เหลือแค่การชูเสื้อเปิดตัว ทิยานี่ ไรน์เดอร์ส ก็จะกลายเป็นนักเตะใหม่ของ แมนฯ ซิตี้ ด้วยค่าตัวใกล้ ๆ หลัก 70 ล้านปอนด์ ตามการรายงานของสื่อชื่อดังหลายเจ้า
เรื่องสำคัญในตอนนี้ก็คือ การเข้ามาของเขาจะเป็นการสวนทางกับ เควิน เดอ บรอยน์ "ราชาแห่งเรือใบสีฟ้า" ที่จะย้ายออกจากทีมในซัมเมอร์นี้
สิ่งที่ เดอ บรอยน์ ทำไว้ยิ่งใหญ่ยากจะหาคนแทน แล้วผู้มาใหม่อย่าง ไรน์เดอร์ส มีดีอะไรบ้างเพื่อมาทำหน้าที่เป็นจอมทัพคนต่อไป ? นี่คือทุกเรื่องของเขาที่คุณอยากจะรู้
พลังงานในตำแหน่งเบอร์ 8 ที่หายไป
แมนฯ ซิตี้ ถือเป็นหนึ่งในทีม "โคตรบอล" ตลอดช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่แต่งตั้ง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาคุมทีมในปี 2016
ความยอดเยี่ยมอันเป็นลายเซ็นของพวกเขาคือฟุตบอลเท้าสู่เท้าที่แม่นยำ และการใช้หลักการเพรสซิ่ง และเคาน์เตอร์เพรสซิ่งที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี พร้อมด้วยนักเตะที่ถูกป้อนกลยุทธ์ใส่ไปอย่างเต็มที่ มีร่างกายที่ดี มีความฟิต และมีทัศนคติในการเล่นเป็นทีมสูงมาก นั่นจึงทำให้พวกเขากวาดแชมป์มากมาย ... จนกระทั่งฤดูกาล 2024-25 ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของพวกเขา
ปัญหาของ แมนฯ ซิตี้ ในฤดูกาล 2024-25 คือตำแหน่งแดนกลางที่ไม่เหมือนเดิม โรดรี้ เจ็บหนักพักยาวจนจบซีซั่น เควิน เดอ บรอยน์ ก็แพ้สังขารเจ็บออด ๆ แอด ๆ รบกวนเสมอ ขณะที่โจ๊กเกอร์อย่าง อิลคาย กุนโดกัน ที่ไปดึงตัวกลับมาร่วมทีมอีกครั้งจาก บาร์เซโลน่า ก็ไม่ต่างกันในเรื่องของอายุและความเข้มข้นที่ลดลง ... 3 คนนี้เคยเป็นเหมือนพระเอกในแดนกลางของทีม และเมื่อพวกเขามีปัญหา ทีมก็มีปัญหาด้วย
สถิติที่ยืนยันถึงปัญหาในแดนกลางของ แมนฯ ซิตี้ ในฤดูกาล 2024-25 ก็คือ มีหลายหัวข้อที่พวกเขาทำได้แย่ลงหากเทียบจากซีซั่น 2023-24 ที่พวกเขาคว้าแชมป์ลีกในเกมสุดท้ายของฤดูกาล และด้วยฟอร์มที่เราได้เห็นกันประจำ นั่นคือเมื่อเข้าเบรกแล้ว ไม่มีใครหยุดพวกเขาได้
สถิติการครองบอลของ แมนฯ ซิตี้ ลดลงจาก 64.7% เป็น 62.2% และการผ่านบอลแบบโปรเกรสซีฟ (จ่ายบอลขึ้นหน้าเพื่อทำเกม) ลดลงเหลือเฉลี่ยเพียงเกมละ 48.6 ครั้ง จากเดิมที่เคยทำได้ 54.6 ครั้ง และสิ่งที่คุณอาจะไม่เชื่อก็คือ การเพรสซิ่งแย่งบอลในแดนคู่แข่งที่พวกเขาไม่เคยหลุดจาก 2 อันดับแรก มาในฤดูกาล 2024-25 แมนฯ ซิตี้ กลายเป็นทีมที่แย่งบอลในแดนคู่แข่งได้น้อยลงมาก
เท่านั้นยังไม่พอ ทุกครั้งที่เพรสซิ่งและแย่งบอลกลับมาได้ แมนฯ ซิตี้ สามารถเปลี่ยนการแย่งบอลเหล่านั้นไปจบด้วยการยิงประตูได้เพียง 13.7% สถิติดังกล่าวน้อยกว่าทีมอย่าง บอร์นมัธ (20.8%) หรือ เบรนท์ฟอร์ด (17.7%) ด้วยซ้ำไป
การเพรสซิ่งที่ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้เกิดช่องว่างในแดนกลาง ซึ่งคู่แข่งสามารถใช้โอกาสนี้ในการโต้กลับอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้แมนฯ ซิตี้เสียประตูจากการสวนกลับมากขึ้น จากเสียเฉลี่ย 0.84 ลูกต่อเกม เพิ่มขึ้นมาเป็น 1.10 ลูกต่อเกม โดยเฉพาะในพื้นที่ฝั่งขวาของสนาม นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ที่ส่งผลต่อความผิดพลาดทั้งหมดที่กล่าวมาก็คือ ในบางแมตช์ แมนฯ ซิตี้มีผู้เล่นอายุ 29 ปีขึ้นไปถึง 9 คนจาก 14 คนที่ลงสนาม ซึ่งอาจส่งผลต่อความเข้มข้นและความเร็วในการเพรสซิ่งของทีม ... นั่นคือเหตุผลที่ทำไมพวกเขาต้องซื้อกองกลางอย่าง ทิยานี่ ไรน์เดอร์ส ทันทีหลังจบฤดูกาล 2024-25
Box to Box แบบฮาร์ดคอร์
เรื่องราวที่น่าสนใจของ ทิยานี่ ไรน์เดอร์ส คือตัวของเขาเป็นลูกครึ่ง เนเธอร์แลนด์-อินโดนีเซีย โดยพ่อของเขา มาร์ติน ไรจ์นเดอร์ เป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพชาวดัตช์ แม่เป็นชาวอินโดนีเซียจากหมู่เกาะโมลุกกะ (น้องชายของเขา เอเลียโน่ ไรจ์นเดอร์ เลือกเล่นให้ทีมชาติอินโดนีเซียอีกด้วย) โดยชื่อ "ทิยานี่" นั้น พ่อของเขาตั้งให้โดยได้อิทธิพลจาก ทิยานี่ บาบันกิด้า ปีกทีมชาติไนจีเรีย "เทพวินนิ่ง" ที่คอเกมฟุตบอลยุคเก่า ๆ น่าจะรู้จักกันดี
และกว่าที่เขาจะมาเป็นนักเตะอาชีพได้ ในอดีตเขาเคยทำงานในร้านซูเปอร์มาร์เก็ตที่ชื่อว่า Aldi ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวเขาก็เล่นฟุตบอลไปด้วย จนได้กลายเป็นสมาชิกของ อาแซด อัลค์มาร์ ในฤดูกาล 2017 และเส้นทางค้าแข้งของเขาก็เริ่มจากตรงนั้น จนกระทั่งถูก มิลาน ซื้อตัวมาด้วยราคา 20 ล้านยูโร เพื่อแทนที่ของ ซานโดร โตนาลี ที่ย้ายไปอยู่กับ นิวคาสเซิล
ทิยานี่ ไรน์เดอร์ส ตอบแทนความไว้วางใจที่ มิลาน มอบให้เขาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย นักเตะในตำแหน่งกองกลางที่รับบทบาทหลักเป็นตำแหน่งบ็อกซ์ทูบ็อกซ์ และมีคุณสมบัติแบบนักฟุตบอลสมัยใหม่ที่สามารถตัดเกมได้ ออกบอลได้ และขึ้นมาทำประตูได้ ซึ่งนักเตะที่เป็นไอดอลของเขา และเขาพยายามปรับสไตล์การเล่นให้มีความคล้ายคลึงกันก็คือ เควิน เดอ บรอยน์ ของ แมนฯ ซิตี้ นี่แหละ
“เมื่อผมเริ่มโตขึ้น ผมมักจะดูผลงานของ เควิน เดอ บรอยน์ ผมดูเกมของเขา ดูคลิปใน YouTube โดยเฉพาะวิธีที่เขาสแกนสนามก่อนที่จะได้บอล ดังนั้นเขาจึงรู้เสมอว่าพื้นที่อยู่ตรงไหน ผมพยายามทำแบบเดียวกัน แม้จะเป็นเรื่องยากมากสำหรับการทำให้เหมือนกับนักเตะระดับพรสวรรค์อย่างเขา"
ช่วงที่เล่นให้กับ มิลาน นั้น ไรน์เดอร์ส มักจะยืนคู่กันกับ ยูสซูฟ โฟฟาน่า โดยแบ่งหน้าที่กันหลัก ๆ คือ โฟฟาน่า จะโฟกัสเกมรับมากเป็นพิเศษ ขณะที่ ไรน์เดอร์ส จะได้อิสระในการเติมเกมมากกว่า บางจังหวะเขาจะถอยไปเป็นเบอร์ 6 บางจังหวะเขาจะเป็นเบอร์ 8 และในยามที่ทีมต้องการประตูเขาก็สามารถขยับตำแหน่งไปยืนเป็นเบอร์ 10 ได้เช่นกัน
แม้เรื่องพรสวรรค์ในการจ่ายฟุตบอลแบบ "คิลเลอร์พาส" ของ ไรจ์นเดอร์ อาจจะไม่เท่ากับที่ เดอ บรอยน์ ผู้เป็นนักเตะที่เอกอุในเรื่องนี้เป็นพิเศษทำได้แต่ความแตกต่างที่ แมนฯ ซิตี้ จะได้จากเขาคือ ไรน์เดอร์ส เป็นพวกไดนาโม และมีความเด็ดขาดในการเลือกเล่นจังหวะหน้ากรอบเขตโทษมากกว่า ว่าง่าย ๆ ก็คือเมื่อเข้าระยะทำการ ไรน์เดอร์ส เป็นนักเตะที่มักจะเลือกยิงประตู และสถิติความแม่นยำของเขาไม่ธรรมดาเลย
ในฤดูกาล 2024-25 เขายิงให้ มิลาน ในทุกรายการรวมถึง 15 ประตู และทำไปอีก 6 แอสซิสต์ โดยเป็นการยิงประตูจากนอกกรอบเขตโทษ 5 ประตู เป็นลูกโหม่ง 3 ประตู, หลุดเดี่ยวเข้าไปดวลกับประตู 4 ลูก และเป็นการเติมเข้ามาเก็บตกในกรอบเขตโทษอีก 3 ลูก ... นี่คือกองกลางที่ยิงประตูได้ทุกรูปแบบ และเป็นตัวสอดเข้ามาเล่นในกรอบเขตโทษที่อันตราย เข้ามาได้ถูกที่ถูกเวลาเสมอ
โดยเฉลี่ยใน 1 เกมเกม เขาวิ่งขึ้นมาเป็นตัวเลือกในพื้นทีมเกมรุกให้ทีมเฉลี่ย 16 ครั้ง และเข้ากรอบเขตโทษเฉลี่ยเกมละ 4.5 ครั้ง หากซิตี้ มีปัญหาเรื่องการยิงประตูจากผู้เล่นคนอื่น ๆ นอกจาก เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ แน่ชัดว่าสไตล์การเล่นของ ไรน์เดอร์ส จะช่วยเข้ามาแก้ไขสิ่งนี้ให้พวกเขา
นอกเหนือจากการทำประตูแล้ว ไรน์เดอร์ส ยังเป็นสายฮาร์ดคอร์ที่ชอบแย่งบอล ชอบเข้าปะทะ และที่สำคัญคือตลอดซีซั่น 2024-25 แม้เขาจะบู๊แหลกขนาดนั้นแต่กลับไม่มีสถิติบาดเจ็บเลย เขาลงเล่นอย่างต่อเนื่อง และเป็นคนที่ทีมขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะในยุคโค้ชคนไหน ๆ ก็ตาม
"ไรน์เดอร์ส เล่นเหมือนกับตัวเองเป็นแบตเตอรี่ที่ชาร์จพลังมาเต็มเปี่ยม เขาวิ่งไม่หยุด และไปอยู่ทั่วพื้นที่ของทั้งสนามโดยที่ทุกการวิ่งของเขามีประโยชน์กับทีมเสมอ นี่คือนักเตะที่ยอดเเยี่มจริง ๆ คุณสามารถพึ่งพาเขาได้ วันไหนที่เขาเล่นดี เขาสามารถชี้ขาดเกมให้คุณได้อย่างแน่นอน"
"ยกตัวอย่างในเกมที่เราชนะเวโรน่า ผมบอกว่า ติจจี้ ช่วยให้เราเอาชนะเกมนี้ได้ไหมเพราะฉันจะพยายามทำให้ทีมไม่เสียประตู ... เขาพยักหน้า และไม่นานนักเขาก็ทำได้ตามที่เขารับคำกับผม" มัตเตโอ กับเบีย กองหลังของ มิลาน เล่าเรื่องราวของ ไรน์เดอร์ส ในซีซั่นที่ผ่านมา
แม้จะขาดสายตาและพรสวรรค์ในการจ่ายบอลอย่าง เดอ บรอยน์ แต่สิ่งที่ ซิตี้ จะได้จากเขาคือการเติมขึ้นมายิงประตู และพลังงานในแดนกลางของเขาที่จะทำให้ปัญหาการเพรสซิ่งที่ถดถอยลงในซีซั่น 2024-25 ถูกแก้ไขให้ดีขึ้น เพราะ ไรน์เดอร์ส มีสถิติวิ่งเฉลี่ยต่อเกมสูงถึง 11.3 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะการวิ่งที่มากกว่า กุนโดกัน หรือ เดอ บรอย ทำไว้ นอกจากนี้การวิ่งของเขายังถูกวัดค่าความเร็วสูงสุดได้ที่ 33.79 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ข้อนี้ไม่ต้องเทียบกับม้าแก่อย่าง กุนโดกัน หรือ เดอ บรอยน์ เลย เพราะสถิติดังกล่าวเร็วกว่า แบร์นาโด้ ซิลวา อีกหนึ่งหัวใจในแดนกลางของ ซิตี้ ด้วยซ้ำ
โดยสรุปคือ ไรน์เดอร์สมีบทบาทสำคัญในแดนกลางของเอซี มิลาน ทั้งในเกมรุกและเกมรับ ด้วยความสามารถในการควบคุมจังหวะเกมและการสร้างสรรค์โอกาส เขาเป็นผู้เล่นที่มีความครบเครื่องและสามารถปรับตัวเข้ากับระบบการเล่นต่าง ๆ ได้อย่างดี ... แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องพูดถึงเขาเพิ่มเติมอีก และมันก็น่าสนใจไม่แพ้กัน สิ่งนั้นก็คือเรื่อง "คาแร็คเตอร์"
หัวใจใหญ่กว่าตับ
แม้จะเป็นคนสำคัญของ มิลาน และคว้ารางวัลกองกลางยอดเยี่ยมแม้ทีมจะจบอันดับที่ 8 แต่ ไรจ์นเดอร์ส แสดงถึงความทะเยอทะยานมาโดยตลอด เพราะตัวของเขาเองก็เฝ้ารอกับการได้เล่นให้ทีมใหญ่ ๆ เพื่อที่เขาจะพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น และคว้าถ้วยแชมป์ให้มากขึ้น ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เขาตั้งไว้ว่า "มันต้องไม่มีวันสิ้นสุด"
"เป้าหมายใหญ่ที่สุดของผมคือการคว้าถ้วยรางวัลให้ได้มากที่สุด เพราะผมเกิดมาเป็นนักฟุตบอลทั้งที ผมก็ต้องมีชีวิตเพื่อบันทึกชื่อของตัวเองลงไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ให้ได้" นี่คือทัศนคติที่เหมาะกับทีมที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะเป็นเบอร์ 1 ของโลกอย่าง แมนฯ ซิตี้ โดยแท้จริง
ด้วยวัย 26 ปี เขายังเก่งได้อีกมาก การไปแมนฯ ซิตี้ จะช่วยยกระดับเขาได้ในหลาย ๆ ด้าน ... และไม่ใช่แค่สโมสรเท่านั้นที่จะมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับเขา แต่ตัวของเขาก็จะเข้ามาเติมช่องว่างที่ขาดหายใน 11 ตัวจริง และความห้าว ความมุ่งมั่นในห้องแต่งตัว ซึ่งเป็นสถานที่ที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องการนักเตะที่มีคาแร็คเตอร์เข้ม ๆ เข้ามาอยู่รวมกันให้ได้มากที่สุด
โดยช่วงที่เล่นให้กับ มิลาน แม้ไม่ได้เป็นกัปตันทีม แต่ ไรน์เดอร์ส ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำผ่านการเล่นที่มีวินัยและความมุ่งมั่น เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีผู้นำหลายคนในทีมเสมอ ความหิวกระหายในชัยชนะของเขาจะทำให้ ซิตี้ ที่กำลังเข้าสู่ยุคผลัดใบ มีจอมทัพที่สามารถขับเคลื่อน 11 ตัวจริงในสนาม ... และทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่เขามีราคาแตะ ๆ 70 ล้านปอนด์ เพราะ ณ นาทีนี้หากเราจะหาคนที่เหนือกว่าเขาในตำแหน่งกองกลางบ็อกซ์ทูบ็อกซ์ คงมีให้เลือกไม่มากนัก
ส่วนที่เหลือเราก็ต้องมาดูกันต่อไปว่า การย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ลีกที่ความเร็วมากขึ้น เล่นกันหนักมากขึ้น และมีเวลาให้คิดน้อยลง นักเตะสายพลังดูราเซลล์อย่าง ไรจ์นเดอร์ส จะแสดงสิ่งที่มีในตัวของเขาออกมาได้แค่ไหน
แหล่งอ้างอิง
https://sempremilan.com/gds-why-reijnders-will-remain-crucial-milan?utm_source=chatgpt.com
https://www.thesun.co.uk/sport/35259587/tijjani-reijnders-man-city-transfer-worked-aldi/?utm_source=chatgpt.com
https://www.uefa.com/uefachampionsleague/clubs/players/250121294--tijjani-reijnders/statistics/?utm_source=chatgpt.com
https://www.reuters.com/sports/soccer/man-city-set-sign-dutch-midfielder-reijnders-ac-milan-2025-06-04/?utm_source=chatgpt.com
https://sportzxpro.com/blog/defensive-decline-of-manchester-city/?utm_source=chatgpt.com
https://theanalyst.com/articles/analysing-premier-league-playing-styles-2024-25?utm_source=chatgpt.com