News

เข้าใจไข้เลือดออก รักษาที่บ้านอย่างปลอดภัย ไม่เสี่ยงแทรกซ้อน

โรคไข้เลือดออกอาจดูเหมือนโรคประจำฤดูฝนที่คนไทยคุ้นเคยดี แต่ความจริงแล้ว มันเป็นหนึ่งในโรคที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดที่สุด โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดในชุมชนหรือครอบครัวเดียวกัน หลายคนมักสงสัยว่าไข้เลือดออกรักษาที่บ้านได้จริงหรือไม่ ? และถ้าทำได้ ต้องดูแลอย่างไรถึงจะปลอดภัย ไม่เสี่ยงภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

 


เข้าใจธรรมชาติของโรค ก่อนตัดสินใจรักษาที่บ้าน

ไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ที่มียุงลายเป็นพาหะ เมื่อรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จะมีระยะฟักตัวประมาณ 4–7 วัน แล้วเริ่มมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร หรือมีผื่นขึ้นตามตัว

สิ่งสำคัญที่ผู้ป่วยและครอบครัวต้องรู้คือ โรคนี้ไม่มียารักษาเฉพาะทาง การดูแลหลักจึงอยู่ที่การประคับประคองอาการ ให้ร่างกายฟื้นตัวเองตามธรรมชาติ การเลือกฟื้นฟูไข้เลือดออกโดยรักษาที่บ้านสามารถทำได้ในกรณีที่อาการยังไม่รุนแรง และอยู่ภายใต้การติดตามของแพทย์อย่างใกล้ชิด สัญญาณที่บ่งชี้ว่ายังสามารถดูแลที่บ้านได้ เช่น

  • ไข้ไม่สูงเกิน 39°C ต่อเนื่อง
  • ไม่มีอาการเลือดออกผิดปกติ เช่น จุดเลือดออกใต้ผิวหนัง เลือดกำเดาไหล หรืออาเจียนเป็นเลือด
  • ยังคงดื่มน้ำและรับประทานอาหารได้

 

หลักการดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออกที่บ้านอย่างปลอดภัย

หัวใจสำคัญของการป่วยเป็นไข้เลือดออกแล้วต้องรักษาที่บ้านคือ การเฝ้าระวังอาการอย่างต่อเนื่องและป้องกันภาวะขาดน้ำ เนื่องจากไข้สูงจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมาก

สิ่งที่ควรทำคือ

  • ให้ผู้ป่วยพักผ่อนมากที่สุด งดกิจกรรมที่ใช้แรง
  • ดื่มน้ำหรือสารละลายเกลือแร่ (ORS) บ่อย ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • ใช้ผ้าชุบน้ำอุณหภูมิห้องเช็ดตัวเพื่อลดไข้
  • ห้ามใช้ยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เพราะอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น ให้ใช้ยาพาราเซตามอลตามคำแนะนำของแพทย์แทน
  • บันทึกอุณหภูมิและสังเกตอาการทุก 4–6 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ควรป้องกันการแพร่เชื้อโดยการกางมุ้งให้ผู้ป่วย พ่นยากันยุง หรือใช้โลชั่นกันยุง เพื่อไม่ให้ยุงไปกัดและนำเชื้อไปแพร่ต่อในครอบครัว

 

สัญญาณอันตรายที่ห้ามชะล่าใจ

แม้ไข้เลือดออกจะรักษาที่บ้านได้ในระยะเริ่มต้น แต่ผู้ดูแลต้องรู้จักจุดเปลี่ยนของโรค ซึ่งมักเกิดในวันที่ 3–5 หลังจากเริ่มมีไข้ เป็นช่วงที่อุณหภูมิอาจลดลง แต่ภาวะภายในร่างกายกลับเสี่ยงอันตรายมากขึ้น สัญญาณที่ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที ได้แก่

  • อาเจียนมากหรือมีเลือดปนในอาเจียน
  • ปวดท้องรุนแรง หน้าซีด มือเท้าเย็น
  • กระหายน้ำมากแต่ปัสสาวะน้อย
  • มีเลือดออกผิดปกติ เช่น จุดเลือดออกตามตัว หรือเลือดออกตามไรฟัน
  • ซึม ไม่รู้สึกตัว หรืออ่อนแรงมาก

อย่าคิดว่าไข้ลดแล้วคืออาการดีขึ้น เพราะในบางราย นั่นอาจเป็น “ระยะวิกฤติ” ของไข้เลือดออก ซึ่งต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน

การเป็นไข้เลือดออกแล้วรักษาที่บ้าน ถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยในผู้ป่วยกลุ่มอาการไม่รุนแรงและอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังของแพทย์ แต่หัวใจสำคัญคือการสังเกตอาการอย่างละเอียด การให้สารน้ำเพียงพอ และความเข้าใจในระยะของโรค หากมีสัญญาณอันตรายแม้เพียงเล็กน้อย ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะการรักษาไข้เลือดออกให้ปลอดภัยที่สุด ไม่ใช่เพียงการดูแลที่บ้าน แต่คือการรู้ว่าเมื่อไรควรไปพบแพทย์โดยไม่รอช้า

Author

Main Stand

Stand ForAll สื่อกีฬาที่เข้าถึงทุกคน