Feature

จากฟุตบอลโลกที่รัสเซียถึงสหรัฐอเมริกา : กฎการเข้าสนามของแฟนบอลละเมิดสิทธิประชาชนหรือไม่ ? | Main Stand

หากการให้ข้อมูลเพื่อเข้าชมเกมการแข่งขันในซีเกมส์ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล คุณอยากรู้ไหมว่าในรายการที่ใหญ่กว่าอย่างฟุตบอลโลก เขาจัดการตรวจสอบแฟนบอลที่จะเข้าชมเกม เพื่อความปลอดภัยในสนามอย่างไร ? 

 


จากฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย เป็นเจ้าภาพ และฟุตบอลโลก 2026 ที่กำลังจะมาถึงซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็น 1 ในเจ้าภาพ พวกเขามีมาตรการแบบไหนในเรื่องนี้

ติดตามกับ Main Stand

 

ซื้อแค่ตั๋วยังไม่พอ

เมื่อเป็นทัวร์นาเมนต์ใหญ่ระดับโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งรายการที่เป็นมาตรฐานอย่างฟุตบอลโลก สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับฝ่ายจัดอาจจะไม่ใช่เรื่องของยอดการขายตั๋วเข้าชมเสมอไป เพราะสิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วย คือการดูแลความปลอดภัยของผู้ชม นักเตะ เจ้าหน้าที่ และประชากรโดยรอบเป็นเรื่องใหญ่

การซื้อตั๋วในแต่ละครั้งมักมีการตรวจสอบตัวบุคคล และสิทธิ์ในการเข้าชม ทำให้ลดโอกาสคนที่ไม่มีสิทธิ์แฝงตัวเข้ามา เช่น ผู้ก่อเหตุรุนแรง แฟนบอลหัวโจก หรือนักพนันผิดกฎหมาย

ในบางรายการไม่ใช่แค่การถือตั๋วเข้ามาชมการแข่งขันเท่านั้น เพราะแฟน ๆ ต้องได้รับการออกเอกสารพิเศษเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลส่วนบุคคล (เช่น ชื่อ-สกุล หรือพาสสปอร์ต) สิ่งนี้ทำเชื่อมโยงไปกับตั๋ว และระบบความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ เพื่อท้ายที่สุดแล้ว หากเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ จะสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ 

กล่าวคือ การซื้อแค่ตั๋วถือเป็นสิทธิ์ชมการแข่งขันแต่ยังไม่ใช่สิทธิ์เข้าสนามจริง ต้องผ่านการยืนยันตัวตน และตรวจสอบความปลอดภัยควบคู่ไปด้วย ด้วยเหตุนี้ กระบวนการเชิง "ตรวจสอบ + คัดกรอง" จึงกลายเป็นมาตรฐานสำหรับงานกีฬาใหญ่ทั่วโลก และเพื่อให้เห็นภาพชัดที่สุด เราจะเจาะลึกไปยัง 2 ประเทศที่เป็น "พี่ใหญ่" ของโลกเสรีนิยมอย่าง สหรัฐอเมริกา และพี่ใหญ่ของโลกคอมมิวนิสต์อย่างรัสเซีย ว่าเมื่อพวกเขาต้องจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2 ประเทศที่มีทั่วโลกจับตามีวิธีการรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ?

 

บอลโลก 2018 ที่รัสเซีย และข้อถกเถียงเรื่องสิทธิ

เมื่อรัสเซียเป็นเจ้าภาพบอลโลก 2018 พวกเขานำระบบ FAN ID มาใช้เป็นข้อบังคับ ผู้ชมทุกคนทั้งชาวรัสเซียและต่างชาติ ที่จะเข้าสนามต้องมี Fan ID + ตั๋วแมตช์ คู่กัน

Fan ID ที่ฝ่ายจัดออกให้แฟนบอลนั้น ไม่เพียงแค่ยืนยันสิทธิชมเกม แต่ยังทำหน้าที่เหมือน "วีซ่าชั่วคราว" สำหรับแฟนบอลต่างชาติ Fan ID อนุญาตให้เข้ารัสเซียโดยไม่ต้องขอวีซ่าในช่วงระยะเวลาหนึ่ง คือ ช่วงก่อนถึงหลังทัวร์นาเมนต์จบ พร้อมได้สิทธิ์ต่าง ๆ เช่น การขึ้นรถเมล์ฟรีในพื้นที่ ๆ มีการแข่งขัน เป็นต้น 

สิ่งที่แฟนบอลต้องกรอกเข้าไปในเอกสารเพื่อทำ FAN ID ประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ, วันเกิด, หมายเลขหนังสือเดินทาง, ที่อยู่, อีเมล เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเลห่านี้จะถูกเก็บเข้าไปในระบบของภาครัฐเพื่อใช้ตรวจสอบหากจำเป็น

นอกจากนั้น ต่อให้เข้าไปชมเกมในสนามได้แล้ว ทางรัสเซีย ก็สร้างมาตรฐานในการเฝ้าระวังอีกขั้น โดยในหลายสนามยังมีมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มข้น เช่น การใช้ CCTV, ระบบวิเคราะห์พฤติกรรม, การตรวจคัดกรองสัมภาระ, และในบางกรณีมีรายงานว่ามีการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้า (facial recognition) เพื่อคัดกรองบุคคลที่อาจถือว่ามีความเสี่ยงในการสร้างปัญหา 

ความเข้มข้นนี้ทำให้เกิดความกังวลของแฟนบอล หรือแม้กระทั่งสื่อจากต่างประเทศ เพราะการต้องให้ข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ ให้ทางรัฐบาลของรัสเซียเก็บเอาไว้ ทำให้เกิดคำถามเรื่อง privacy หรือความเป็นส่วนตัวของประชาชน เช่น มีใครจะนำข้อมูลไปใช้ในทางอื่นนอกจากการคัดกรองเข้าระบบความปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งเราไม่สามารถตรวจสอบเองได้เลย

แต่ถึงแม้จะวางมาตรการที่เข้มข้น แต่ปัญหาก็ยังเกิดเพราะสำนักข่าวอย่าง Euronews ได้นำเสนอข้อมูลว่า ต่อให้ฝ่ายจัดจะมีการทำแบล็กลิสต์ (บัญชีดำจดชื่อคนที่มีปัญหา) แต่ก็ยังมีช่องโหว่ในระบบที่ทำให้คนที่มีชื่ออยู่ในแบล็กลิสต์ แต่ยังสามารถเข้าสนามได้และได้รับ FAN ID ได้ 

เรื่องนี้ทำให้แฟนบอลบางคนมองว่าหากจะคัดกรองก็ควรทำให้จริงจัง กล่าวคือถ้าออกกติกาให้มี Fan ID แล้ว แต่ไม่ตรวจสอบจริงจัง ก็เหมือนเป็นแค่พิธีกรรมเชิงกฎหมาย ไม่ได้แก้ปัญหาความรุนแรงอย่างแท้จริง ซึ่งทำให้ทางรัสเซีย ต้องออกมาแก้ไขให้เข้มข้นกว่าเดิมในช่วงท้าย ๆ ของการแข่งขัน ซึ่งท้ายที่สุด ปัญหาที่พวกเขากังวล อย่างการตะลุมบอนกันบนอัฒจันทร์ไม่เกิดขึ้นอีกเลย 

แม้จะมีข้อกังวลเรื่องสิทธิส่วนบุคคล, ความเป็นส่วนตัว และความอยุติธรรมในการบังคับใช้กฎ แต่ท้ายที่สุดแล้ว การยกระดับความเข้มข้นของกฎ และการคำนึงถึงความปลอยภัยเหนือยอดขายตั๋ว ทำให้รัสเซียผ่านฟุตบอลโลก 2018 มาได้อย่างราบรื่นในระดับที่ฝ่ายจัดประเมินตัวเองว่าพวกเขาได้ถึง 9 เต็ม 10 สำหรับคะแนนความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินระหว่างการแข่งขันเลยทีเดียว 

 

"บอลโลก 2026 ที่อเมริกา–เม็กซิโก–แคนาดา" 

สำหรับ 2026 FIFA World Cup ซึ่งจะจัดใน 3 ประเทศ (สหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก และแคนาดา) และเป็นครั้งแรกที่มี 48 ทีมเข้าร่วม มีสเกลใหญ่และความซับซ้อนสูง ทีมจัดงาน และรัฐบาลเจ้าภาพประกาศแนวทางด้านความปลอดภัย ด้วยการคำนึงทั้งการตรวจสอบคนดู และการอำนวยความสะดวกแก่แฟนบอลอย่างเป็นระบบ

มาตรการด้านความปลอดภัย มีเพิ่มขึ้นมามากมาย เช่น ทุกสนามต้องมี กำแพง-รั้ว เพื่อเป็นแนวกั้นเข้าออกในสนามสำหรับคนดูอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มจุดคัดกรองเรื่องของตั๋ว เอกสารทั้งหมดที่ต้องใช้เพื่อให้เข้าสนามได้ และยังมีมาตรการตรวจสอบเพิ่มเติม ทั้งระบบกล้องวงจรปิด และเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยแบบรวมศูนย์ ได้รับการวางแผนให้ติดตั้ง เพื่อมอนิเตอร์ภาพรวมของ ฝูงชน, ทางเข้าออก, บริเวณจอดรถ, ทางเดินในสนาม และโซนสาธารณะโดยรอบแบบเรียลไทม์ เพื่อเตรียมรับมือเหตุฉุกเฉิน และป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงได้อย่างรวดเร็ว

การแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 โดยเฉพาะแมตช์ที่แข่งขันในสหรัฐอเมริกานั้น ไม่ได้มีมาตรการตรวจสอบชื่อ-สกุล หรือเลขพาสปอร์ต เพื่อทำ FAN ID ในเวลานี้ แบบที่รัสเซียทำ ซึ่งคาดกันว่า ก่อนการแข่งขันจะเริ่ม 6 เดือน จะมีการประกาศยืนยันเรื่องมาตรการความปลอดภัยด้านการตรวจสอบแฟน ๆ ที่เข้าสนามอีกครั้ง 

สิ่งที่พวกเขาประกาศในตอนนี้ คือเรื่องของ Visa ในการเดินทางเข้าประเทศ ที่บอกว่าในกรณีของแฟนบอลจากประเทศที่อยู่ภายใต้ Visa Waiver Program (VWP) สามารถเข้ามาอยู่ในประเทศได้ 90 วัน  

ส่วนประเทศที่ต้องขอ Visa นั้น ตอนนี้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ มีการเตรียมระบบล่วงหน้า เพื่อรองรับแฟนบอลจากทั่วโลก เพื่อให้การอนุมัติไม่ล่าช้าเกินไป สำหรับผู้ที่มีตั๋วการแข่งขันและเอกสารครบถ้วน ซึ่งในส่วนนี้แฟนบอลที่จะเข้าชมต้องสมัครล่วงหน้า 3-6 เดือน ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รวมถึงสามารถไล่ตรวจสอบได้ หากเกิดเหตุการณ์ลักษณะนั้นขึ้นจริง ๆ 

ในฐานะแฟนบอล และคนที่มองฟุตบอลไม่ใช่แค่กีฬา แต่เป็น "ปรากฏการณ์สังคม" เชื่อว่า การคัดกรองแฟนบอลมีเหตุผล และจำเป็น เมื่อเป็นทัวร์นาเมนต์ขนาดใหญ่ เพราะความปลอดภัยของผู้ชม นักเตะ และชุมชนโดยรอบควรมาก่อน โดยเฉพาะเมื่อมีแฟนบอลจากหลายประเทศ หลากวัฒนธรรม และมีโอกาสเกิดปัญหาได้เสมอ

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ฝ่ายจัดควรคำนึงถึงคือ การจัดการที่ดีและโปร่งใส ถ้าเจ้าภาพ และองค์กรที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญเรื่อง Data Privacy, การกำหนดชัดเจนว่าข้อมูลถูกใช้เพื่ออะไร และระยะเวลาเก็บไว้เท่าไร จะช่วยลดความเสี่ยง และสร้างความไว้ใจให้แฟนบอล

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรรักษาไว้เสมอคือ "ความเป็นมนุษย์" ไม่ควรมองแฟนบอลเป็น "ผู้ถูกสงสัยโดยอัตโนมัติ" ทุกคน แค่เพราะพวกเขาขอเข้าชมเกม เช่นเดียวกับแฟนบอล ก็ต้องมองย้อนกลับมาที่ตัวเองด้วย หากพวกเขามีเจตนาที่ดีและโปร่งใสจริง การยืนยันชื่อ-นามสกุล ก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงที่จะเข้าไปชมเกมฟุตบอลที่พวกเขารอคอย 

 

แหล่งอ้างอิง : 

https://inside.fifa.com/official-documents
https://th.y-axis.com/news/russian-president-putin-gives-visa-free/
https://www.financialexpress.com/sports/fifa-world-cup-2018-fan-ids-in-russia-lead-to-aadhaar-like-concerns-over-privacy/1232084/
https://www.euronews.com/2018/05/25/exclusive-blacklisted-fan-bypasses-russias-world-cup-security-system?
http://scribd.com/document/678674063/2026-FWC-Hosting-Requirements-Initial-Version-FINAL-1

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ