Feature

ใส่ลายเซ็นให้เศรษฐี : การเลือก หลุยส์ เอ็นริเก้ ที่ เปแอสเช ถูกทุกตรง | Main Stand

“เปแอสเช โชว์" คำ ๆ นี้คือนิยามที่เหมาะกับนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2024-25 ที่สุด เมื่อแชมป์จากฝรั่งเศส ถล่มชนะ อินเตอร์ มิลาน ไปถึง 5-0

 


ฟุตบอลเกมรุกจัดจ้าน ครองบอลเหนียวแน่น เคลื่อนที่ไว และร่างกายพร้อมเข้าปะทะในทุกจังหวะ พวกเขาเล่นจนลืมไปว่า นี่คือทีมที่แฟนบอลมักแซวในฐานะ “ทีมเศรษฐี" หรือ “ทีมรวมดารา" ไปอย่างหมดสิ้น

ณ ตอนนี้ พวกเขาเป็น “ทีม" โดยสมบูรณ์แบบ … ติดตามเรื่องราวการพลิกประวัติศาสตร์ของแชมป์ยุโรปทีมล่าสุดอย่าง เปแอสเช กับ Main Stand 

 

เพื่อเป็นที่ 1

ปารีส แซงต์ แชร์กแม็ง พยายามไล่ล่าตำแหน่ง “หมายเลข 1 ของโลกฟุตบอล" เป้าหมายที่ไม่มีสโมสรจากฝรั่งเศสทีมไหนกล้าคาดหวังและตั้งธงไว้แน่นอน จนกระทั่งในปี 2011 ภาพจำแห่งความเจียมเนื้อเจียมตัวของทีม ๆ นี้ถูกเปลี่ยนแปลงไปในชั่วข้ามคืน จากการมาของเจ้าของสโมสรคนใหม่ กลุ่มทุน Qatar Sports Investments     หรือ QSI และประธานสโมสรนาม นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ 

คนในวงการฟุตบอลไม่มีใครรู้จัก และไม่มีใครคิดว่าเขาจะมีองค์ความรู้ที่มากพอที่จะสร้างทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก จากภาพจำของการเป็นชาวตะวันออกกลาง ภูมิภาคที่ไม่เคยเก่งกาจเรื่องฟุตบอล ... ทว่าเรื่องบางเรื่องก็ควรปล่อยให้คนนอกพูดไป จนกว่าคุณไปถึงเป้าหมายนั้นได้ และใช้มันเป็นคำตอบของทุกคำภาม 

กลุ่ม QSI เข้ามาเทคโอเวอร์เปแอสเชในปี 2011 ด้วยเงินจำนวน 70 ล้านยูโร โดยกลุ่ม QSI มี Qatar Investment Authority หรือ QIA กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของกาตาร์ ที่ปัจจุบัน มีทรัพย์สินภายใต้กองทุนมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาท เป็นกระเป๋าสตางค์ใบโต

อัล เคไลฟี่ ที่เคยเป็นอดีตนักเทนนิสอาชีพ และเป็นอดีตประธานสหพันธ์เทนนิสแห่งกาตาร์ ได้รับเลือกจากบอร์ดบริหารขึ้นมาเป็นผู้นำองค์กรนี้ และการซื้อ เปแอสเช คือหนึ่งในงานที่เขาให้สัมภาษณ์หลังจากรับตำแหน่งประธานสโมสรเต็มตัวว่า 

"เราจะสร้างทีมที่ยิ่งใหญ่ เราจะลงทุนอย่างจริงจัง ทั้งในนักเตะระดับโลก และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้เปแอสเชประสบความสำเร็จในระดับสูงสุด เราจะสร้างสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส และหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในยุโรปและของโลก" นั่นคือวันที่เขาแสดงวิสัยทัศน์ ในวันที่ทั้งโลกยังมองว่า เปแอสเช ไม่ต่างอะไรกับของของเล่นเศรษฐี 

ทุกคนยิ่งคิดถูกเข้าไปอีกด้วยนโยบายในตอนแรกของสโมสร เพราะ เปแอสเช แต่งตั้ง เลโอนาร์โด้ เข้ามาเป็นประธานเทคนิค และให้งบประมาณเสริมทัพด้วยนักเตะที่ดังและมีชื่อเสียงหลายคนโดยที่ยุคสมัยนั้นยังไม่มีกฎทางการเงินเหมือนกับตอนนี้ กระแสเงินสดของ QSI ถูกแปรเปลี่ยนเป็นเงินทุนสำหรับการเสริมทัพของสโมสรในทุก ๆ ด้าน พวกเขาพร้อมอัดทั้งค่าตัว และค่าจ้าง ไม่ว่าจะกับนักเตะ โค้ช หรือแม้แต่สตาฟฟ์ที่ทำงานหลังบ้าน 

เรื่องของกาารซื้อนักเตะเป็นอะไรที่หลายคนให้ความสนใจมากที่สุด นักเตะดังอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, ติอาโก้ ซิลวา หรือแม้กระทั่ง เดวิด เบ็คแฮม และนักเตะดังเหล่านี้ถือเป็นขุมกำลังหลักที่เพียงพอต่อการพาทีมเป็นแชมป์ลีกฝรั่งเศสในทันที เพียงแต่ว่า "แล้วใครจะสนกับแชมป์ลีกเอิง ?" การเข้ามาของมหาเศรษฐี พูดจาใหญ่โต พร้อมงบประมาณไม่อั้น ต่อให้เป็นการกล่าวแบบไม่ดูถูกฟุตบอลลีกในประเทศของฝรั่งเศส ก็คงไม่มีใครเถียงว่า "แค่ลีกเอิงมันน้อยเกินไป" 

อัล เคไลฟี่ เข้าใจเรื่องนี้เสมอ การเป็นแชมป์ลีกเอิงจะไม่ทำให้ทั้งโลกหันมอง แต่ภายใต้คำวิจารณ์และคำแซว นี่คือการเดินหน้าแบบ "Step by step" เพราะเขาไม่ได้แค่จะทำให้สโมสรประสบควาสำเร็จแค่ในสนามเท่านั้น แต่สโมสรจะต้องกลายเป็นซูเปอร์แบรนด์ระดับโลก เปลี่ยนภาพจำจากแชมป์ลีกชาวนาให้กลายเป็นทีมที่มีมูลค่าในตลาด แค่พูดชื่อก็ร้องอ๋อ เหมือนกับทีมอย่าง เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า และทีมอื่น ๆ ที่ติดตลาดไปก่อนแล้ว

และการจะทำแบบนั้นได้ มันก็มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องใช้ดาราชื่อดังเป็นการขับเคลื่อนในตอนแรก แม้จะยังไม่ดีพอจะไปถึงแชมป์ยุโรป แต่พวกเขาก็ไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้น แม้ไม่ใช่คนฟุตบอลแต่ อัล เคไลฟี่ ก็เป็นนักกีฬาที่เข้าใจถึง "ระดับ" เป็นอย่างดี การจะไปถึงแชมป์ยุโรป หรือเป็นเหมือนเพชรยอดมงกุฎที่ประกาศให้รู้ว่าคุณคือ "ทีมที่ดีที่สุดในโลก" ยังเป็นได้แค่ความฝัน ... เพียงแต่เขาอนุญาตให้เป็นความฝันแค่ในช่วงตั้งไข่เท่านั้น 

และเมื่อมาถึงจุดที่แชมป์ลีกกลายเป็นเรื่องปกติ นักเตะที่ก้าวเข้ามาที่นี่เริ่มเป็นนักเตะเบอร์ใหญ่มากขึ้น ท้าทายมากขึ้น และก้าวต่อไปก็ถูกประกาศออกมาจากปาก อัล เคไลฟี่ ว่า "ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คือความฝันของเรา และเราจะทำทุกอย่างเพื่อให้มันเป็นจริง" 

 

หาลายเซ็น

การจะไปถึงขั้นระดับนั้นได้ต้องมีนักเตะที่เก่ง และมีโค้ชที่สามารถจัดการนักเตะเก่งเหล่านี้ให้รวมกันเป็นทีมให้ได้ เรื่องนี้ไม่มีใครไม่รู้ แต่ของแบบนี้มันพูดง่ายแต่ทำยาก

เพื่อจะไปให้ถึงจุดที่เรียกว่า “เบอร์ 1 ของโลก" อัล เคไลฟี่ ซื้อนักเตะเก่ง ๆ และเลือกโค้ชที่มีโปรไฟล์สวย ๆ เข้ามาคุมทีมแบบแทบไม่ต่อรองเรื่องค่าจ้าง … คาร์โล อันเชล็อตติ, โลร็องต์ บล็องก์, อูไน เอเมรี่, โธมัส ทูเคิ่ล, เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่, คริสตอฟ กัลติเยร์ คือผู้จัดการทีมที่เข้ามาคุมเปแอสเชในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาแล้ว บางคนเป็นกุนซือหนุ่มไฟแรง บางคนเป็นโค้ชที่ขึ้นชื่อเรื่องการปกครองคน และบางรายก็เป็นมือเก๋าที่ไว้ใจได้ แต่ปัญหาก็คือไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุค ฟุตบอลของ เปแอสเช ไม่เคยมีอัตลักษณ์ หรือลายเซ็นของตัวเองที่ชัดเจน 

จากรรายชื่อกุนซือที่กล่าวมาทั้ง 6 คนในข้างต้น ถ้าคุณลองพิจารณาดูดี ๆ คุณจะพบว่าไม่สามารถหาความเชื่อมโยงของผู้จัดการทีมทั้ง 6 คนนี้ได้เลยว่ามีความเกี่ยวเนื่องในการทำฟุตบอลในทางเดียวกันตรงไหนบ้าง เปแอสเช ในก่อนหน้านี้จึงกลายเป็นทีมที่ไม่มีอะไรให้จดจำในแง่ของสไตล์ ถ้าจะมีใครกล่าวถึงพวกเขา ก็มีแค่เรื่องการทุ่มซื้อนักเตะเท่านั้น 

แม้ในวันที่พวกเขารวบรวม 3 พระกาฬอย่าง ลิโอเนล เมสซี่, เนย์มาร์ และ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ อยู่ในทีม ฟุตบอลของ เปแอสเช ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก คว้าแชมป์ในประเทศ และปิ๋วในฟุตบอลยุโรป ซึ่ง มาร์ติน ซามูเอล นักเขียนของเว็บไซต์ The Times สำนักข่าวเก่าแก่ที่สุดในประเทศที่บ้าฟุตบอลอย่างอังกฤษเขียนสรุปเรื่องราวก่อนหน้านี้ของ เปแอสเช ว่า 

"เปแอสเช ถูกครอบด้วยเหล่ากาลาติกอส ฟุตบอลของพวกเขาขึ้นอยู่กับนักเตะเหล่านั้นว่าตั้งใจจะโชว์อะไรออกมาให้โลกได้เห็น นั่นทำให้ทุกคนมาดูสตาร์ของพวกเขาลงเล่น ไม่ได้มาดู 'ทีม' ลงเล่น และถ้ามีคนถามคุณว่า อะไรทำให้คุณนึกถึงฟุตบอลของ เปแอสเช ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณคงต้องพูดถึงเรื่องแข้งดาราของพวกเขาออกมาสักชื่อ" 

ขยายความเพิ่มจากสิ่งที่เขาเขียนมานี้มันแปลว่าอะไรกันแน่ ? คำตอบที่ง่ายที่สุดคือ เปแอสเช ไม่เคยมีลายเซ็นเป็นของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น แมนฯ ยูไนเต็ด ถูกจดจำได้ด้วยสไตล์ฟุตบอลที่ไม่เคยยอมแพ้, ลิเวอร์พูล ถูกจดจำจากการเล่นด้วยพละกำลัง ความบ้าคลั่ง และหัวใจ, บาร์เซโลน่า กับฟุตบอลเท้าสู่เท้าที่เป็นรากของสโมสร หรือ เรอัล มาดริด กับการเป็นเจ้ายุโรป เป็นผู้เชี่ยวชาญในการเล่นบิ๊กเกมอันดับ 1 ของโลก ต่อให้ไม่ต้องพูดชื่อนักบอลของพวกเขา คุณก็จะนึกถึงความโดดเด่นของทีมเหล่านี้ออกได้อย่างง่าย 

คำถามนี้กลับมาอีกครั้ง แล้ว เปแอสเช มีอะไรเป็น DNA หรือลายเซ็นของพวกเขา ? ... เรื่องนี้แฟนบอลอย่างเราก็รู้ แล้วทำไมกลุ่มคนนั่งโต๊ะของบริษัทที่มีสินทรัพย์ 10 ล้านล้านบาท อย่าง อัล เคไลฟี่ จะไม่รู้ และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้สอนอะไรให้กับเขาบางอย่างนั่นคือ หมากที่เขาเดินมาตลอดที่จะขับเคลื่อนทีมด้วยผลงานในสนามกับมูลค่านอกสนามเป็นสิ่งที่สามารถบาลานซ์กันได้ยาก และถ้าการจะเป็นแชมป์ มันต้องการ DNA จริง เขาอาจจะต้องยอมเสียมูลค่านอกสนามไปบ้าง เพื่อให้ได้มาซึ่ง "ทีมฟุตบอล" ไม่ใช่แค่ "นักฟุตบอล" ที่พร้อมจะเอาชนะทุกทีมในโลก 

และคงไม่เกินเลยไปนักที่จะบอกว่า แนวคิดนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากการสัมภาษณ์เฮดโค้ชที่เคยคว้าแชมป์ยุโรปมาแล้วอย่าง หลุยส์ เอ็นริเก้ 

 

ก่อร่างสร้าง DNA 

เปแอสเช ตัดสินใจเลือก หลุยส์ เอ็นริเก้ เข้ามาคุมทีมในปี 2023 ด้วยเหตุผลหลายประการที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแนวทางของสโมสรจาก "ซูเปอร์สตาร์เป็นศูนย์กลาง" ไปสู่ "ทีมเวิร์ก-ระบบเป็นหัวใจ"  

หลุยส์ เอ็นริเก้ ที่ขึ้นชื่อเรื่องระบบการเล่นเป็นพิเศษ หลายคนบอกว่าเขาเป็นโค้ชที่คิดมาก และมีการเปลี่ยนทีมหรือจัดการทีมที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่ตัวของเขาอธิบายเสมอนับตั้งแต่เข้ามาทำทีม เปแอสเช นั่นก็คือ เขาอยากที่จะให้ทีม ๆ นี้ กลายเป็นทีมที่มีศักยภาพรอบด้าน มีความเข้าใจร่วมกัน และเหนือสิ่งอื่นใดคือ การมีระบบการเล่นที่ชัดเจน ชนิดที่ใครเห็นต้องร้องอ๋อ และรู้ทันที่ว่านี่เป็นฟุตบอลในสไตล์ของ เปแอสเช 

ก่อนหน้านี้ เอ็นริเก้มีชื่อเสียงจากการพา บาร์เซโลนา คว้า ทริปเปิลแชมป์ในปี 2015 ด้วยฟุตบอลที่ผสมระหว่าง ครองบอล-เกมรุกเร็ว-เพรสซิ่งสูง ต่อให้ทีมชุดนั้นจะมีนักเตะอย่าง เมสซี่, เนย์มาร์ และ หลุยส์ ซัวเรซ แต่คุณปฏิเสธไม่ได้ว่าสไตล์ฟุตบอลของทีม บาร์่ซ่า ชุดนั้นมันชัดมาก ๆ เพียงแต่ 3 เทพที่กล่าวมาคือ "พระเจ้า" ที่ทำให้ระบบที่มีชัดเจนอยู่แล้วพัฒนาไปสู่จุดที่ "ไร้เทียมทาน"

นอกจากนี้ บุคลิกของ เอ็นริเก้ ยังเป็นสิ่งที่เปแอสเชมองหา เพราะเขามีบุคลิกที่เด็ดขาด ไม่ประนีประนอม พร้อมตัดสินใจเพื่อผลประโยชน์ของทีม เช่น ตัดนักเตะดังออกจากทีมชาติสเปนหากไม่เหมาะกับระบบ หรือแม้แต่ย้อนกลับไปตอนที่เขาพา บาร์เซโลน่า ครองโลก ก็มีข่าวว่าเขากับ เมสซี่ ไม่ค่อยกินเส้นกันนอกสนาม แต่เขาก็ยังสามารถทำให้ เมสซี่ ลงเล่นและสู้ตายเพื่อทีมได้อย่างยอดเยี่ยม ... และแน่นอนที่ เปแอสเช เขาก็ทำเช่นนั้นในวันที่ เอ็มบัปเป้ จะไม่ต่อสัญญากับทีม 

ตอนนั้นเอ็นริเก้โดนถามว่า ทำไมไม่ใช้งานนักเตะที่ดีที่สุดอย่าง เอ็มบัปเป้ และเขาก็ตอบกลับอย่างกล้าหาญว่า "ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ซับซ้อนเพียงพอที่ทีมที่มีผู้เล่นที่ดีที่สุดจะไม่ชนะเสมอไป ผมขอย้ำอีกครั้งว่า ผมเชื่อมั่นว่าไม่ว่าผู้เล่นจะอยู่ที่นี่หรือไม่ก็ตาม เราจะเป็นทีมที่ดีขึ้นในปีหน้า" ... และเรื่องนี้แทบจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ เปแอสเช ในชุดปัจจุบันเลยก็ว่าได้ 

และอย่างที่หลายคนรู้กัน ในซีซั่นนี้ เปแอสเช ไม่ต้องให้ใครมาเดินนำหน้า ไม่ต้องมีใครถูกชมเพียงลำพังเมื่อทีมชนะ ไม่ต้องมีใครถูกต่อว่าทีมโดยลำพังเมื่อทีมแพ้ พวกเขากลายเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบ มีพร้อมทั้งสไตล์การเล่นที่เป็นการเล่นแบบโมเดิร์นฟุตบอลเต็มตัว กล่าวคือครองเกมได้ทั้งรับและรุก รวมถึงกดดันคู่แข่งตั้งแต่แดนบน (High pressing) ให้ความสำคัญกับการแย่งบอลจากทุกพื้นที่ในสนาม โดยนักเตะทุกคนไม่มีใครได้รับข้อยกเว้นให้หยุดวิ่ง ถ้าทั้งทีมยังไม่หยุด ซึ่งต้องยอมว่านี่เป็นสิ่งที่เอ็นริเก้ทำได้ดีมาก ๆ ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงที่เห็นผลถ้าคุณเห็นคุณภาพเกมในสนามของ เปแอสเช แต่ละนัด โดยเฉพาะในรายการที่พวกเขาใฝ่ฝันอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

พวกเขาคือทีมที่ยิงประตูได้ถึง 38 ลูกจาก 17 เกมใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ เฉลี่ยเกมละ 2.24 ประตู นอกจากนี้พวกเขายังมีอัตราการครองบอลเฉลี่ย 60.34% และความแม่นยำในการผ่านบอลถึง 89.5% ซึ่งยืนยันได้ถึงการเป็นทีมที่เชี่ยวชาญเรื่องการครอบครองบอลเป็นอย่างดี พร้อมกันนี้เกมรุกของพวกเขายังหลากหลายมาก เพราะมีนักเตะที่ยิงประตูในรายกาารนี้รายการเดียวมากถึง 12 คน 

ส่วนสถิติเกมรับที่ไม่เคยเป็นจุดแข็งของทีม เปแอสเช เลยในทุก ๆ ยุคก็ดีขึ้นมาก ๆ เพราะในซีซั่นนี้พวกเขาเสียประตูแค่ 10 ลูกจาก เก็บคลีนชีทได้ 5 เกม เข้าปะทะสำเร็จ 79 ครั้ง, ชิงบอลจังหวะที่ 2 ในจังหวะที่ไม่มีการครองบอล 541 ครั้ง มากที่สุดในบรรดาทุกทีม ... ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะตอนนี้พวกเขาเป็นทีมโดยสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครเดินนำหน้า และไม่มีใครเป็นคนที่ถูกลืม 

ฟุตบอลของ เปแอสเช ได้ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการในยุคของ หลุยส์ เอ็นริเก้ เกมรุกที่หลากหลาย เกมรับที่สามัคคี และความบ้าระห่ำในการแย่งชิงฟุตบอลกลับมาครอง คือสิ่งที่โค้ชชาวสเปนรายนี้ถ่ายทอดให้กับรูปทีมของเขาได้อย่างหมดจด และทุกอย่างยืนยันตัวมันเองด้วยผลงานในสนาม มาตรฐาน และถ้วยแชมป์ยุโรปที่ในเกมนัดชิงชนะเลิศ พวกเขาชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่เหลือเหลี่ยมให้ทีมอย่าง อินเตอร์ มิลาน ได้ตอบโต้เลย 

ภาพจำของสโมสรนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ... นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ ก็ได้เรียนรู้เรื่องนี้ไปพร้อม ๆ กับนักเตะและแฟนบอลของเขา เพราะ DNA ของทีม ๆ นี้เกิดขึ้นได้จากสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมาอย่างโดดเด่นและเต็มไปด้วยคุณภาพ ตอนนี้ทุกคนได้รู้แล้วว่าฟุตบอลของ เปแอสเช เป็นอย่างไร และสิ่งที่น่ากลัวของทีมอื่น ๆ ในยุโรปก็คือ เมื่อเศรษฐีที่พวกเขาเคยมองว่าเดินหลงทางมาตลอดได้เจอกับเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว ต่อไปนี้การลงทุนในอนาคตของ เปแอเส จะมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น ทำให้พวกเขาพลาดยากขึ้น 

และยิ่งพวกเขาพลาดยากเท่าไร ... ยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรปก็ต้องจับตาพวกเขาเอาไว้ให้ดีเท่านั้น 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.longtunman.com/32077
https://www.thetimes.com/sport/football/article/paris-saint-germain-champions-league-martin-samuel-dsg89qvzn?utm_source=chatgpt.com&region=global
https://www.ft.com/content/86ef7585-2a07-4645-baf9-26e8a55b68e4?utm_source=chatgpt.com
https://cadenaser.com/nacional/2025/05/31/el-psg-de-al-khelaifi-ha-sido-por-fin-el-psg-de-luis-enrique-el-sanedrin-se-vuelca-con-el-gran-protagonista-de-una-champions-historica-cadena-ser/?utm_source=chatgpt.com
https://theathletic.com/3175620/2022/03/11/psg-wreckage-another-champions-league-calamity/
https://theathletic.com/news/psg-shouldnt-throw-everything-in-the-bin-after-ucl-defeat-sporting-director-leonardo/jBnCRXt0TABG/
https://theathletic.com/3122270/2022/02/16/it-can-take-a-year-for-a-coachs-ideas-to-come-across-on-the-pitch-is-pochettino-finally-taming-the-psg-circus/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ