Feature

แฟรงค์เฟิร์ต : ราชา "ปั้นแล้วขาย" กับทีมแมวมองตาคมที่สุดในเยอรมัน | Main Stand

เมื่อ อูโก้ เอกิติเก้ มีข่าวจะย้ายทีมด้วยค่าตัวใกล้ ๆ 100 ล้านยูโร เราจึงได้พบว่า ช่วง 6 ปีหลังสุด ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต คือทีมที่ทำกำไรมหาศาลจากนักเตะที่พวกเขาใช้วิธี "ซื้อมา-ขายไป" ในแบบ "ซื้อถูก-ขายแพง" 

 

นักเตะดาวรุ่งที่พวกเขาซุ่มคว้าตัวมาร่วมทีม มาจากแทบทุกมุมโลก ทั้งชาติใหญ่ ๆ ในทวีปยุโรป, ยุโรปตะวันออก, อเมริกาใต้, อเมริกากลาง หรือแม้แต่แอฟริกา ซึ่งเด็ก ๆ เหล่านี้ทำเงินให้พวกเขาไปแล้วกว่า 400 ล้านยูโรในช่วงเวลาสั้น ๆ และทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน 

Main Stand จะพาคุณไม่รู้จักกับปรัชญาของสโมสรแห่งนี้ที่เปลี่ยนตัวเองได้ทันยุค จนได้รับการยกย่องว่า "ทีมแมวมองที่ตาคมที่สุดในเยอรมัน" 

พวกเขามีวิธีเฟ้นหาดาวรุ่ง และปั้นเด็ก ๆ เหล่านี้ให้กลายเป็นสินค้ามูลค่าขึ้นห้างได้อย่างไร ? ติดตามที่นี่ 

 

เดิมทีไม่ใช่แบบนี้ 

ไม่ต้องย้อนกลับไปไกลยันประวัติศาสตร์สโมสร แต่เอาเป็นว่าเมื่อปี 2016 ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต เป็นสโมสรที่มีรายได้ต่อปี (ไม่หักค่าใช้จ่าย) อยู่ที่ 109.30 ล้านยูโร ... ทว่าล่าสุดในปี 2024 พวกเขามีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 390.5 ล้านยูโร 

นี่คือการสร้างรายรับแบบก้าวกระโดด ที่เริ่มต้นจากการกลับมาสำรวจตัวเองและวิเคราะห์สิ่งที่เห็นอย่างชัดแจ้งว่า "เวทีไหนที่เป็นเวทีการแข่งขันที่เหมาะกับตัวเองที่สุด ?" 

แน่นอนว่ารายรับนี้เพิ่มขึ้นจากความแข็งแกร่งของลีกที่สามารถขายลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดได้มากขึ้น แต่สำหรับแฟรงค์เฟิร์ตนั้น เหนือสิ่งอื่นใดคือนโยบายการซื้อขายของพวกเขา มีส่วนมากกว่าที่ทำให้ทีมเดินทางมาถึงจุดนี้ 

"หากคุณอยากจะเป็นทีมในระดับที่เล่นในฟุตบอลยุโรปต่อเนื่อง สิ่งที่คุณจะต้องหาไม่ใช่เงิน แต่มันคือรายได้ที่เพิ่มขึ้น ... ดังนั้นเราจึงเปิดหาแหล่งรายได้ใหม่ ๆ ที่สามารถทำได้อย่างถาวร" อักเซล เฮลล์มันน์ CEO ของ แฟรงค์เฟิร์ต กล่าวเริ่ม 

แฟรงค์เฟิร์ต ทบทวนตัวเองตั้งแต่คำถามเบสิกที่สุด "แฟนบอลของพวกเราคือใคร ?" พวกเขาย้อนกลับมาดูพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เป็นแฟนบอลของตัวเอง และมองเห็นปัญหามากมายที่เกิดกับแฟนบอลผู้ที่จะเป็นคนสร้างรายได้ให้กับพวกเขา และเมื่อพวกเขาพบปัญหา พวกเขาก็เริ่มตัดสินใจแก้มันในทันที โดยใช้แนวคิด "นับ 1 ให้เร็วที่สุด" 

"แต่ก่อนแผนกต่าง ๆ ของเราแยกออกจากกัน ทีมมีเดีย ทีมโปรดักต์สโมสร ทีมงานขายตั๋ว ต่างคนต่างทำ ซึ่งเราไม่มีระบบดิจิทัลที่เชื่อมโยงทุกอย่างเข้าหากัน เอาง่าย ๆ แค่มีแฟนบอลสักคนโทรมาที่แผนกขายตั๋วและบอกว่าเขาต้องการต่อสัญญาตั๋วปี เราอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นสมาชิกมากี่ปีแล้ว ... การไม่รู้จักแฟนบอลนี่แหละที่เป็นหายนะ" ซีอีโอของทีมว่าต่อ

ทำไมพวกเขาต้องพัฒนาระดับทั้งองคาพยพ ? เหตุผลง่าย ๆ ก็เพื่อให้พวกเขาสร้างรับจากการขายตั๋ว ขายสินค้าที่ระลึก หรือการทำสื่อของสโมสรมากขึ้น และเมื่อรายได้ส่วนนี้มากขึ้น พวกเขาจะสามารถโยกเอามาเป็นต้นทุนในตลาดซื้อ-ขาย ที่เป็นเหมือนหัวใจหลักในการทำให้ทีมผลงานเด่นชัดเป็นรูปธรรมมากขึ้นนั่นเอง 

"แม้ว่าแฟนบอลของเราไม่เห็นด้วยกับการนำฟุตบอลไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทั้งหมด แต่พวกเขาก็เข้าใจว่าเราต้องปรับปรุงด้านการเงินเพื่อให้สามารถแข่งขันในสนามได้ และนี่คือแนวทางที่เปลี่ยนไปของ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต" เขากล่าวย้ำทิ้งท้าย

แน่นอนว่าเงินที่ได้มาจากส่วนต่าง ๆ นี้อาจจะไม่ได้มากมายเป็นหลักพันล้านยูโร และทีมคงไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อนักเตะตัวดัง ๆ ราคาแพง ๆ หรือแม้แต่ดาวรุ่งเกรดเอของโลกฟุตบอลได้ ... เมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่พวกเขาต้องพึ่งพาเป็นอย่างมากในขั้นตอนต่อไปก็คือ "ระบบแมวมอง" ระบบที่ทำให้พวกเขาเป็นสโมสรที่เก่งทั้งในสนาม และเก่งทั้งในตลาดดังที่เป็นในปัจจุบันนี้ 

 

แมวมอง No.1 แห่งเยอรมัน 

แฟรงค์เฟิร์ต เลือกวิธีการซื้อขายแบบที่ทีมจากเยอรมันที่ไม่ใช่ทีมหัวแถวและมีเงินเยอะอย่าง บาเยิร์น มิวนิค, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น หรือ แอร์เบ ไลป์ซิก ทำกัน พวกเขาไม่สามารถทุ่มเงินสำหรับดาวรุ่งในราคา 20-30 ล้านยูโรได้เลย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมองไปยังส่วนที่แตกต่าง นั่นคือการมองหาของดีจากลีกเล็ก ๆ คนที่ทีมใหญ่ ๆ ไม่ได้เข้ามาเป็นคู่แข่งด้วย และเมื่อเข้าเกณฑ์นี้ พวกเขาจึงได้ของดี ราคาถูก ในแบบที่ไม่ต้องแย่งกับใคร 

แต่การที่จะทำแบบนี้ได้ ต้องมีทีมหลังบ้านที่เฉียบขาดวิเคราะห์ไปไกลกว่าทีมอื่น ๆ และคนที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องทั้งหมดนี้ชื่อว่า ทอม เรย์โนลด์ส หัวหน้าทีมแมวมองที่เป็นเหมือนกับผู้มีดวงตาสัปปะรด และดวงตาของเขาก็คือ "AI" 

ทอม เรย์โนลด์ส นั้นมีความฝันจะเป็นนักเตะอาชีพ แต่สุดท้ายแล้วมันไม่เวิร์ก ซึ่งเขาก็ไม่ได้จับเจ่ากับเรื่องนั้นนานนัก เขาพลิกเกมด้วยการเปลี่ยนตัวเองให้เป็น "คนฟุตบอล" ด้วยการเรียนด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาโดยเฉพาะ และจากนั้นก็ค่อย ๆ ได้โอกาสจากสโมสรอย่าง เร้ดดิ้ง และ ชาร์ลตัน ในอังกฤษ ซึ่งก็ทำให้เขามีรายได้พอที่จะศึกษาต่อเพื่อให้งานตัวเองไปไกลอีกขั้น 

นั่นทำให้เขาได้ทำงานกับ Opta บริษัทเก็บข้อมูลและสถิติด้านฟุตบอลเบอร์ต้น ๆ ของโลก ทอม ทำงานที่นั่น 10 ปี เรียกได้ว่าเป็นหัวหอกมือดีของ Opta จนกระทั่งผลงานเข้าตาและถูก ราล์ฟ รังนิก ดึงตัวมาเป็นแผนกวิเคราะห์นักเตะสมัยที่คุมทีม โลโคโมทีฟ มอสโก และจากนั้นก็มาลงตัวในตำแหน่งดังกล่าวที่ แฟรงค์เฟิร์ต ในช่วงปี 2019 

ทอม เล่าว่าเขาใช้นวัตกรรม AI ในการสแกนนักเตะจากสถิติการเล่น แม้มันยากจะอธิบายให้คนปกติเห็นภาพ แต่ทอมบอกว่า สิ่งสำคัญของงานนี้คือการแปลข้อมูลตัวเลขที่ซับซ้อนจากสถิติทุกด้านของนักเตะคนที่จับตา จากนั้นเมื่อได้สถิติที่เหมาะสมตรงกับปัญหาที่ทีมกำลังเจอในสนาม เขาจะถอดข้อมูลที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์มาเป็นภาษามนุษย์ และสื่อสารกับสตาฟฟ์โค้ช กุนซือ และผู้อำนวยการกีฬาสโมสรเพื่อบอกว่า "ทำไมเราจึงต้องการนักเตะคนนี้ ?" จากนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเหล่าแมวมองที่จะไปดูนักเตะที่ทีมหลังบ้าน "ไฟเขียว" เรียบร้อยแล้ว

"AI เปลี่ยนกลยุทธ์ในการสรรหาผู้เล่นโดยเน้นที่ข้อมูลเป็นหลัก ซึ่งช่วยลดจำนวนแมวมองลง แต่เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการคัดเลือกผู้เล่น" ทอม กล่าว ก่อนที่เขาจะย้ำว่าผู้เล่นที่มีพรสวรรค์ทุกคนอาจไม่เหมาะกับทุกระบบ ดังนั้นการคัดเลือกผู้เล่นที่สโมสรประสบความสำเร็จ หยิบถูก-ปั้นขึ้น นั้นขึ้นอยู่กับความเข้าใจว่าคุณสมบัติของผู้เล่นสอดคล้องกับความต้องการของทีมหรือไม่

หลักการง่ายที่สุดที่จะพูดกันเป็นภาษามนุษย์รู้เรื่องคือ เขาจะเน้นคัดเลือกผู้เล่นดาวรุ่ง โดยอายุเฉลี่ยจะอยู่ที่ 21.7 ปี กระบวนการคัดเลือกนั้นประกอบด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อให้แน่ใจว่านักเตะที่ทีมกำลังจับตามองนั้นถูกประเมินโดยคอมพิวเตอร์อย่างละเอียด 

เขายกตัวอย่างการหาผู้เล่นเข้าทีม แฟรงค์เฟิร์ต ว่า "สโมสรนี้มีวิธีคัดเลือกที่ชัดเจนตามแนวทางการเล่นของทีม ในบุนเดสลีกา ทีมอื่น ๆ อาจจะขึ้นชื่อเรื่องสไตล์การเล่นที่รวดเร็วและเพรสซิ่งสูง แต่เรามีแนวทางเฉพาะตัว เราเลือกที่จะเป็นฝ่ายถูกเพรสซิ่งบีบเข้ามา และจะใช้ผู้เล่นที่มีความแข็งแกร่งของร่างกายในการแย่งบอล หรือการทรานซิชั่น (เปลี่ยนจากรับเป็นรุกในพริบตา) เพื่อนำบอลไปให้นักเตะแนวรุกของทีม ซึ่งนักเตะแนวรุกตามสเปกนั้นจะต้องเป็นคนที่ทั้งแข็งแรง รวดเร็ว และมีการตัดสินใจที่ดี"

"ความเข้าใจในสไตล์การเล่นนี้จะส่งผลต่อกลยุทธ์การคัดเลือกผู้เล่น ทำให้พวกเราสามารถกำหนดเป้าหมายผู้เล่นที่สามารถเติบโตได้ในระบบของทีมได้" ทอม กล่าว

ระบบการส่องนักเตะคร่าว ๆ นี้เองที่พาแฟรงค์เฟิร์ตไปไกล พวกเขาหยิบนักเตะฝีเท้าดีจากลีกเล็ก ๆ มาแล้วมากมายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไล่มาตั้งแต่ มิยาท กาซิโนวิช นักเตะที่พวกเขาไปเอามาจาก วอจโวดิน่า ขณะที่ทีมใหญ่ ๆ ทีมอื่นหันไปไล่ล่านักเตะวันเดอร์คิดอย่าง อัลเลน ฮาลิโลวิช ไหนจะ ลูคัส ฮราเดคกี้ ที่ไปดึงมาจาก บรอนด์บี้ ทีมในลีกเดนมาร์ก, ไดจิ คามาดะ ที่มาจาก ซางัน โทสึ ที่เข้ามาแล้วพัฒนาเป็นตัวหลักของทีมได้ทั้งหมด 

โดยส่วนที่ชัดที่สุดนับในช่วงหลังก็คือนักเตะที่ "ซื้อถูก-ขายแพง" มากมายหลายคน ทั้ง อันเต เรบิช (ซื้อ 4 ล้านยูโร ขาย 10 ล้านยูโร), อังเดร ซิลวา (ซื้อ 3 ล้านยูโร ขาย 26 ล้านยูโร), ลูก้า โยวิช (ซื้อ 19 ล้านยูโร, ขาย 63 ล้านยูโร) เซบาสเตียน อัลแลร์ (ซื้อ 12 ล้านยูโร ขาย 50 ล้านยูโร), วิลเลี่ยม ปานโช่ (ซื้อ 10 ล้านยูโร ขาย 40 ล้านยูโร), รองดาล โคโล มูอานี่ (ซื้อ 0 ยูโร ขาย 93 ล้านยูโร), โอมาร์ มาร์มูช (ซื้อ 0 ยูโร ขาย 75 ล้านยูโร) และล่าสุดที่น่าจะเกิดขึ้นในตลาดรอบนี้อย่าง อูโก้ เอกิติเก้ ที่ซื้อมา 12 ล้านยูโร และข่าวว่าพวกเขาอาจจะขายดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสรายนี้ได้ถึง 100 ล้านยูโรเลยทีเดียว 

การสเกาต์เป็นหัวใจสำคัญก็จริง แต่สิ่งสำคัญก็คือการได้เด็ก ๆ เหล่านี้มาแล้วเอามาปั้นให้พัฒนาขึ้นจนขายได้ราคาต่างหาก ซึ่งเรื่องนี้แฟรงค์เฟิร์ตก็มีวิธีของพวกเขาเช่นกัน 

 

แข่งในเวทีที่เราสู้ได้ 

อันที่จริง แนวทาง AI ของ ทอม เรย์โนลด์ ก็ต้องให้เครดิตคนที่คิดนโยบาย "ซื้อถูกขายแพง" อย่าง มาร์คัส โครเชอ ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาของแฟรงก์เฟิร์ต และ เฟรดี้ โบบิช อดีตดาวยิงทีมชาติเยอรมัน รวมถึงเป็นอดีตผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาของทีมด้วย ทั้งสองคนให้เป็นผู้นำนโยบายนี้มาใช้ตั้งแต่ปี 2014 แล้ว เพียงแต่เพิ่งมาติดปีกในช่วง 5-6 ปีมานี้ ที่พวกเขาเริ่มมีเงินมากขึ้น สามารถส่องนักเตะดี ๆ ที่อยู่ในที่ลับตาคนได้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว 

นอกจากจะมีดาวรุ่งที่ดีแล้ว พวกเขายังต้องเลือกโค้ชที่เป็น "สายสร้าง" ที่อาจจะไม่ใช่โค้ชดังระดับแถวหน้า แต่พวกเขาต้องมีแท็คติกตรงกับปรัชญาของสโมสร และพร้อมที่จะทำงานภายใต้นโยบายดันดาวรุ่งแบบที่ทีมกำหนดเอาไว้ ซึ่ง แฟรงค์เฟิร์ต เองก็ลงทุนกับโค้ชไม่น้อย พวกเขาหาสตาฟฟ์มือดีจากทั่วประเทศ จนพวกเขากล้าพูดว่าพวกเขามีทีมงานหลังบ้านเป็นเบอร์ต้น ๆ ของ บุนเดสลีกา 


อักเซล เฮลล์มันน์ (ขวา)

"เรามีทีมโค้ชที่ดีที่สุดทีมหนึ่งในบุนเดสลีกา" เฮลล์มันน์ กล่าว "นั่นเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเราเซ็นสัญญากับนักเตะดาวรุ่ง และกระบวนการฝึกหรือสร้างพวกเขาซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีชื่อเสียงในขณะนี้ มันมีเกี่ยวข้องกับอะไรหลายๆ อย่าง"

"ยกตัวอย่างอย่าง โอมาร์ มาร์มูช ตอนที่เขามาถึงเขาไม่ใช่กองหน้าที่ยิงได้เยอะเลย แต่ทีมงานโค้ชของเราได้ฝึกฝนเขาอย่างรอบด้านเพราะเรารู้แล้วว่าเขามีอะไรซ่อนอยู่ในตัว สิ่งที่พวกเราทำคือการทำให้เขารู้จักตัวเองมากขึ้น และเรียนรู้มากขึ้นทั้งด้าน จิตใจ ร่างกาย กลยุทธ์ และเทคนิคในสนาม"

"ทีมงานของเราอัดสิ่งเหล่านี้ให้นักเตะทุกคน และต้องมั่นใจว่าพวกเขาจะตั้งใจมันอย่างเต็มที่ นั่นเป็นสาเหตุที่เราสร้างผู้เล่นตัวหลักขึ้นมาใหม่ได้เรื่อย ๆ เราหาเด็กที่เก่งและพร้อมเรียนรู้ ไปพร้อม ๆ กับการหาบุคลากรที่ดีและเก่งกาจในเรื่องนี้จริง ๆ" เฮลล์มันน์ ว่าต่อ

อย่างที่ได้กล่าวไป แฟรงค์เฟิร์ต มีวิธีเลือกเด็ก ๆ ที่ทำให้พวกเขาแน่ใจว่านักเตะเหล่านี้พร้อมจะทำงานหนัก และพร้อมเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองเสมอ โดยที่พวกเขาไม่สนว่าเด็กเหล่านี้จะมาจากที่ใด หรือทวีปไหนก็ตาม เพราะพวกเขาเชื่อว่าเมื่อมีการคุยกันรู้เรื่องตั้งแต่ก่อนย้ายมา อะไร ๆ จะง่ายขึ้น และเมื่อมาอยู่ที่แฟรงค์เฟิร์ต นักเตะจะปรับตัวได้ง่ายขึ้นด้วย 

"เราเป็นสโมสรระดับนานาชาติ เรามีสนามบินอยู่ใกล้ๆ แฟรงค์เฟิร์ตเป็นเมืองระดับนานาชาติที่มีผู้คนจาก 147 เชื้อชาติ ไม่สำคัญว่าคุณจะมาจากอเมริกาใต้หรือแอฟริกา คุณก็มีชุมชนของคุณอยู่ที่นี่" นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ เฮลล์มันน์ เชื่อมั่นในการสร้างดาวรุ่งของพวกเขา 

สุดท้ายนักเตะที่ถูกคัดมาเพื่อเล่นให้สโมสรนี้โดยเฉพาะ ก็จะค่อย ๆ ถูกพัฒนาผ่านโค้ชที่กล้าให้โอกาสพวกเขาลงสนามจริง ยิ่งนักเตะโตขึ้นแต่ละชุด แต่ละชุด ทีมชุดใหญ่ก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปด้วย นั่นทำให้พวกเขาสามารถขายนักเตะทำเงินได้เรื่อย ๆ โดยที่ระบบยังคงอยู่ และผลงานในสนามยังอยู่ในระดับที่ทีมตั้งมาตรฐานไว้เสมอ 

ณ ตอนนี้ ด้วยนโยบายดังกล่าว แฟรงค์เฟิร์ต กลายเป็นทีมระดับแถวหน้าของ บุนเดสลีกา แบบเต็มตัว พวกเขาไปเล่นฟุตบอลยุโรปไม่ว่าถ้วยเล็กหรือถ้วยใหญ่ติดต่อกันหลายปี และเมื่อเวลาผ่านไป ระบบดังกล่าวของพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่านี้ พวกเขาจะมีขอบข่ายในการหาดาวรุ่งที่กว้างขึ้น พวกเขาจะมีทีมที่ยังคงแข็งแกร่ง ต่อให้นักเตะที่ดีที่สุดย้ายออก 

และอีกไม่นาน พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาจะกลายเป็นทีมระดับท็อปที่สามารถขึ้นมาเทียบระดับ ดอร์ทมุนด์ หรือ บาเยิร์น มิวนิค ได้ในสักวัน 

 

แหล่งอ้างอิง

https://galaxy.ai/youtube-summarizer/the-evolution-of-football-scouting-insights-from-eintracht-frankfurts-tom-reynolds-VYWCFg-y38M
https://www.getfootballnewsgermany.com/2017/feature-why-eintracht-frankfurts-scouting-system-is-one-of-germanys-best/
https://www.bbc.com/sport/football/articles/c75ddz24lvro
https://www.nytimes.com/athletic/6367063/2025/05/20/eintracht-frankfurt-bundesliga-champions-league/
https://club.eintracht.de/youth-academy/
https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/omar-marmoush-eintracht-frankfurt-egypt-tactics-analysis-29181

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ