ในโลกของฟุตบอล ไม่ว่าทีมชาติไหน ๆ ก็เจอปัญหาเหมือนกันหมด นั่นคือไม่ว่ากุนซือของพวกเขาจะเรียกใครเข้ามาติดทีมชาติ หรือประกาศ 11 ตัวจริงในแต่ละเกม คอมเม้นต์แฟนบอลที่ไม่เห็นด้วยย่อมมีเสมอ
และถ้าสถานการณ์หนักข้อไปเรื่อย ๆ จากการบ่นก็จะยิ่งมีการเจาะจงโดยการใช้คำว่า "ลูกรัก" เป็นคำเรียกแทนชื่อนักเตะที่แฟนบอลไม่ชอบ และไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของโค้ช
ลูกรักมีอยู่จริง ? ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ? หาคำตอบกับ Main Stand
ทำไมถึงเกิดวลี "ลูกรัก"
เกมฟุตบอลทีมชาติ คือเกมที่นาน ๆ ครั้งจะรวมตัวมาแข่งกันสักที หากถามว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้นักเตะคนหนึ่งติดทีมชาติได้ แน่นอน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า "ทีมชาติ" พวกเขาต้องเป็นนักเตะที่มีผลงานดีที่สุดในประเทศในตำแหน่งของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวเหล่านี้มันจะลึกลับซับซ้อนกันสักหน่อย เพราะการทำงานในรูปแบบของสโมสรและทีมชาตินั้นมีบริบทที่แตกต่างกันมาก เพราะในระดับสโมสร แต่ละทีมจะทำงานกันทุกวัน ได้เห็นวิธีการเล่น วิธีการซ้อม และวิธีการใช้ชีวิตตลอดทั้งเดือนทั้งปี ดังนั้นความต่อเนื่องต่าง ๆ ที่เห็นกันทุกเมื่อเชื่อวันทำให้โค้ชแต่ละสโมสรตัดสินใจได้ไม่ยาก ในการจะเลือกใช้งานนักเตะแต่ละคน ภายในตัวเลือกในทีมสควอดราว 22-30 คนโดยประมาณ
แต่กับโค้ชทีมชาติ ความยากของพวกเขาคือการต้องเลือกนักเตะจากทั่วประเทศ พวกเขาอาจจะมีนักเตะในลิสต์เป็นร้อย ๆ คน และนอกจากจำนวนคนที่มากแล้ว ยังมีระยะเวลาในการเตรียมทีมที่จำกัดมาก ๆ ในแต่ละเกมที่ลงเเข่งขัน ยกตัวอย่างในยุโรปที่เล่นเกมตามปฎิทิน ฟีฟ่า เดย์ หลังจากที่นักเตะลงเกมกับสโมสรเสร็จในวันอาทิตย์ พวกเขาจะได้พักราว 2 วันจากนั้น และไปรวมตัวในแคมป์ทีมชาติราววันอังคารหรือวันพุธ (อ้างอิงจากทีมชาติอังกฤษ) จากนั้นพวกเขาก็จะเริ่มทำการลงซ้อม และทำความเข้าใจด้านแท็คติก ก่อนลงแข่งทันทีในช่วงปลายสัปดาห์ และวนลูปอีกรอบเพื่อลงแข่งอีกนัด จากการที่ ฟีฟ่า เดย์ แต่ละครั้ง แต่ละชาติจะได้ลงเล่น 2 นัด
จะเห็นได้ว่าโค้ชทีมชาติจะมีเวลาเพียง 2-3 วันเท่านั้นในการจับปูใส่กระด้ง เอานักเตะจากสโมสรต่าง ๆ มารวมเป็นทีมชาติ ขณะที่ในทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ ๆ อย่างฟุตบอลโลก 2022 ทีมชาติส่วนใหญ่ก็เรียกนักเตะเข้าเเคมป์เก็บตัวก่อนฟุตบอลโลกเริ่มไม่เกิน 3 สัปดาห์ ... นี่คือรายละเอียดที่แทบไม่ต้องลงลึกก็น่าจะพอทราบได้เเล้วว่า ทำไมบางครั้งเฮดโค้ชในระดับทีมชาติ จึงมักจะเรียกตัวนักเตะที่ขัดใจแฟนบอลอยู่เสมอ จนเกิดกรณีทีเรียกว่า "ลูกรัก" ขึ้นมา
ลูกรัก (ในสายตาแฟนบอล) เกิดขึ้นจากข้อจำกัดตามที่ได้กล่าวมา การเตรียมทีม การเก็บตัว และการแข่งขันที่เน้นผล พลาดไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้โค้ชไม่กล้าเสี่ยงที่จะลองทีม เปลี่ยนนักเตะใหม่ ๆ ที่ไม่คุ้นเคย หรือแม้กระทั่งส่งดาวรุ่งอายุ 17-18 ปี ออกสตาร์ทเหมือนกับเกมในสโมสร
มันเป็นธรรมชาติในการทำงานของมนุษย์แทบทุกคน ในวันที่คุณได้รับสิทธิ์ขาดมอบงานชิ้นสำคัญที่พลาดไม่ได้ให้ลูกน้องของคุณสักคนรับมอบหมาย ทุกคนก็มักจะเลือกคนที่รู้มือ รู้ใจกันเป็นอย่างดีไว้ก่อน เเม้ลูกน้องคนนั้นพักหลัง ๆ จะทำตัวขี้เกียจไปบ้าง แต่คุณก็ยังเชื่อใจว่า ถ้าถึงเวลาคอขาดบาดตาย พวกเขาก็ยังมีศักยภาพพอจะรับผิดชอบงานที่มอบหมายให้ได้
ในทางเดียวกัน มันเป็นเรื่องยากมากที่คุณจะมอบงานชิ้นสำคัญให้พนักงานอีกคนที่คุณแทบไม่รู้จัก และไม่เคยทำงานร่วมกับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้เขาจะได้รับการยกย่องจากที่อื่นว่า "คนนี้เก่งจริง ๆ" แต่คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ไอ้คำว่าเก่งสำหรับคนอื่น ๆ คือมาตรฐานเดียวกับที่คุณได้ตั้งเอาไว้
การเลือกในลักษณะนี้ คือการเพลย์เซฟของเหล่ากุนซือทีมชาติที่มีให้เห็นมาแทบทุกยุคทุกสมัย กุนซือระดับโลกที่คุมทีมชาติโดนวิจารณ์ว่า "เลือกลูกรัก" มาเเล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ กับ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ในฟุตบอลโลก 2018 หรือ มานูเอล นอยเออร์ กับทีมชาติเยอรมัน ในยุค โยอาคิม เลิฟ ที่มีสื่อเชียร์ให้ มาร์ค อังเดร แทร์ สเตเก้น ขึ้นมาเป็นมือ 1 แทนที่ เป็นต้น
และที่ชัดสุด ๆ ก็คือในฟุตบอลโลก 2022 แกเร็ธ เซาธ์เกต ถูกตั้งแง่ว่า เขามี แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ปราการหลังที่ช่วงเวลาดังกล่าวกำลังโดนวิจารณ์อย่างมากในการเล่นที่ผิดพลาดจนทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้นสังกัดเสียประตู แม็คไกวร์ ถูกมองว่าเป็นลูกรักของ เซาธ์เกต เพราะเรียกติดทีมชาติไปฟุตบอลโลก ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวยังเจ็บกับสโมสรและแทบไม่ได้ลงเล่นเลยด้วยซ้ำ
ตามที่ได้กล่าวเอาไว้ข้างต้น การจะถูกเรียกว่าลูกรักนั้นไม่แปลก แล้วก็ไม่ใช่เรื่องผิดสำหรับโค้ชและนักเตะด้วย แต่ประเด็นสำคัญคือ เฮดโค้ชต้องรู้จักศักยภาพของลูกรักของพวกเขาเป็นอย่างดี และรู้ถึงวิธีใช้ว่า จะทำให้ลูกรักเหล่านี้มีประโยชน์ต่อทีมที่สุดได้อย่างไร ... ซึ่งเรื่องนี้ เซาธ์เกต ทำได้สำเร็จในฟุตบอลโลก เหตุผลที่เขาลบคำว่าลูกรักได้ก็คือ เขาสามารถตีโจทย์ที่มีได้แตกฉาน กลายเป็นผลงานของ แม็คไกวร์ ที่ตอกหน้าทุกคำวิจารณ์ โดยได้รับการโหวตให้เป็น 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดในรอบแบ่งกลุ่ม อีกทั้งยังมีคะแนนเฉลี่ยต่อเกมมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของทีมชาติอังกฤษอีกด้วย
และหากแม็คไกวร์แสดงการอุดปากแฟนบอลด้วยคุณภาพของลูกรักได้ ก็มีอีกหลายตัวอย่างที่เป็นลูกรักและทำให้ทีมคุณภาพตกลงด้วยเช่นกัน อาทิ คัลวิน ฟิลลิปส์ ที่ เซาธ์เกต พยายามจะใช้งานตลอด แม้เจ้าตัวแทบไม่ได้ลงเล่นเลยสมัยอยู่กับ แมนฯ ซิตี้ เช่นเดียวกับการเรียกแบ็กซ้ายขาประจำอย่าง ลุค ชอว์ ไปเล่นฟุตบอล ยูโร 2024 แบบไม่ฟิต และไม่ได้ลงเล่นให้ต้นสังกัดเลย ซึ่งเมื่อทัวร์นาเมนต์มาถึง ชอว์ ก็นั่งอยู่บนม้านั่งสำรอง ไม่ได้เล่นเลยแม้แต่วินาทีเดียว จนกระทั่งได้ลงเล่นแบบสุดเซอร์ไพรส์ด้วยการเป็น 11 ตัวจริงในนัดชิงชนะเลิศที่แพ้ สเปน 1-2
ผลการแข่งขันที่น่าผิดหวัง นำมาซึ่งคำวิจารณ์ที่เซาธ์เกตต้องรับผิดชอบทั้งหมด ตั้งแต่การประกาศชื่อก่อนเข้าทัวร์นาเม้นต์ รวมถึงการจัด 11 ตัวจริงที่ชวนให้แฟนบอลคิดว่า "ลูกรักของเขากำลังทำเราพัง"
รู้วิธีใช้ = ไม่ใช่ลูกรัก
กรณีของ แม็คไกวร์ กับ เซาธ์เกต นั้น สมควรกับการนำมายกเป็นตัวอย่างอย่างยิ่ง เพราะฟอร์มของ แม็คไกวร์ ก่อนฟุตบอลโลกกับ แมนฯ ยูไนเต็ด กับฟอร์มในฟุตบอลโลกกับทีมชาติอังกฤษ แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
“ทำไมเราถึงเลือกเขา ? เพราะเขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ทำให้เรามีโอกาสชนะมากที่สุด” เซาธ์เกต ตอบแค่นี้ หลังถูกสื่อรุมถามเรื่องแม็คไกวร์ก่อนศึกฟุตบอลโลกจะเริ่มขึ้น
นอกเหนือจากแบกหน้ารับ แจกแจงที่มาเพื่อให้ได้ใจนักเตะเเล้ว สิ่งที่เหล่าโค้ชควรทำในการใช้ลูกรักของพวกเขา คือพวกเขาควรรู้ว่าลูกรักของพวกเขาจะเป็นประโยชน์ให้ทีม ลงเล่นแล้วช่วยแบกทีมได้ ไม่ใช่เป็นภาระให้คนอื่นมาแบก
คาร์ล อันก้า นักข่าวของ The Athletic วิเคราะห์เรื่องนี้ว่า "เซาธ์เกต รู้ชัดว่าวิธีการเล่นของทีมชาติอังกฤษนั้นเหมาะกับการมีเขาอยู่ในทีม แม็คไกวร์ เป็นคนที่ดักเก็บจังหวะสองได้ดีกว่าการเป็นคนชนเอง ที่ ยูไนเต็ด ในยุคก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยมีนักเตะกองกลางตัวรับชั้นยอดเลย แต่ ยูไนเต็ด กลับเป็นทีมที่ให้แนวรับยืนอยู่แถวเส้นครึ่งสนาม ดังนั้นภาระทั้งหมดจึงตกไปอยู่กับแม็คไกวร์ ... เขาต้องวิ่งออกจากพื้นที่เกมรับของเขาอยู่บ่อย ๆ"
แต่ที่อังกฤษนั้น อย่างที่เราได้เห็นกัน ดีแคลน ไรซ์ ยืนปักหลักหน้ากองหลังคอยตัดเกมปัดกวาด ไหนจะมี จอร์เเดน เฮนเดอร์สัน เข้าช่วยวิ่งปะทะ หาพื้นที่รับบอลต่อจากกองหลัง ดังนั้น แม็คไกวร์ ที่เป็นคนตัวใหญ่แข็งแรง จึงได้ใช้จุดแข็งของตัวเองอย่างเต็มที่ในเวลาที่เล่นให้ทีมชาติอังกฤษ
นอกจากนี้อังกฤษยังเป็นทีมที่เน้นการครองบอลมากกว่าการเล่นแบบฉาบฉวยรวดเร็ว ซึ่งนั่นเป็นวิธีการเล่นที่ทำให้เซาธ์เกตกล้าเลือกแม็คไกวร์ลงสนามสวนทางกระแสแฟนบอล
และผลลัพธ์ที่ออกมาคือ แม็คไกวร์ก็เล่นได้ดีจนสื่อบางเจ้า อาทิเจ้าใหญ่อย่าง BBC ยังจัดให้เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ติดทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์เลยด้วยซ้ำ
แม้แต่สื่ออังกฤษที่รุมสับแม็คไกวร์ก่อนทัวร์นาเม้นต์เริ่ม ยังต้องกล่าวคำชม นี่คือเหตุผลที่ว่า การเลือกลูกรักที่ดีที่สุด คือการเลือกพวกเขาโดยมีเป้าหมาย วิธีใช้ และเข้าใจขอบเขตการทำงานของนักเตะเหล่านี้อย่างชัดเจน ใช้จุดเเข็งของพวกเขามาเล่น
เพราะโค้ชคือคนที่ต้องรับผิดชอบผลการแข่งขัน ดังนั้นทุกอย่างที่พวกเขาเลือกย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย ที่สุดเเล้วคำว่าลูกรักจะหมดไป หากพวกเขาสามารถตอบคำถามจากแฟนบอลได้ว่า "เรียกมาทำไม" ... นี่เป็นคำตอบง่าย ๆ ที่โค้ชบางคนไม่สามารถตอบได้ และต้องตกเป็นจำเลยสังคมจากแฟนบอลว่า "เป็นโค้ชที่เลือกแต่ลูกรัก" ไปโดยปริยาย
ลูกรัก = การเดิมพันของโค้ช
นอกจากเรื่องของวิธีการเล่นแล้ว สิ่งหนึ่งที่มีผลต่อการเลือกของโค้ชแต่ละคนสำหรับการจัดการทัพในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ๆ คือ "คาแร็คเตอร์" ของนักเตะแต่ละคน ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลต่อการแข่งขันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในวันที่คุณต้องเจอกับคู่แข่งที่เก่งเท่า ๆ กัน หรือมีศักยภาพมากกว่าทีมของคุณ
หากใครเคยได้ดูสารคดี Azzurri: Road to Wembley คุณจะเห็นว่า โรแบร์โต้ มันชินี่ เฮดโค้ชทีมชาติอิตาลีชุดแชมป์ ยูโร 2020 เลือกนักเตะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในทีมด้วยวิธีที่ละเอียดมาก มียอดนักเตะชาวอิตาเลียนมากมายกว่า 60 คนในลิสต์ทีมชาติของเขา ซึ่งแต่ละคน มันชินี่ และทีมงานของเขาไล่เรียงโปรไฟล์กันละเอียดยิบ มีทั้งทีมเก็บสถิติการเล่นในสนาม ซึ่งเป็นความจริงที่โกหกกันไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้น กว่าที่เขาจะเลือกใครสักคน มันชินี่ ก็สืบสาวราวเรื่องไปยังเบื้องหลัง ทัศนคติ นิสัย และเคมีการอยู่ร่วมกันของนักเตะเหล่านั้นด้วย
"กลุ่มนักเตะที่ผมเลือกมากลุ่มนี้ เป็นกลุ่มนักเตะที่มีสภาพจิตใจแข็งแกร่งมาก พวกเขาไม่เคยขาสั่นถอดใจเวลาเจอช่วงเวลาที่ยาก ๆ หรือแม้กระทั่งคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองก่อนทีม พวกเรามาถึงแชมป์ไม่ใช่แค่เพราะพวกเราเป็นทีมที่ยิ่งจุดโทษเก่ง แต่พวกเขากลมกลืนกันด้วยมิตรภาพ และทุกคนร่วมกันสร้างช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดในชีวิตขึ้นมา แน่นอนว่าพวกเขาทุกคนคือคนโปรดของผมเสมอ" นี่คือสิ่งที่ มันชินี่ พูดด้วยตัวเอง
จะเห็นได้ว่าการมีลูกรักไม่ใช่ข้อเสียเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณสามารถใช้งานลูกรักของคุณได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ... และในทางกลับกัน ถ้าคุณไม่มีลูกรักไปเลย แถมยังไม่เด็ดขาดในการตัดชื่อนักเตะที่แนวคิดไม่ตรงกัน สิ่งเหล่านี้อาจจะกลายเป็นปัญหาที่แย่กว่าการไม่มีลูกรักเลยด้วยซ้ำ
มีหลายชาติที่มองข้ามจุดนี้ไป และต้องเจอกับความเละเทะในแบบที่แก้ไขไม่ได้ เพราะเมื่อถึงทัวร์นาเมนต์ คุณอาจจะสามารถไล่นักเตะที่เป็นปัญหาของทีมออกไปได้ แต่คุณไม่สามารถเรียกใครมาได้เพิ่มอีกแล้ว แย่ไปกว่านั้น หากนักเตะซีเนียร์บางคนตั้งตัวเป็นใหญ่ กลายเป็นตัวตั้งตัวตีให้นักเตะในทีมคนอื่น ๆ "ล้มโค้ช" เราก็เคยเห็นกันมาแล้ว เช่น ทีมชาติฝรั่งเศส ในฟุตบอลโลก 2010 ที่ทีมแตกตั้งแต่เล่นไปได้แค่เกมเดียว
เรย์มงด์ โดเมเน็ค พยายามจะใช้นักเตะหนุ่มมากขึ้น แต่เขากลับเอานักเตะซีเนียร์ไม่อยู่ ความตึงเครียดปะทุหนัก จนภายหลัง โดเมเน็ค ก็คายความลับทุกอย่าง และเปิดเผยสัมภาษณ์แบบจัดเต็มว่า
"เขา (นิโกล่าส์ อเนลก้า) พูดแดกดันผมระหว่างพักครึ่งในเกมที่พบกับเม็กซิโก เมื่อผมไม่สามารถหยุดการโต้เถียงนั้นได้ เขาก็กลายเป็นคนที่ทำลายทีม หลังจากจบเกมกับเม็กซิโก อเนลก้า และ วิลเลี่ยม กัลลาส หัวเราะกันยกใหญ่ การแสดงออกแบบนั้นคืออะไร ? พวกเขามีความสุขที่ทีมแพ้หรือ ?" นายใหญ่ทัพไก่เดือยทอง กล่าว
ไม่มีใครการันตีว่าหาก โดเมเน็ค เลือกนักเตะดาวรุ่งหลาย ๆ คนจากแนวคิดการถ่ายเลือดของเขา ฝรั่งเศส จะเข้ารอบลึก ๆ หรือเป็นแชมป์หรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ เขาจะได้นักเตะที่พร้อมจะวิ่งให้เขา ทำตามที่เขาสั่ง รับฟังที่เขาสอน มากกว่าที่เขาจะต้องมาเจอการย้อนศรที่ทำให้เขาแทบไม่เหลือที่ยืนแบบที่เป็นอยู่
เพราะทีมฟุตบอลหนึ่งทีม สิ่งที่สำคัญไม่แพ้แท็คติก ก็คือเรื่องของการบริหารจัดการคน การที่เฮดโค้ชเอาเหตุผลเรื่องความเป็นมนุษย์มาร่วมกับเหตุผลด้านฟุตบอลมาใช้ เป็นสิ่งสำคัญที่กำหนดชะตาในการทำงานของพวกเขาได้เช่นกัน หากโค้ชคนไหนจริงจังทั้งเรื่องแท็คติก และจริงจังในการรวมนักเตะเข้าเป็นหนึ่งเดียวเพื่อให้ทุกคนเสียสละเพื่อทีม พวกเขาจะไม่ได้แค่ทีมที่มีคุณภาพ แต่พวกเขาจะได้ทีมที่มีสปิริตนักสู้ในเวลาเดียวกัน
เมื่อทั้ง 2 อย่างรวมตัวกันและความมั่นใจพุ่งทะยานไปสูงปรี๊ด พวกเขาก็สามารถต่อกรได้กับทุกทีมในโลก แม้ว่าราคาหน้าเสื่อจะออกมาแบบไหนก็ตาม ... อาจจะไม่การันตีว่าจะเป็นแชมป์ แต่คุณจะได้ทีมสควอดที่พร้อมสู้ตายถวายหัวเพื่อชัยชนะ และมองความสำเร็จของทีมเป็นสิ่งสำคัญอันดับ 1 แน่นอน และสิ่งนี้แหละคือแก่นแท้ของฟุตบอล และทีมที่จะประสบความสำเร็จ
ปิดท้ายของเรื่องนี้ เราต้องยอมรับว่างานโค้ชคืองานที่เครียด และต้องคิดละเอียดที่สุด ต้องรับข้อมูลมากมายเข้ามาในหัว ต้องรับมือกับความความหวังจากแฟนบอล จากการกดดันของสื่อ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพิถีพิถัน และเลือกที่จะเสี่ยงกับแนวคิดของตัวเองโดยไม่มีความลังเล
ถ้าทุกอย่างออกมาดี ทุกอย่างก็จบ การตัดสินใจของพวกเขาถือว่าถูกต้อง และจะได้รับคำชมแน่ ต่อให้ไม่จบด้วยแชมป์ก็ตาม แต่ถ้าหากกลับกันผลงานของทีมล้มเหลวไม่เป็นท่า โค้ชนี่แหละที่ต้องเดินยืดหน้าออกรับเป็นคนแรก และรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จบด้วยการแยกทางแทบทั้งนั้น
เมื่อคุณได้อำนาจสูงสุด จงใช้มันอย่างมีสติและมีความรับผิดชอบ อย่างน้อยที่สุด ถ้ามันจะพัง ก็พังเพราะว่าคุณเป็นคนทำมันเอง ยังดีเสียกว่าการเอาคนที่ไม่ใช่มาเป็นหอกข้างแคร่ และทำให้คุณต้องจบงานที่คุณรักอย่างค้างคา และสร้างภาพจำว่าเป็นโค้ชที่ล้มเหลว ทั้ง ๆ ที่คุณยังไม่ได้แสดงสิ่งที่คุณมีทั้งหมดออกมาเลยด้วยซ้ำ
แหล่งอ้างอิง
https://www.france24.com/en/20100630-world-cup-2010-disgraced-french-coach-domenech-faces-lawmakers-escalettes-fff-france-football
https://www.france24.com/en/20100619-france-anelka-kicked-out-world-cup-insult-coach-domenech
https://theathletic.com/3634871/2022/10/19/harry-maguire-possible-england-replacements/
https://www.goal.com/en/news/nicolas-otamendi-argentina-other-superman-world-cup-best-defender/bltc8671ba7e8e4efa2
https://www.nbcsports.com/soccer/news/mancini-says-italys-euro-2020-squad-is-more-or-less-decided
https://www.rte.ie/sport/world-cup-2018/2018/0714/978631-giroud-important-for-our-style-stresses-deschamps/