นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร อาร์เซน่อล สามารถเอาชนะ เรอัล มาดริด ได้เพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น และชัยชนะเกมดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน
มันคือเกมที่ เธียร์รี่ อองรี อยู่ในยุคร่างทองที่สุดแม้อายุจะมากขึ้น
ภายใต้ทีมที่ดูเป็นรองบนหน้ากระดาษ อองรี เปลี่ยนโฉมหน้าให้เด็ก ๆ ในทัพปืนโตที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาตัวใหญ่ขึ้นเมื่ออยู่บนสนามได้อย่างไร ?
ติดตามกับ Main Stand
อองรีในวันเป็นพี่ใหญ่
เธียร์รี่ อองรี ย้ายมาอยู่กับ อาร์เซน่อล ในช่วงซัมเมอร์ปี 1999 เพื่อเข้ามาแทนที่การย้ายออกของ นิโกล่าส์ อเนลก้า ดาวยิงเพื่อนร่วมชาติที่ก็เป็นเพื่อนซี้กับเขามาตั้งแต่สมัยเล่นให้เยาวชนทีมชาติฝรั่งเศสแล้ว
การมาของ อองรี ในเวลานั้นไม่มีใครคิดและคาดหวังว่าเขาจะกลายเป็น "King Henry" แบบที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ด้วยเหตุผลหลายประการ
แม้ในปี 1998 เขาเป็น 1 ในขุนพลทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์โลกสมัยแรก และเป็นดาวซัลโวของทีม แต่ผลงานของเขาในช่วงที่เรียกว่าเป็นดาวรุ่งในระดับสโมสรไม่ได้แน่นอนนัก
หลังจบฟุตบอลโลก อองรี ย้ายจาก โมนาโก ไปเล่นให้กับ ยูเวนตุส ใน เซเรีย อา และถูกจับโยกไปเป็นกองกลางตัวริมเส้น ซึ่งถ้าย้อนกลับไปอีกในช่วงนั้น อองรี ไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษ แม้เจ้าตัวจะมีทักษะ มีความเร็ว คล่อง ว่องไว แต่กับจังหวะการเล่นในฟุตบอลอิตาลี ณ เวลานั้น เป็นอะไรที่ไม่ลงล็อกกับเขาเสียส่วนมาก และนั่นทำให้ ยูเวนตุส ปล่อย อองรี ให้ อาร์เซน่อล ในราคา 10 ล้านปอนด์ (ขาย อเนลก้า ไป 30 ล้านปอนด์)
นอกจากนี้ อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือ อาร์เซน่อล ในเวลานั้นก็ไม่ได้ซื้อแค่ อองรี คนเดียว เขายังจัด ดาวอร์ ซูเคอร์ ดาวซัลโวของศึก ฟรองซ์ 98 มาเสริมทัพด้วยอีกคน ณ ตอนนั้นความสนใจไปอยู่กับ ซูเคอร์ ที่ย้ายมาจาก เรอัล มาดริด ด้วยซ้ำ
อองรี มาที่นี่และยังจับจังหวะเกมไม่ได้ในช่วงแรก ช่วงเวลาสำคัญคือหลัง 4 เดือนผ่านไป เขายังไม่สามารถยึด 11 ตัวจริงถาวรในทีมปืนใหญ่ได้ การเปลี่ยนแปลงของเขาจึงเริ่มขึ้นเพื่อไปสู่เวอร์ชั่นที่ดีกว่า ประกอบกับการที่เขาเริ่มถูกจับไปวางในตำแหน่งกองหน้าตัวต่ำด้วย
"หลายคนบอกว่าวิธีการเล่นของผมเปลี่ยนไปเยอะมากหลังจาก 4 เดือนแรกที่ อาร์เซน่อล และผมต้องบอกว่ามันถูกต้องทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าผมไม่ได้เป็นคนเขลาขาดปัญญา เพราะสิ่งสำคัญในการเป็นมนุษย์ ก็คือคุณควรได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองนี่แหละ" อองรี กล่าว
"ตอนที่ผมยังเด็ก ผมเลือกจะพยายามเล่น และพยายามทำในสิ่งที่ผมต้องการทำ ไม่ใช่สิ่งที่ทำแล้วมีประโยชน์ต่อทิศทางของทีมที่อยู่ในเกม การเปลี่ยนแนวคิดจุดนี้นี่แหละคือความแตกต่างสำคัญของผมเลย"
ขยายภาพให้กว้างขึ้นก็คือ จุดเปลี่ยนของ อองรี ในการก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมได้ คือการเข้าใจวิธีการเล่นของทีม และใช้จุดแข็งของตัวเองมาเติมตรงนั้น เขาไม่พยายามทำอะไรที่ยากตลอดเวลา เพราะมีนักเตะรอบข้างที่สามารถช่วยลดภาระเกมบุกได้ดี นักเตะอย่าง เดนิส เบิร์กแคมป์, ซิลแว็ง วิลตอร์, เอ็นวานโก้ คานู, เฟร็ดดี้ ลุงเบิร์ก, โรแบร์ ปิแรส และ โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส กับวิธีการเล่นของทีมที่มีตัวสอด ตัวเข้ามาช่วยประคองตลอด ทำให้ อองรี เชื่อใจในตัวเพื่อนของพวกเขามากขึ้น จังหวะที่ต้องจ่าย เขาก็ไม่ลังเลที่จะทำ
การปรับสไตล์แบบนี้มันทำให้เขาสามารถถนอมร่างกายตัวเองให้บาดเจ็บน้อยลงในซีซั่นที่ยาวนานได้ด้วย เขาไม่จำเป็นต้องกระชากทางไกลทีละครึ่งสนามเหมือนตอนหนุ่ม ๆ วันไหนที่ร่างกายไม่ฟิตเต็มร้อย เขาก็จะเน้นที่การใช้ตัวเองเป็นตัวหลอก เน้นจ่ายมากกว่าจบเอง ซึ่งนั่นเป็นเคล็ดลับที่ทำให้ อองรี เริ่มขยับระดับ และก้าวขึ้นมาเป็นตำนานพรีเมียร์ลีก ที่ไม่ว่าจะเลี้ยง สร้างโอกาส แอสซิสต์ หรือทำประตู เขาก็สามารถทำได้ดีทั้งนั้น
"อองรี ไปถึงอีกระดับในช่วงปี 2002 ตอนที่เราได้แชมป์ยูโร 2000 เขายังไม่ได้เป็นภัยคุกคามของกองหลังทุกคนเหมือนในตอนนี้ ตอนนี้มันเหมือนกับว่าเวลาบอลอยู่กับเท้าของเขาเมื่อไหร่ วิธีการเล่นของเขาจะเหมือนเป็นการประกาศว่า 'นี่คือลูกบอลของฉัน อย่าคิดแม้แต่จะเข้าใกล้'" ยูริ จอร์เกฟฟ์ รุ่นพี่ร่วมทีมชาติและเคยเล่นกับ อองรี สมัยเริ่มค้าแข้งกับ โมนาโก กล่าว
อย่างที่ จอร์เกฟฟ์ บอก ร่างทองของอองรี นำมาซึ่งดับเบิ้ลแชมป์ พรีเมียร์ลีก กับ เอฟเอคัพ ในฤดูกาล 2001-02 และแชมป์ พรีเมียร์ลีก ไร้พ่ายในซีซั่น 2003-04 ซึ่งช่วงเวลาหลังจากนั้น นักเตะดังในทีมหลายคนก็เริ่มทยอยย้ายทีม และเลิกเล่น อองรี จึงขยับขึ้นมาเป็นนักเตะซีเนียร์และสวมปลอกแขนกัปตันทีมในเวลาต่อมา
ณ ตอนนั้นเขากลายเป็นผู้นำในสนามและห้องแต่งตัว ด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้น กึ๋นของเขาเฉียบขาด แต่ในทางร่างกายมันก็เริ่มจะโรยลงตามสังขาร จังหวะการเล่นยากกระชากยับไม่ค่อยถูกนำออกมาใช้บ่อยอีกแล้ว ยกเว้นเสียแต่ว่าเกมสำคัญจริง ๆ ซึ่งจะมีประตูไหนบ่งบอกถึงความสุดยอดของเขาได้มากไปกว่าประตูโซโล่เกินครึ่งสนามที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ลูกยิงที่ทำให้ อาร์เซน่อล เชี่ย เรอัล มาดริด ตกรอบ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ อองรี เลือกใช้ท่าไม้ตายของเขาออกมาใช้
ประตูที่ดีที่สุดในชีวิตอองรี
เธียร์รี่ อองรี ยิงประตูตลอดอาชีพค้าแข้งมากมายพาลขี้เกียจนับ แต่ประตูที่ดีที่สุดในชีวิตเขา ต้องยกให้ลูกยิงโซโล่ครึ่งสนามที่ เบอร์นาเบว อย่างไร้ข้อโต้แย้ง
ในฤดูกาล 2005-06 อาร์เซน่อล ถ่ายเลือดครั้งสำคัญ นักเตะดาวรุ่งคนเริ่มขึ้นมาแทนที่กลุ่มไร้พ่าย นำโดย 2 คู่กลางเลือดใหม่อย่าง มาติเยอ ฟลามินี่ และ เชส ฟาเบรกาส ในแนวรุกริมเส้นเริ่มมี อเล็กซานเดอร์ เคล็บ เข้ามาสลับหน้าที่กับ ปิแรส และ ลุงเบิร์ก ที่อายุเริ่มมากขึ้น พร้อมด้วยตัวสแตนด์บายอย่าง อเล็กซ์ ซง, อาบู ดิยาบี้ และ ธีโอ วัลค็อตต์ เด็กนรกผู้ถูก เวนเกอร์ ซื้อมาร่วมทีมตั้งแต่อายุ 16 ปี ด้วยราคาถึง 15 ล้านปอนด์
แม้ภาพรวมจะดร็อปลงไป แต่ อาร์เซน่อล ชุดนั้นยังคงมี อองรี เป็นผู้นำทัพที่ทำให้ทีมอื่นไม่กล้าประมาท ในฟุตบอลยุโรปปีนั้น อาร์เซน่อล ร้อนแรงมาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม เป็นแชมป์กลุ่มเข้ามาด้วยสถิติไร้พ่าย ชนะ 5 เสมอ 1 ทว่าในรอบ 16 ทีม พวกเขาต้องเจอกับ ราชายุโรป อย่าง เรอัล มาดริด ที่อยู่ในยุค กาลาติกอส นักเตะดังเต็มทีม และเป็นหนึ่งในทีมเต็งของปีนั้น และในการจับฉลากประกบคู่ ไม่มีใครคิดว่า อาร์เซน่อล จะผ่าน มาดริด ได้ นั่นคือสิ่งที่เซียนทุกสำนักฟันธง
อย่างไรก็ตาม ทีมที่ดูแกร่งที่สุดบนหน้ากระดาษ อาจจะเป็นทีมที่แพ้ทางในเชิงกลยุทธ์ก็เป็นได้ ... สำนักข่าว The Guardian เขียนถึงเกมดังกล่าวเอาไว้ว่า แม้ อาร์เซน่อล จะเป็นทีมที่มี อองรี แบกเป็นหลักแค่คนเดียว แต่พวกเขาก็มีในสิ่งที่ มาดริด ไม่มีและพร้อมจะเล่นงานยักษ์ใหญ่จากสเปนได้เหมือนกัน
"หนึ่งในลักษณะการเล่นที่โดดเด่นและเฉียบคมเหมาะกับตัวเองที่สุดของ อาร์เซน่อล ก็คือทีม ๆ นี้ไม่จำเป็นต้องมีเพลย์เมคเกอร์หรือกองกลางสายสร้างสรรค์เกมประเภทศิลปินลูกหนังเลย พวกเขาอาจจะไม่มีนักเตะอย่าง ซีเนดีน ซีดาน แต่บอกตรง ๆ ว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่"
"เพราะการมีจอมทัพอย่าง ซีดาน อาจจะทำให้บอลในแดนกลางช้าลง อาร์เซน่อล ชุดนี้อาจจะไม่ได้เป็นเจ้าแห่งการครองบอลเหมือนยุคไร้พ่าย แต่ไม่มีทีมไหนในยุโรปที่เปลี่ยนจากรับเป็นรุกได้รวดเร็วและแม่นยำเท่ากับพวกเขาเลย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเกมสวนกลับของ อาร์เซน่อล พร้อมจะเล่นงานทุกทีม และยากจะป้องกัน" บทความของ The Guardian ว่า
แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ บอลจากจังหวะที่ เรอัล มาดริด ได้เตะมุมและเสียบอล บอลเริ่มถูก อาร์เซน่อล ลำเลียงมาจาก ฟาเบรกาส ที่ผู้บรรยายในเกมนั้นขยายความที่ยืนยันถึงความใหม่ถอดด้ามของเขาว่า "เด็กหนุ่มจากบาร์เซโลน่า" ส่งบอลให้กับ อองรี และในเวลานั้นไม่มีนักเตะของ อาร์เซน่อล คนไหนอยู่ข้างหน้าเขาแล้ว อองรี ต้องใช้สิ่งที่เขาไม่ค่อยโชว์ในช่วงหลัง นั่นคือทักษะการบุกเดี่ยวแบบแหวกคู่แข่งระยะไกล ๆ ออกมาใช้
อองรีเริ่มเลี้ยงบอลจากกลมตรงกลางสนามและวิ่งผ่าน โรนัลโด้, อัลบาโร่ เมฆียา, กูตี และ เซร์คิโอ รามอส จากนั้นเขาจบสกอร์ด้วยการซัดด้วยซ้ายในกรอบเขตโทษ ส่งบอลผ่าน อิเกร์ กาซิยาส ไปมุมขวาล่างแบบหมดปัญญาจะเซฟ อาร์เซน่อล สร้างเซอร์ไพรส์นำ 1-0 และชนะเกมนั้นด้วยสกอร์ดังกล่าว พร้อมทำสถิติการบุกมาเอาชนะที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรด้วย
"ลูกยิงนั้นคือสัญลักษณ์ประจำตัวอองรีจริง ๆ เธียร์รี่ ไม่เคยเป็นนักเตะที่ยืนเอาแต่รอยิงอยู่หน้าประตูมาตลอดชีวิตค้าแข้ง เพราะเขามีส่วนร่วมในเกมก่อนที่จะหาพื้นที่ทำประตูเอง ลูกบอลจะเคลื่อนไหวตลอดเวลาเมื่อ อาร์เซน่อลเล่น และคุณจะเห็นได้ว่า เธียร์รี่ ได้รับความเพลิดเพลินอย่างมากจากเทคนิคและการเคลื่อนไหวของนักเตะรอบๆ ตัวเขา”
อาร์โนลด์ คาตาลาโน่ แมวมองผู้ค้นพบ อองรี พูดถึงประตูดังกล่าว จากนั้น อาร์แซน จึงช่วยยืนยันประตูนั้นว่า "นี่คือกองหน้าที่ไม่ได้พยายามทำเองยิงเองมากเกินไป หากเขาไม่เห็นว่ามันถึงเวลาที่จำเป็นต้องทำจริง ๆ "
ไฮไลต์ลูกยิงของ อองรี ลูกนี้ยังคงปรากฏให้เห็นบนหน้าโซเชี่ยลเสมอ แม้เวลาจะผ่านมาแล้วเกือบ 20 ปี ก็ตาม ... และมันไปไกลยิ่งกว่าโลกฟุตบอลด้วย
ลูกยิงดังบทภาพยนตร์
แม้หลังจากผ่าน เรอัล มาดริด ด้วยสกอร์รวม 1-0 ตามด้วยการเขี่ย ยูเวนตุส ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยสกอร์รวม 2-0 และ บียาร์เรอัล ในรอบรองชนะเลิศด้วยสกอร์รวม 1-0 ทว่าเมื่อถึงรอบชิงชนะเลิศก็อย่างที่หลายคนรู้กัน อาร์เซน่อล เข้าไปชิงกับ บาร์เซโลน่า และเหลือ 10 คนตั้งแต่ต้นเกม ก่อนแพ้ไปในช่วงท้ายเกมทั้งที่ยิงนำได้ก่อน แต่นั่นก็เป็นครั้งแรกที่ อาร์เซน่อล มาถึงรอบชิง และเป็นปีที่ อองรี เล่นดีที่สุดเทียบเท่ากับยุคไร้พ่ายในฤดูกาล 2003-04
ประตูดังกล่าวเป็นประตูระดับ Iconic ที่เคยปรากฎบนภาพยนตร์ฟุตบอลเรื่อง GOAL เกมหยุดโลก ภาค 2 ซึ่งในหนังได้ตัดเอาหลายฉากสำคัญในเบอร์นาเบว และ "อองรีโชว์" ในเกมนั้น มาใช้ในหนังในฐานะเกมนัดชิงชนะเลิศกับ เรอัล มาดริด ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเป็นหนัง มันก็ต้องจบด้วยชัยชนะของ มาดริด ที่มีพระเอกของเรื่องอย่าง ซานติอาโก้ มูนเญซ ไปโดยปริยาย
แต่ปีนี้ 2025 ใครจะรู้ ... อาร์เซน่อล ในเวอร์ชั่นที่ไม่ได้มีซูเปอร์สตาร์แบกทีม กำลังจะมาเล่นที่ เบอร์นาเบว อีกครั้ง การเอาชนะในโลกแห่งความจริงและแพ้ในโลกแห่งภาพยนตร์ อาจจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรแห่งนี้อีกครั้ง
ในยุค อองรี พวกเขาเอาชนะที่ เบอร์นาเบว เป็นครั้งแรก และในยุคนี้ถ้าพวกเขาผ่าน มาดริด ไปได้ พวกเขาจะถึงรอบ 4 ทีมสุดท้าย และจากนั้นอีกไม่กี่ก้าว เพื่อการลุ้นเป็นแชมป์ยุโรปสมัยแรกของสโมสร
ถ้าหากประตูของ อองรี จะช่วยอะไรนักเตะชุดปัจจุบันได้ ก็ต้องบอกว่านี่คือประตูที่ทำให้นักเตะทุกคนต้องยึดมั่นในการเล่นเป็นทีมเป็นอันดับแรก เพราะฟุตบอลคือกีฬาที่ผู้เล่นทั้ง 11 คนต้องเชื่อมโยงเข้าหากัน ถ้าทีมไหนทำได้ ทีมนั้นก็จะกลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งในสนามจริง แม้จะว่าจะดูเป็นรองบนหน้ากระดาษก็ตาม
อีกประการคือ … จงเล่นด้วยความคิดและความกล้าหาญเสมอ เมื่อสบโอกาส หรืออยู่ในช่วงเวลาที่คู่แข่งประมาทจงแน่ใจว่าตัวเองจะสามารถเป็นผู้เปลี่ยนแปลงผลการแข่งขันได้ แม้ประตูนั้นจะดูเหลือเชื่อมากแค่ไหนก็ตาม
แหล่งอ้างอิง
https://www.cbssports.com/soccer/news/real-madrid-vs-arsenal-a-look-back-at-thierry-henrys-iconic-goal-in-2005-06-champions-league/
https://www.goal.com/en-au/lists/thierry-henry-reveals-what-he-told-kylian-mbappe-before-real-madrid-champions-league-clash-against-arsenal/blt2b30064e995892b9
https://www.theguardian.com/football/2004/oct/03/newsstory.sport1
https://www.youtube.com/watch?v=NzV4Ad5pwU4
https://www.skysports.com/football/real-madrid-vs-arsenal/teams/69373
https://en.wikipedia.org/wiki/Thierry_Henry