
ญี่ปุ่น คือหนึ่งในชาติชั้นนำของวงการฟุตบอลเอเชีย จากผลงานความสำเร็จของทีมชาติ บนเวทีระดับต่าง ๆ ผ่านเข้ารอบ ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ได้สม่ำเสมอ มีอันดับใน ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง อยู่แถวต้น ๆ ของโลก มีลีกอาชีพที่แข็งแกร่ง และระบบการพัฒนาเยาวชน บุคลากรฟุตบอลที่มีคุณภาพ
เรื่องชุดแข่งของทีมชาติญี่ปุ่นก็เช่นกัน พวกเขามีการพัฒนาดีไซน์ของเสื้อแข่งให้น่าสนใจอยู่หลายครั้ง แต่ที่เห็นภาพชัดที่สุด เป็นที่จดจำของแฟนบอลมากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นช่วงยุค 90s
ก่อนหน้าที่จะเข้าสู่ช่วงปี 1990 ชุดแข่งของทีมชาติญี่ปุ่นนั้น มีการออกแบบที่เรียบง่าย ไม่ได้มีลวดลายที่ซับซ้อน ใช้สี ๆ เดียว เป็นองค์ประกอบหลักของตัวชุด
แต่เมื่อเข้าสู่ปี 1992 ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของระบบฟุตบอลลีกญี่ปุ่น เตรียมก่อตั้ง เจลีก เพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นมืออาชีพ โดยหลายสโมสรที่กำลังจะเข้าร่วม เจลีก ต่างก็มีชุดแข่งที่มีดีไซน์โดดเด่นเฉพาะตัว นั่นจึงทำให้ สมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น หรือ JFA ตัดสินใจที่จะปฏิรูปชุดแข่งของทีมชาติญี่ปุ่นครั้งใหญ่ เพื่อยกระดับให้มีความสวยงามไม่แพ้กับชุดแข่งของบรรดาทีมใน เจลีก
หลังจากที่ใช้ชุดแข่งสีขาว,น้ำเงิน หรือแดง แบบเรียบ ๆ มานานหลายปี JFA ได้ทำการออกแบบชุดแข่งดีไซน์ใหม่ของทีมชาติด้วยตัวเอง พร้อมกับเปิดตัวครั้งแรกในช่วงปลายปี 1992 ด้วยลวดลาย "กอไผ่" สีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ ที่อยู่บนด้านหน้าของเสื้อ ถือเป็นหนึ่งในดีไซน์ที่โดดเด่น และได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่แฟนบอลรวมถึงนักสะสมเสื้อฟุตบอลย้อนยุค
ความพิเศษของชุดแข่งนี้ที่ JFA เป็นคนออกแบบเองก็คือ ทางสมาคมได้ดึงแบรนด์อุปกรณ์กีฬา จำนวน 3 ราย ได้แก่ adidas, PUMA และ Asics ให้เข้ามาเป็นผู้ผลิตชุดแข่งของทีมชาติญี่ปุ่น สลับหมุนเวียนกันในแต่ละปี โดยเริ่มจาก adidas ในปี 1992 ที่พวกเขาเป็นผู้ผลิตชุดแข่งให้กับทีมชาติญี่ปุ่น ลุยศึก เอเชี่ยน คัพ 1992 ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ
จากนั้น PUMA มารับช่วงต่อในปี 1993 ผลิตชุดแข่งลวดลายกอไผ่ ให้กับทีมชาติญี่ปุ่น ลงแข่ง ฟุตบอลโลก 1994 รอบคัดเลือก เข้าสู่ปี 1994 เป็น Asics รับหน้าที่ผลิตชุดแข่งตัวเดิม ให้ทีมชาติใส่ลงแข่ง มหกรรมกีฬา เอเชี่ยน เกมส์ 1994 และวนกลับมาที่ adidas อีกครั้งในปี 1995 ผลิตชุดแข่งจากเมื่อปี 1992 ให้ทีมชาติญี่ปุ่นอีกรอบ
ปี 1996 ทาง JFA ได้ออกแบบและเปิดตัวชุดแข่งใหม่ของทีมชาติญี่ปุ่น ที่กลายเป็นตำนานเสื้อฟุตบอลอันโด่งดังของทีมชาติญี่ปุ่น ในเวลาต่อมา นั่นคือ ชุดแข่งลวดลาย "เปลวไฟ" สีแดงและขาว บนแขนเสื้อสีน้ำเงิน ได้แรงบันดาลใจจากเปลวไฟด้านหลังของเทพเจ้านามว่า "ฟูโด เมียวโอ"
แบรนด์แรกที่ได้เป็นผู้ผลิตชุดแข่งลายเปลวไฟ ให้กับทีมชาติญี่ปุ่น ก็คือ Asics ใส่ลงแข่งใน มหกรรมกีฬา โอลิมปิก 1996 จากนั้นช่วงครึ่งหลังปี 1996 จนถึงต้นปี 1997 เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของ PUMA ส่วน Adidas จะเป็นช่วงครึ่งหลังปี 1997 ถึงต้นปี 1998
Asics กลับมาเป็นผู้ผลิตชุดแข่งลายเปลวไฟ ให้กับทีมชาติญี่ปุ่นอีกครั้ง ในช่วงครึ่งหลังของปี 1998 ซึ่งช่วงเวลานี้มีอีเวนท์ใหญ่อย่าง ฟุตบอลโลก 1998 รอบสุดท้าย พอดี โดยนี่เป็นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย หนแรกที่ ญี่ปุ่น ผ่านเข้าเล่นได้สำเร็จ
นั่นจึงทำให้ชุดแข่งลายเปลวไฟของทีมชาติญี่ปุ่น ที่ผลิตโดย Asics กลายเป็นที่จดจำสำหรับแฟนบอลไปในทันที จากการที่นักเตะ "ซามูไรบลู" สวมใส่ลงแข่งขัน ฟุตบอลโลก 1998
และนับตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา JFA ก็ได้ให้ adidas เป็นแบรนด์เดียว คอยทำหน้าที่ผลิตชุดแข่งฟุตบอลของทีมชาติญี่ปุ่น โดยในปี 2024 ทาง adidas ได้ร่วมมือกับ โยจิ ยามาโมโตะ เจ้าของแบรนด์ Y-3 ออกแบบชุดแข่งใหม่ของทีมชาติญี่ปุ่น ด้วยคอนเซ็ปต์ "เปลวไฟ" ให้ทุกคนได้หวนนึกถึงความทรงจำในยุค 90s กันอีกครั้ง
ส่วนปัจจุบัน ปี 2025 ทีมชาติญี่ปุ่น ได้เปิดตัวชุดแข่งใหม่ ในธีม "ขอบฟ้าแห่งญี่ปุ่น" โดยใช้สีน้ำเงินเข้มเป็นสีหลักของชุด พร้อมกับลวดลายคลึ่นสีฟ้าอ่อน สื่อถึงการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง พลิ้วไหว และความมุ่งมั่นของทีม ในการก้าวข้ามขีดจำกัดต่าง ๆ