อดีตนักเทนนิสชื่อดัง บอริส เบ็คเกอร์ เจ้าของแชมป์แกรนด์สแลม 6 รายการ เปิดใจว่าความสำเร็จในช่วงวัยรุ่น ที่คว้าแชมป์วิมเบิลดันนั้น ไม่ได้มีแต่ด้านสวยงามอย่างที่หลายคนคิด แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแรงกดดันมหาศาลที่ตามหลอกหลอนตลอดอาชีพ
เบ็คเกอร์สร้างประวัติศาสตร์เมื่อปี 1985 ด้วยวัยเพียง 17 ปี 7 เดือน 15 วัน หลังเอาชนะ เควิน เคอร์เรน คว้าแชมป์ชายเดี่ยววิมเบิลดัน และยังสานต่อด้วยการเก็บแกรนด์สแลมเพิ่มอีก 5 รายการ รวมถึงแชมป์วิมเบิลดันอีกสองสมัย จนถูกยกให้เป็นหนึ่งในนักหวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุค
อย่างไรก็ตาม นอกสนามเทนนิส ชีวิตของเบ็คเกอร์กลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทั้งปัญหาส่วนตัวและวิกฤตทางการเงินที่ตามมาไม่รู้จบ กระทั่งปี 2022 เขาต้องโทษจำคุก 8 เดือนจากคดีปกปิดทรัพย์สินกว่า 2.5 ล้านปอนด์ เพื่อหนีการชำระหนี้สินจากการถูกประกาศให้เป็นบุคคลล้มละลายเมื่อปี 2017
"หากคุณจำเด็กอัจฉริยะคนอื่นๆ ได้ พวกเขามักจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึง 50 ปี เพราะต้องผ่านการทดลองและความยากลำบากต่าง ๆ ตามมา"
แชมป์แกรนด์สแลม 6 รายการ เปิดใจกับ BBC Sport ระหว่างการให้สัมภาษณ์เนื่องในโอกาสเปิดตัวอัตชีวประวัติเล่มใหม่ ที่บันทึกเรื่องราวชีวิต รวมถึงช่วงเวลาที่เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในคุก
"ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน ไม่ว่าคุณจะพูดคุยกับใคร มันก็กลายเป็นปรากฏการณ์ไปทั่วโลก"
"มันกลายเป็นพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ที่สำคัญที่สุดฉบับหนึ่งในอนาคต และคุณก็แค่พยายามที่จะเติบโต พยายามที่จะหาจุดยืนของตัวเองในโลกนี้"
"เมื่อคุณเริ่มต้นอาชีพครั้งที่สอง ทุกอย่างจะวัดกันที่ความสำเร็จในการคว้าแชมป์วิมเบิลดันเมื่ออายุ 17 ปี และนั่นได้เปลี่ยนแปลงเส้นทางข้างหน้าไปอย่างมาก"
"ผมดีใจที่ชนะมาสามครั้ง แต่ครั้งแรกตอนอายุ 17 ปีอาจจะยังเด็กเกินไป ผมยังเป็นเด็กอยู่เลย"
เบ็คเกอร์ประกาศแขวนแร็กเก็ตในปี 1999 ก่อนที่เขาจะเป็นนักวิจารณ์ทางทีวีและยังเคยทำหน้าที่โค้ชให้ โนวัค โยโควิช ระหว่างปี 2013-2016 ซึ่งเป็นช่วงที่นักหวดชาวเซิร์บกวาดแชมป์แกรนด์สแลมเพิ่มถึง 6 รายการ จากทั้งหมด 24 รายการที่เขาครองในปัจจุบัน
แม้ชีวิตนอกสนามของเบ็คเกอร์จะเต็มไปด้วยมรสุม ทั้งปัญหาส่วนตัว วิกฤตการเงิน และโทษจำคุกในปี 2022 แต่เขายอมรับว่ามีกำลังใจไม่น้อยเมื่อได้เห็นอดีตลูกศิษย์อย่างโยโควิช คว้าแชมป์วิมเบิลดันในปีเดียวกันนั้น
"ผมเชียร์ โนวัค โยโควิช ในตอนที่ผมเห็นเขาทางทีวี ตอนที่เขาชนะการแข่งขันรอบต่าง ๆ และท้ายที่สุดก็คว้าแชมป์ได้สำเร็จเมื่อเอาชนะ นิค คีริออส"
"นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้ผมมาก และท้ายที่สุดก็ทำให้ผมซาบซึ้งใจมาก ไอ้น้อง โนวัค ของผมอยู่ที่นั่น และผมอยู่ในคุกที่เลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มันทำให้ผมมองเห็นชีวิตในมุมมองใหม่"
"ผมสบายเกินไป ผมมีเงินมากเกินไป ไม่มีใครบอกผมว่า 'ไม่' ทุกอย่างเป็นไปได้ เมื่อมองย้อนกลับไป นั่นคือสูตรแห่งหายนะ"
"ดังนั้น คุณต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของคุณ ซึ่งสำคัญมาก เพราะคุณไม่สามารถมองย้อนกลับไปได้อีกต่อไป คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ คุณสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ เพราะคุณมีชีวิตอยู่กับวันนี้เท่านั้น"
หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ เบ็คเกอร์ก็ถูกเนรเทศออกจากสหราชอาณาจักร และข้อมูลปัจจุบันยังไม่แน่ชัดว่าเขาจะกลับไปที่นั่นได้เมื่อไหร่
ที่มา:
https://www.bbc.com/sport/tennis/articles/cgrq1g2gze4o