณรงค์ ทิ้งท้าย

พวกเขาเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า วันนี้เจ็ตสกีไม่ได้เป็นเพียงแค่กีฬา … แต่พวกเขายังเป็นฮีโร่ของคนไทยด้วยเช่นกัน

Author

ชมณัฐ รัตตะสุข

Chommanat