หลังจากที่เมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณ 40,000 ล้านบาท ให้ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน Formula 1 ระหว่างปี 2028-2032 โดยจะจัดในรูปแบบ Street Circuit ที่กรุงเทพฯ โดยเส้นทางที่จะใช้เป็นเรซในการแข่งขัน คาดการณ์ว่าจะครอบคลุมพื้นที่จากสวนจตุจักรไปจนถึงสถานีกลางบางซื่อ รวมถึงสวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ตลาดนัดจตุจักร สำนักงานใหญ่ ปตท. และการรถไฟแห่งประเทศไทย
หลังจากที่ข่าวนี้ออกไป ก็ได้มีประชาชนจำนวนมากออกมาแสดงความคิดเห็น ซึ่ง คุณสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เข้าไปตอบคอมเมนต์ด้วยตนเอง ในเพจ MOTOGPThailandfanclub ถึงประเด็นข้อคำถามต่างๆที่ประชาชนสงสัยว่า
"นี่คือเหตุผลที่ทำไมต้องเป็น street circuit ที่มาเลเซียไม่ประสบความสำเร็จ เพราะสนามเซปังอยู่ไกลจากตัวเมือง KL จึงไม่สามารถสร้างเศรษฐกิจได้อย่างที่หวัง ในส่วนของ business model ต้องมีการศึกษาเป็นขั้นตอน"
ซึ่ง Main Stand จะมาถอดรหัสคำตอบ จากคอมเมนต์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในแต่ละหัวข้อว่า เหตุผลที่ทำไมประเทศไทยต้องจัด Street Circuit และเราได้เรียนรู้อะไรจากกรณีศึกษาของสนามเซปัง เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย บ้าง?
ทำไมต้องเป็น Street Circuit
การเลือก Street Circuit สำหรับ F1 ในไทยมีเหตุผลหลักจากประสบการณ์และข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับข้อจำกัดของสนามถาวรที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากเมือง ข้อได้เปรียบด้านกาอย่างเซปัง ในเรื่องของการเข้าถึงและความสะดวกที่ดีกว่า โดยจากข้อมูลจากการศึกษาต่างๆ แสดงให้เห็นว่าสนามในเมืองดึงดูดผู้ชมได้มากกว่า 3-5 เท่าเมื่อเทียบกับสนามนอกเมือง เนื่องจากผู้คนสามารถใช้ระบบขนส่งมวลชนที่มีอยู่แล้ว เช่น รถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิท รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน และระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกับย่านจตุจักร
แน่นอนว่าในเรื่องความสะดวกในการเดินทาง พื้นที่จตุจักรเป็นจุดเชื่อมต่อคมนาคมที่สำคัญของกรุงเทพฯ มีสถานีขนส่งหมอชิต 2 สถานีกลางบางซื่อ และเชื่อมต่อกับสนามบินดอนเมืองที่อยู่ใกล้เคียง โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางจากสนามบินมาถึงสนามแข่งได้โดยไม่ยุ่งยาก
ในด้านของการกระจายรายได้สู่เศรษฐกิจท้องถิ่น การแข่งขันแบบ Street Circuit ทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่กว้างขวาง ธุรกิจในรัศมีกว้างได้รับประโยชน์โดยตรง ไม่เพียงแต่โรงแรมและร้านอาหารเท่านั้น แต่รวมถึงธุรกิจ SME ร้านค้าปลีก ร้านขายของที่ระลึก บริการขนส่ง และแม้กระทั่งธุรกิจบริการต่างๆ ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง
ในด้านการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน นักท่องเที่ยวที่มาชม F1 จะไม่เพียงแต่ใช้จ่ายในวันแข่งขัน แต่ยังมีแนวโน้มที่จะเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง เช่น ตลาดนัดจตุจักร สวนสาธารณะต่างๆ และแหล่งช้อปปิ้งในย่านใกล้เคียง ทำให้เกิดการใช้จ่ายต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่พำนักในไทย อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าที่ดิน ซึ่งการจัด F1 ในพื้นที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณใกล้เคียง และกระตุ้นการพัฒนาโครงการต่างๆ ในอนาคต
ในด้านข้อได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ มีความยืดหยุ่นในการจัดการ Street Circuit สามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางได้ตามความเหมาะสม และไม่ต้องลงทุนในสนามถาวรที่อาจกลายเป็น "white elephant" หากไม่สามารถดำเนินการต่อได้ อีกทั้งยังการลดความเสี่ยงทางการเงิน ไม่ต้องลงทุนในการสร้างสนามถาวรที่มีต้นทุนสูง และหากโครงการไม่ประสบความสำเร็จ พื้นที่สามารถกลับมาใช้งานตามปกติได้ทันที
กรณีศึกษา เซปัง เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย
กรณีศึกษาในเรื่องค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นแต่รายได้ลดลง มาเลเซียต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการจัดสูงถึง 300 ล้านริงกิต (ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท) ต่อปี แต่ยอดขายตั๋วปี 2017 มีผู้ชมเพียง 45,000 คนต่อวัน ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 126,000 คนในปี 2008 ที่เป็นจุดสูงสุด เหลือเพียง 80,000 คนในปี 2016 ทำให้มีการการขาดทุนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากรายได้ตั๋ว และสปอนเซอร์ที่ไม่เพียงพอต่อการครอบคลุมค่าใช้จ่าย ทำให้รัฐบาลมาเลเซียต้องอุดหนุนเงินเพิ่มเติมทุกปี โดยไม่เห็นแสงสว่างของการคืนทุน
อีกทั้งการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้มาเลเซียล้มเหลวในเรื่องการจัดการแข่งขัน โดยการที่สิงคโปร์และมาเลเซียจัดแข่งขันห่างกันเพียง 2 สัปดาห์ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่เลือกสิงคโปร์ที่มีความสะดวกสบายมากกว่า มีกิจกรรมครบวงจร และมีการเข้าถึงที่ง่ายกว่า ส่งผลให้การตลาดนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศของมาเลเซียไม่ประสบความสำเร็จในการจัด F1
นอกจากนี้ มาเลเซียยังต้องเผชิญกับปัญหาการบริหารจัดการและความสัมพันธ์ ที่มาจากความขัดแย้งกับ Formula One Management (FOM) เนื่องจากเกิดปัญหาการสื่อสารและความร่วมมือระหว่าง Sepang International Circuit กับ FOM เรื่องการควบคุมการตลาด รายได้ และการบริหารจัดการต่างๆ โดย FOM มีการควบคุมที่เข้มงวดและไม่ยืดหยุ่น ทำให้เกิดบรรยากาศเชิงลบ (Negative Ambiance) โดยมีรายงานจากผู้เข้าร่วมงานและสื่อมวลชนว่าในปีสุดท้ายที่จัดงาน เกิดบรรยากาศเชิงลบขึ้น ทั้งจาก Formula One Management, ทีมบริหาร SIC และทีม F1 ต่างๆ ต่างมีข้อร้องเรียนต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย การบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก และการขาดความร่วมมือ
ซึ่งยังไม่นับรวมการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ ที่มาจากปัญหาการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ทำให้การแก้ไขปัญหาไม่ทันท่วงที และส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมงาน , สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทรุดโทรม , ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน , ปัญหาการให้บริการ และการควบคุมพื้นที่การค้าโดย FOM มีการควบคุมราคาเช่าพื้นที่การค้าภายในสนาม ทำให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นหลายรายจ่ายค่าเช่าไม่ไหว ส่งผลให้มีร้านค้าเปิดบริการน้อยลง
จนนำไปสู่ผลกระทบระยะยาวและการตัดสินใจยุติสัญญา ในที่สุดมาเลเซีย ตัดสินใจไม่ต่อสัญญาหลังปี 2017 เนื่องจากไม่สามารถเรียกศักยภาพการแข่งขัน F1 ได้ด้วยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและรายได้ที่ลดลง โดยสิ่งเหล่านี้จะเป็นบทเรียนสำคัญที่ไทยควรศึกษา
แง่มุมของ Business Model ที่ต้องมีการศึกษาเป็นขั้นตอน
ตามที่ท่านรัฐมนตรีสรวงศ์ กล่าวว่า "ในส่วนของ business model ต้องมีการศึกษาเป็นขั้นตอน" นั่นเป็นเพราะการจัด F1 เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องการการวางแผนอย่างรอบคอบและมีการบริหารจัดการที่ซับซ้อน ซึ่งหากทำได้ก็จะเกิดโครงสร้างรายได้ที่หลากหลาย ทั้งที่มาจากค่าตั๋วเข้าชม ยกตัวอย่าง รายได้หลักจากการขายบัตรเข้าชมในระดับราคาต่างๆ ตั้งแต่ตั๋ว walk-around ราคาประมาณ 5,000-8,000 บาท ไปจนถึงตั๋ว premium ราคาหลักหมื่นบาทต่อคน และแพ็กเกจ hospitality ที่สามารถมีราคาสูงถึง 200,000-300,000 บาทต่อคนสำหรับแพ็กเกจ VIP ระดับสูง
นอกจากนี้ในมุมของสปอนเซอร์และสิทธิ์การตั้งชื่อ จะมีการหาพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในระดับ title sponsor ที่อาจจ่ายค่าสปอนเซอร์ 300-500 ล้านบาทต่อปี และ official partner หลายรายที่รวมกันอาจสร้างรายได้ได้อีก 500-800 ล้านบาทต่อปี ทั้งยังก่อให้เกิดรายได้จากกิจกรรมคู่ขนาน การจัดคอนเสิร์ตศิลปินระดับโลก งานแสดงแฟชั่น งานแสดงเทคโนโลยี และกิจกรรมไลฟ์สไตล์ต่างๆ ที่สามารถสร้างรายได้เพิ่มเติมและดึงดูดกลุ่มผู้ชมที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังไม่รวมส่วนของรายได้จากการขายสินค้าและบริการ ร้านอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าที่ระลึก merchandise ของทีมต่างๆ และบริการอื่นๆ ที่จะเกิดมูลค่าขึ้นอีกภายในงาน
ด้านการศึกษาความเป็นไปได้อย่างครอบคลุม
มีการตั้งคณะทำงานหรือคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อศึกษา feasibility study ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการเงิน มีการศึกษาสถานที่และเส้นทางและเปรียบเทียบทำเลที่ตั้งต่างๆ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกพื้นที่จตุจักรเป็นสถานที่จัดงาน โดยพิจารณาจากความสะดวกในการเข้าถึง โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ และผลกระทบต่อชุมชน
รวมถึงคณะทำงานได้มีการประเมินผลกระทบ ศึกษาผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงมาตรการในการลดผลกระทบเชิงลบและเพิ่มประโยชน์เชิงบวก และประสานงานร่วมกับ Formula One Group ในการเจรจาเงื่อนไขขั้นต้น มีการเจรจาเงื่อนไขและข้อตกลงต่างๆ ทั้งเรื่องลิขสิทธิ์ รูปแบบการแข่งขัน การประชาสัมพันธ์ และเงื่อนไขทางการเงิน
ด้านการบูรณาการแนวคิด "Sustainable F1" ไทยได้เสนอแนวคิดการจัด F1 ที่เน้นความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของ F1 ในยุคปัจจุบันที่เน้น ESG และ Net Zero Carbon และยังมีการเสนอให้ไทยเป็น 1 ใน 24 สนามในปฏิทิน F1 อย่างเป็นทางการ และการเจรจาช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการจัดงาน
ด้านการบูรณาการหน่วยงานและการเตรียมความพร้อม มีการประสานงานระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังมีการทำงานร่วมกับกรุงเทพมหานคร เนื่องจากการจัดงานในพื้นที่กรุงเทพฯ จึงต้องมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับทาง กทม. ในเรื่องการปิดถนน การจัดการจราจร และการให้บริการต่างๆ เช่นเดียวกับการประสานงานกับภาคเอกชนที่จะเป็นพันธมิตรในโครงการ ทั้งในส่วนของการลงทุน การให้บริการ และการสนับสนุนต่างๆ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะต้องมีการสื่อสารและสร้างการยอมรับ ให้เกิดภาพการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจในสังคมถึงประโยชน์และความสำคัญของการจัด F1 เพื่อให้เกิดการสนับสนุนจากประชาชนและภาคธุรกิจ โดยจะต้องมีการเตรียมการรับฟังความคิดเห็น ตามเงื่อนไข MOU กับ F1 ซึ่งรัฐบาลไทยจะต้องทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากประชาชนด้วย
การผลักดันนโยบายไปสู่การเสนอจัด F1
กระบวนการนโยบายที่นำไปสู่การอนุมัติ F1 ในไทยแสดงให้เห็นถึงการวางแผนและการดำเนินการที่เป็นระบบและรอบคอบโดยแนวคิดของการจัดแข่ง F1 ในประเทศไทยนี้ ริเริ่มมาในสมัยรัฐบาลนายกเศรษา ทวีสิน ที่มีความพยายามในการจัด F1 ในไทย โดยมีเป้าหมายจัดในปี 2027 แต่เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล โครงการนี้ได้รับการพัฒนาต่อยอด จากการการยืนยันเจตจำนงของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร และรัฐมนตรีสรวงศ์ เทียนทอง ที่ได้เดินทางไปพบปะกับ Stefano Domenicali ประธาน Formula One Group ที่งาน Monaco Grand Prix แสดงความตั้งใจอย่างเป็นทางการและต่อเนื่อง
ซึ่งการที่คนในระดับรัฐบาลไทยได้มีการพูดคุยกับผู้บริหาร F1 ถือเป็นสัญญาณบวกของความจริงจังในระดับสูงสุดและช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของ Formula One Group จนนำมาสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีและกระบวนการอนุมัติหลักการครั้งแรก ในวันที่ 23 เมษายน ปีที่แล้ว คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการให้ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาอย่างละเอียด
จนได้มีการนำเสนอผลการศึกษา เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยรัฐมนตรี สรวงศ์ เทียนทอง นำเสนอผลการศึกษาความเป็นไปได้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อขออนุมัติในหลักการ และได้รับการอนุมัติงบประมาณขั้นสุดท้าย เมื่อวานที่ผ่านมา (17 มิ.ย.) โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ F1 พร้อมอนุมัติกรอบงบประมาณ 40,000 ล้านบาทสำหรับ 5 ปี (2028-2032) และอนุมัติงบเร่งด่วน 218 ล้านบาทสำหรับการออกแบบสนาม
ด้านศักยภาพของประเทศไทยในการจัด F1
ประเทศไทยมีจุดแข็งเฉพาะตัวที่สามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในภูมิภาค โดยเฉพาะแนวคิด "Sea, Sand, Sun" ที่เป็นจุดขายหลักของการท่องเที่ยวไทยและสามารถนำมาใช้สร้างเอกลักษณ์ให้กับ F1 ไทยได้ จากประสบการณ์ท่องเที่ยวที่หลากหลายและครบวงจรเหนือคู่แข่งในย่านนี้ ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวเลือกมาที่ประเทศไทย โดยอาศัยชิงความได้เปรียบด้านสภาพอากาศและฤดูกาล โดยจะต้องมีการศึกษาในการเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการจัดงาน โดยช่วงที่คาดว่าจะจัดงาน F1 (ราวเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม) เป็นช่วงฤดูหนาวที่มีอากาศเย็นสบาย เป็นช่วงท่องเที่ยวสูงสุดของชาวต่างชาติ
สิ่งเหล่านี้เป็นข้อได้เปรียบในการสร้างโอกาสขยายตลาดและสร้างรายได้ ไปจนถึงการต่อยอดการท่องเที่ยวในหลายจังหวัด โดยนักท่องเที่ยวที่มาชม F1 ในกรุงเทพฯ สามารถต่อยอดทริปไปยังจังหวัดชายหาดต่างๆ ได้อย่างสะดวก ทำให้เกิดการกระจายรายได้ไปยังพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ ไม่ใช่เฉพาะกรุงเทพฯ เท่านั้น และยังเพิ่มระยะเวลาพำนักที่ยาวขึ้นเป็น Long Destination มีจุดดึงดูดที่หลากหลายจะช่วยให้นักท่องเที่ยวขยายระยะเวลาพำนักในไทยจาก 3-4 วันเป็น 7-10 วัน หรือมากกว่า ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยอาจเกิดขึ้นได้จากการสร้างแพ็กเกจท่องเที่ยวเชิงบูรณาการในธุรกิจท่องเที่ยว เช่น F1 + ชายหาด + วัฒนธรรม + อาหาร ให้ได้ในการเดินทางครั้งเดียว ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มและความพึงพอใจสูงให้กับนักท่องเที่ยว ที่ทางคณะทำงานจะต้องมีการศึกษาต่อ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความคุ้มค่าของการลงทุนใน F1 ของประเทศไทย
ความสำเร็จของ F1 ในไทยขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการปัจจัยสำคัญหลายประการที่ต้องทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งหากทำได้ตามกรณีศึกษาอย่างสิงคโปร์ จะเกิดประโยชน์ในหลายมิติ ทั้ง เกิดการพัฒนาพื้นที่-แหล่งท่องเที่ยว เกิดการจ้างงาน และเกิดการลงทุนจากต่างชาติ ที่จะสร้างเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลที่จะเข้าสู่ประเทศไทย
ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า หากประเทศไทย เป็นเจ้าภาพ F1 แล้ว จะคุ้มค่าจริงหรือไม่? แต่ ณ ตอนนี้เรามีข้อได้เปรียบที่สามารถศึกษาได้จากความสำเร็จของสิงคโปร์ มีโมเดลที่ควรเรียนรู้ การเลือกใช้ Street Circuit ที่อยู่ใจกลางเมือง การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ การสร้างประสบการณ์ครบวงจร และการมีส่วนร่วมของชุมชน ทำให้สามารถสร้างรายได้กว่า 1.5 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ในตลอดช่วง 15 ปีที่ผ่านมา รวมถึงกรณีศึกษาจากความล้มเหลวของมาเลเซีย ในเรื่องข้อผิดพลาดที่ต้องหลีกเลี่ยง ประสบการณ์ของสนามเซปัง เซอร์กิต แสดงให้เห็นว่าการมีสนามที่ทันสมัยและมีมาตรฐานสากลเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากขาดการเข้าถึงที่สะดวก การสนับสนุนจากชุมชน การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่น
เหนือสิ่งอื่นใด ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบเฉพาะที่ไม่มีใครเหมือน ในเรื่อง "Sea, Sand, Sun" เป็นจุดขายที่แตกต่าง ที่จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ที่จะสามารถสร้างรายได้โดยตรง 7,000-10,000 ล้านบาทต่อปี จากการแข่งขันและการท่องเที่ยวเกี่ยวเนื่อง รวมถึงเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นมากกว่า 8,000 ตำแหน่งต่อปี ซึ่งจะก่อให้เกิดการกระตุ้น GDP ประมาณ 0.04% ต่อปี โดยยังไม่นับรวมการสร้างมูลค่าที่ไม่สามารถคำนวณได้ ในด้านการยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศ การพัฒนาทักษะบุคลากร การกระตุ้นอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง และการสร้างโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นในอีกหลายมิติ