News

"โจชัว แวน" ฮีโร่นักสู้ของเมียนมา ที่หล่อหลอมตนเองจากการถูกบูลลี่ และหนีรัฐเผด็จการในบ้านเกิด

ศึกมวยกรงอันดับ 1 ของโลก UFC 317 กลายเป็นเวทีที่ โจชัว แวน ประกาศศักดาความแข็งแกร่งของตัวเองให้โลกรู้อีกครั้ง หลังเอาชนะ แบรนดอน รอยวาล ไปด้วยคะแนนเอกฉันท์ตลอด 3 ยก

 


ไม่เพียงแต่โชว์ฟอร์มเด็ดดวงจนได้ใจคนดูจำนวนมากแล้ว โจชัว แวน ยังได้รับโบนัสอีก 50,000 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับผลงานของเขาที่เนวาด้า และได้เป็น Fight of the Night ประจำค่ำคืนไปด้วย
ชัยชนะของ โจชัว แวน ที่ T-Mobile Arena ทำให้ชาวเมียนมาที่ดูถ่ายทอดสดอยู่ทั่วโลก ภาคภูมิใจ เพราะนี่คือนักสู้ MMA จากเมียนมา คนแรกในประวัติศาสตร์ที่ไต่เต้าไปสู่สังเวียนมวยกรงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยวัยเพียง 23 ปี อนาคตยังทอดยาวอีกไกล

แน่นอนว่า โจชัว แวน คงมาอยู่ในจุดนี้ไม่ได้ หากว่าครอบครัวของเขา ไม่พาลูกๆ หนีออกจากบ้านเกิด หนีออกมาจากรัฐบาลเผด็จการ และมาแสวงหาอนาคตใหม่ของพวกเขาที่ สหรัฐอเมริกา....

โจชัว แวน เล่าว่าเขาย้ายมาอยู่ที่ มาเลเซีย กับคุณพ่อ-คุณแม่ ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 10 ขวบ แน่นอนว่าด้วยความเป็นเด็กจึงมีแต่คำถาม ทำไมถึงไม่อยู่เมียนมา ทำไมเขาถึงไมได้เล่นกับเพื่อนๆ ละแวกบ้านเหมือนเดิม ก่อนจะมารู้ภายหลังเมื่อเติบโตว่า พ่อ-แม่ ของพวกเขา ไม่อยากให้ลูกๆ เติบโตมาในสถานการณ์ทางการเมืองอันเลวร้ายที่เมียนมา ซึ่งมีรัฐบาลเผด็จการทหารควบคุมประเทศอยู่

"กลุ่มทหารในเมียนมานั้นเลวร้ายมาตลอด" โจชัว แวน เปิดเผย "สถานการณ์มันแย่ลงเรื่อยๆ ตอนนั้นพ่อแม่ของผมกำลังมองหางานและการศึกษาที่ดีกว่านี้ พวกเขาคิดถึงพวกเรา ลูกๆ พวกเขาอยากมาที่นี่ (สหรัฐฯ) มองหาการศึกษาที่ดี กับเสรีภาพที่เปิดกว้างกว่านี้"

ครอบครัวของ โจชัว แวน เริ่มต้นย้ายมาอยู่ที่ มาเลเซีย ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่ฮิวสตัน สหรัฐฯ ในอีก 3 ปีต่อมา เขาเอ่ยปากถามแม่ว่าทำไมเราต้องย้ายมาอยู่ที่ฮิวสตันด้วย ทำไมถึงไม่ได้อยู่กับเพื่อนๆ แต่สุดท้ายเขาก็เข้าใจ และพยายามปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่ และประเทศใหม่ ที่เขาต้องเรียนรู้เรื่องการใช้ชีวิต และฝึกพูดภาษาอังกฤษ

การเป็นเด็กชายจากเมียนมา ในสหรัฐอเมริกา ไม่ต่างอะไรกับการเป็น "คนแปลก" ในสายตาของเจ้าถิ่น แวน เล่าว่าเขาถูกเพื่อนๆ บูลลี่เสมอที่โรงเรียนเพราะความที่เขาเป็นเด็กต่างถิ่น

แต่เมื่อเขาได้ดูหนังของ บรูซ ลี ราชานักสู้ตลอดกาล โจชัว แวน จึงตัดสินใจแล้วว่า เขาจะไม่ยอมถูกคนอื่นรังแกอีกแล้ว เขาจะฝึกฝนวิชาการต่อสู้ เพื่อป้องกันตัวเอง และวันหนึ่งข้างหน้า มันก็กลายเป็นวิชาที่ทำให้เขาได้เข้าสู่สังเวียนการต่อสู้ MMA แบบมืออาชีพ

"ผมเป็นเด็กตัวเล็ก จากที่ที่ผมมา คุณต้องสู้เพื่อเอาตัวรอด เหมือนผมต้องสู้ทุกวัน ผมต่อสู้จนเริ่มสนุกกับมัน เปิดดูคลิปคนต่อสู้กันข้างถนน เรียนรู้เทคนิคการชกต่อยตามท้องถนน แล้วผมก็ลองทำตามเวลาที่มีเรื่องกับคนอื่น นั่นแหละที่ทำให้ผมเข้าสู่วงการนี้" โจชัว แวน เล่า

โจชัว แวน ไต่เต้าจากการเป็นนักสู้ MMA สมัครเล่น สั่งสมโปรไฟล์ให้ตัวเอง เขามีจุดเด่นอยู่ที่การเอาชนะคู่ต่อสู้ที่ว่องไว ทั้งการใช้หมัดน็อค หรือใช้ซับมิชชั่น ทำให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้ ประกอบกับการเป็นนักสู้จากเมียนมา ทำให้ชื่อเสียงของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักไปทั่วในวงการมวยกรง

การต่อสู้ และการฝึกฝนวิชาเพื่อหล่อหลอมตัวเองให้กล้าแกร่งในฐานะนักสู้ MMA ทำให้ โจชัว แวน กลายเป็น "The Fearless" ชายผู้ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด จนในที่สุด โอกาสอันยิ่งใหญ่มาถึงเมื่อเขาได้โอกาสแข่งขันบนสังเวียนมวยกรงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง UFC เมื่อปี 2023

ที่ UFC ทำให้ชื่อเสียงของ โจชัว แวน ไปไกลยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่เป็นนักสู้จากเมียนมาคนแรกใน UFC เท่านั้น แต่เขายังโชว์ฟอร์มสู้กับนักสู้คนอื่นได้ดี ชนะบ้าง แพ้บ้าง (แต่ส่วนใหญ่ชนะ) กระทั่งมาถึงไฟต์สำคัญคือศึก UFC 317 และเขาก็เอาชนะคะแนน แบรนดอน รอยวาล แบบเอกฉันท์

ชัยชนะครั้งนี้ตอกย้ำให้ โจชัว แวน กลายเป็นนักสู้ที่ชาวเมียนมา ต้องภาคภูมิใจ เขากลายเป็นอีกหนึ่งฮีโร่นักสู้ MMA ของประเทศ ต่อจาก ออง ลา เอน ซาง นักสู้รุ่นพี่ ผู้เป็นแรงบันดาลใจ และกรุยทางนำมาก่อนรายการ ONE Championship

ผลของการชนะ แบรนดอน รอยวาล ทำให้ โจชัว แวน ซึ่งอยู่ในรุ่นฟลายเวท ถูกจับตามองอย่างมากว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นไปถึงระดับที่ท้าชิงเข็มขัดแชมป์โลก UFC ของรุ่นนี้ได้ และหลังจบไฟต์ เขาก็ขึ้นมาเผชิญหน้ากับ อเล็กซานเดอร์ ปันโตญ่า เจ้าของเข็มขัดแชมป์รุ่นฟลายเวท แล้วบอกว่า "ไว้เจอกันเร็วๆ นี้"

จากคนที่ใช้เวลาฝึก MMA แค่ 5 ปี หลังเดินทางมาแสวงหาอนาคตที่ดีกว่าในสหรัฐฯ ตอนนี้ โจชัว แวน หรือ "The Fearless" หล่อหลอมตัวเองจนกลายเป็นนักสู้ที่ชาวเมียนมา และคนในวงการยอมรับอย่างไร้ข้อกังขา จนเป็นที่น่าจับตายิ่งว่าเขาจะไปถึงเข็มขัดแชมป์โลกได้หรือไม่? ในอนาคตที่อยู่ไม่ไกล

 

Author

วัลลภ สวัสดี

ฟังไปเรื่อย ดูไปเรื่อย เขียนไปเรื่อย

Graphic

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1