เรียกได้ว่ากลายเป็นตำนานนักกีฬาสูงอายุของเมืองไทยไปแล้วสำหรับ “คุณตาสว่าง จันทร์พราหมณ์” นักกรีฑาวัย 105 ปี ที่เพิ่งทำสถิติคว้า 3 เหรียญทอง จากการวิ่ง ขว้างจักร และพุ่งแหลน ในการแข่งขันกีฬาอาวุโสแห่งชาติ ครั้งที่ 7 “ข้าวหลามเกมส์” ที่ จ.ชลบุรี
สิ่งที่เกิดขึ้นได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้พบเห็น เพราะแม้จะอายุเกินหลักร้อยแต่คุณตาสว่างยังคงมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและอารมณ์แจ่มใส
นอกจากตัวคุณตาแล้วอีกหนึ่งปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังความมหัศจรรย์นี้ก็คือ การดูแลเอาใจใส่และการผลักดันของ “ป้าติ๋ม” ศิริพรรณ จันทร์พราหมณ์ ลูกสาวซึ่งปัจจุบันอายุ 73 ปี ที่สละเวลาชีวิตหลังเกษียณเพื่อมาดูแลคุณพ่ออย่างเต็มตัว
จากเพียงแค่ต้องการพาคุณไปออกกำลังกายนอกบ้านเพื่อหวังให้สุขภาพแข็งแรง จนต่อยอดสู่การลงแข่งขันกีฬาสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติและวงศ์ตระกูลได้ในวันนี้ … เรื่องราวของทั้งคู่เป็นอย่างไร ติดตามได้ที่นี่
จุดเริ่มต้นในการออกกำลังกายของคุณตาสว่าง เริ่มขึ้นตอนที่ท่านอายุราว ๆ 90 ปี เมื่อมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียนเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่นอนป่วยติดเตียงอยู่
ภาพที่ได้เห็นทำให้คุณตาเริ่มคิดที่จะหันมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง เพื่อสร้างเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ไม่ให้ตัวเองต้องกลายเป็นผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เพราะไม่อยากจะเป็นภาระให้ลูกหลาน
หลังจากเกษียณจากการเป็นครู คุณตาอาศัยอยู่บ้านที่ อ.แกลง จ.ระยอง โดยใช้เวลาว่างในการทำสวน ปลูกต้นไม้ ก่อนจะต้องสูญเสียภรรยาคู่รักไปตอนอายุ 90 ปี ซึ่งเป็นช่วงไล่เลี่ยกับที่ท่านเริ่มตั้งเป้าที่จะหันมาออกกำลังกายให้มากขึ้น
ตลอดเวลาคุณตาสว่างได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากลูก ๆ ทั้ง 6 คน ซึ่งเจ้าตัวจะอาศัยอยู่กับลูกชายคนเล็กเป็นหลัก ในขณะที่ลูกคนอื่นจะคอยแวะเวียนมาเยี่ยมไม่ขาดสาย โดยเฉพาะโอกาสพิเศษ เช่น วันพ่อ วันสงกรานต์ ทุกคนก็จะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาฉลองห้วงเวลาแห่งความสุขร่วมกัน
อย่างไรก็ตามด้วยภาระหน้าที่ของลูก ๆ ที่บางคนมีภารกิจหน้าที่การงานของตัวเอง บางคนมีครอบครัวที่ต้องดูแล ทำให้แม้จะดูแลคุณตาสว่างเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ค่อยจะมีเวลาได้พาท่านออกไปเที่ยวนอกบ้านมากนัก
กระทั่งเมื่อ “ป้าติ๋ม” ลูกสาวคนกลางเกษียณจากการเป็นครูแล้วเริ่มหันมาลงแข่งกีฬาผู้อาวุโสอย่างจริงจัง
“ป้ากับคุณพ่อจะเจอกันเป็นประจำอยู่แล้วเพราะบ้านอยู่ใกล้กัน พอป้าเริ่มลงแข่งกีฬาอาวุโสก็จะชวนคุณพ่อไปดูด้วย ได้เห็นว่าท่านมีความสุข หน้าตาแจ่มใสเวลาไปเจอคนอื่นรุ่นราวคราวเดียวกัน”
“จึงลองชวนให้ท่านมาลงแข่งด้วยในกีฬาผู้อาวุโสที่ จ.จันทบุรี ปี 2560 ตอนที่คุณพ่ออายุ 97 ปี ซึ่งตอนนั้นท่านก็มีสุขภาพแข็งแรงอยู่แล้วด้วย แต่เราก็บอกท่านว่าถ้าจะลงแข่งก็ต้องซ้อมเพิ่มขึ้นด้วยนะ” ป้าติ๋ม เล่าย้อนความ
ในการฝึกซ้อมระหว่างคุณตาสว่างกับป้าติ๋ม ทุกเช้าทั้งคู่จะมาออกกำลังกายด้วยกันสัปดาห์ละ 5-6 วัน โดยเน้นไปที่การวิ่งสลับเดิน พร้อมเปลี่ยนสถานที่ไม่ให้จำเจ ทั้งตามริมชายหาด สวนสาธารณะ ไปจนถึงสนามกีฬา
“ปัจจัยหลักเลยคือต้องการให้ท่านได้ออกกำลังกายเพื่อให้มีความคล่องตัวในการยืน การเดิน สำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน ที่เหลือก็ซ้อมวิ่งบ้าง ทุ่มน้ำหนักบ้าง ขว้างจักรบ้าง” ป้าติ๋ม เผย
ขณะที่อาหารการกินเน้นอาหารที่ย่อยง่าย ส่วนใหญ่เป็นไข่ต้ม ผัก น้ำพริก และแกงไทยต่าง ๆ อาทิ แกงส้ม แกงเลียง เสริมด้วยผลไม้และโปรตีนชง
เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมมาอย่างเต็มที่ คุณตาสว่างก็สามารถทำผลงานในสนามได้อย่างโดดเด่น โดยเพียงทัวร์นาเมนท์แรกก็กวาดไป 3 เหรียญทอง จากการแข่งขัน วิ่ง 100 เมตร, วิ่ง 200 เมตร และทุ่มน้ำหนัก ที่ทำลายสถิติเอเชีย ในรุ่นอายุ 95-99 ปี ที่ระยะ 5.09 เมตร
นับจากนั้นคุณตาได้ลงแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การแข่งขันกีฬาอาวุโสแห่งชาติ ที่บุรีรัมย์ สตูล พัทลุง และล่าสุดที่ชลบุรี ไปจนถึงแข่งชิงแชมป์โลกที่ประเทศจีน สิงคโปร์ และมาเลเซีย จนสามารถคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันกีฬาผู้สูงอายุมาแล้วมากกว่า 50 เหรียญ
นอกจากความสำเร็จที่ได้รับมาแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือสุขภาพร่างกายของคุณตาที่ยังคงแข็งแรงอยู่ตลอด แม้ในวัย 105 ปีก็ยังไม่มีโรคร้ายคุกคาม มีเพียงโรคโลหิตจางอ่อน ๆ และปัญหาเรื่องการได้ยินเล็กน้อยเท่านั้น
ที่สำคัญยังเป็นคนอารมณ์ดี ไม่เครียด สามารถกินได้ นอนหลับ ขับถ่ายปกติ ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการออกกำลังกายโดยตรง เพราะเมื่อร่างกายเหนื่อยก็ต้องการอาหารและการพักผ่อน ต่างจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่ที่มักมีปัญหากินไม่ได้นอนไม่หลับ เนื่องจากร่างกายไม่ได้ใช้พลังงานในแต่ละวัน
โดยนับจากที่คุณตาสว่างเริ่มแข่งกีฬา ป้าติ๋มก็เข้ามาดูแลทุกเรื่องอย่างเต็มตัวทั้งการออกกำลังกายและการใช้ชิวิตประจำวัน
“หลังจากคุณพ่อลงแข่งกีฬา ป้าก็มาดูแลเต็มตัว เราโสดอยู่คนเดียวไม่มีครอบครัว เลยดูแลคุณพ่อได้เต็มที่ ไม่มีภาระอย่างอื่น”
“สำหรับลูกหลานที่มีผู้สูงวัยอยู่ในบ้าน นอกจากเราจะดูแลเรื่องอาหารการกินแล้ว เราต้องดูแลสภาพจิตใจของท่านด้วย เราต้องรู้ว่าถ้าท่านอยู่บ้านแล้วเหงาเนี่ย เราก็ควรจะพาออกไปไหนบ้าง”
“โดยเฉพาะถ้าได้ไปออกกำลังกาย ท่านจะได้พบคนนั้นคนนี้ได้พูดคุย มีเพื่อน ไม่รู้สึกว่าเป็นคนแก่ที่อยู่คนเดียว”
“คนสูงวัยขนาดนี้เขาไม่มีเพื่อนแล้ว บางทีลูกหลานไปทำงานหรือไปเรียน ก็ต้องอยู่บ้านเหงาคนเดียว แต่ถ้าเราหาเวลาพาท่านออกจากบ้าน ไปออกกำลังกาย หรือไปเที่ยวบ้าง ได้เจอคนนู้นคนนี้เข้ามาทักทาย รู้สึกได้เลยว่าท่านสดชื่นขึ้น” ป้าติ๋ม เผย
ป้าติ๋มกล่าวต่อว่า การดูแลผู้สูงอายุในวัยขนาดนี้ สิ่งสำคัญที่สุดนอกจากการต้องเสียสละเวลา ยังต้องมีความเข้าใจในตัวผู้สูงอายุด้วย
“คนสูงวัยจะดื้อ บางครั้งเราก็อารมณ์เสียนะ บางทีก็โมโห แต่ก็บอกพ่อว่าที่ทำไปก็เพราะอยากให้พ่อแข็งแรง จะได้ออกไปข้างนอกด้วยกันได้”
“ต้องเข้าใจท่าน ต้องใจเย็น มีเหตุผลให้ว่าบางเรื่องมันไม่ดีอย่างไร เพราะบางครั้งท่านก็อยากได้เหตุผลถ้าเราห้ามเขาทำอะไร”
“เราพยายามดูแลท่านอย่างเต็มที่ ถ้าท่านแข็งแรง ดูแลช่วยเหลือตัวเองได้ ลูกหลานก็ยิ่งสบาย ”
“ถึงวันนี้ต้องบอกเลยว่าป้าดีใจและภาคภูมิใจมากที่ดูแลคุณพ่อมาถึงวันนี้”
“ยิ่งเวลาไปแข่งกีฬาแล้วมีคนเข้ามาทักทายมาขอถ่ายรูปหรือให้ความรักความเอ็นดูกับคุณพ่อ มาชมว่าคุณลุงเก่งจังเลย คุณตาเก่งจังเลย เราก็ยิ่งชื่นใจและภาคภูมิใจ” ป้าติ๋ม ทิ้งท้าย