ในยุคย้อนกลับไปสักเกือบ ๆ 20 ปีก่อน ราว ๆ ยุค 2000s อาร์เซน่อล ถือเป็นทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะระดับ "มหาเทพ" มากมายหลายคน ซึ่งแน่นอน คำว่า มหาเทพ นี้คือคำชมเชิงลบ … เพราะนักเตะเหล่านี้มักจะสร้างความผิดพลาด อันเป็นที่จดจำของแฟนบอลปืนใหญ่อยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม ในอีกแง่มุมหนึ่ง แข้งไม่เอาไหนเหล่านี้ก็มีความเป็นฮีโร่ในแบบของเขาเช่นกัน เพราะพวกเขาถือว่าอยู่ในยุคสมัยที่ทีมประสบปัญหามากที่สุด และปัญหาเหล่านั้นทำให้พวกเขาได้โอกาสพิสูจน์ตัวเอง
นี่คือเรื่องราวของกลุ่มมหาเทพปืนโต ความภาคภูมิใจในอาชีพของเขา แม้ว่าในช่วงเวลานั้นพวกเขาจะโดนล้อแค่ไหนก็ตาม
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดที่ Main Stand
ขงเบ้งเลือดน้ำหอม
อาร์เซน่อล เป็นทีมที่ดีขึ้นได้ในช่วงปลายยุค 1990s ก็เพราะการเข้ามาของ อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือชาวฝรั่งเศส ที่มาจากสโมสรในลีกญี่ปุ่นที่ชาวอังกฤษไม่เคยรู้จักอย่าง นาโกย่า แกรมปัส
การมาของเขาเปลี่ยนแปลงสโมสรนี้ไปหลายอย่างชนิดที่ว่าเอานิ้วมือและนิ้วเท้าของคุณมานับรวมกันก็อาจจะไม่พอ แต่หลัก ๆ แล้วทุกคนยกย่องให้เขาเป็นเจ้าพ่อของฟุตบอลยุคใหม่ในสมัยนั้น
ฟุตบอลอังกฤษที่เล่นบอลไดเร็กต์ หวดยาวกันตูมตาม ใช้พละกำลังไล่ฟัดเพื่อแย่งบอล เวนเกอร์ เปลี่ยนให้ อาร์เซน่อล เป็นทีมที่เล่นสวยที่สุดด้วยการเน้นการครองบอลกับพื้น และใช้นักเตะผสมผสานกันไประหว่างนักเตะท้องถิ่นที่มีใจสู้ มีความดุดัน กับกลุ่มนักเตะต่างชาติคุณภาพในการเล่นฟุตบอลคอนโทรลสูง ซึ่งก็กลายเป็นมิติใหม่ ในแบบที่ทีมพรีเมียร์ลีกยุคนั้นไม่สามารถต้านทานได้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการวางระเบียบวินัยที่เข้มข้น นักเตะที่เป็นแก๊งขาใหญ่นักดื่มอย่าง โทนี่ อดัมส์, ลี ดิกซัน, เรย์ พาร์เลอร์ และอีกหลายคน ถูก เวนเกอร์ ทลายแก๊งประจำที่พวกเขาใช้ชื่อว่า "Tuesday Club" เพื่อให้พวกเขาโฟกัสกับฟุตบอลมากขึ้น และมันกลายเป็นการเสริมส่งกับแท็คติกที่ เวนเกอร์ เตรียมมาเป็นอย่างมาก
เรื่องนี้แม้แต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่พาทีม แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นเต้ยในลีกอังกฤษอยู่หลายปีก็ยังต้องซูฮกว่า อาร์เซน่อล ของ เวนเกอร์ คือทีมที่เขาเอาชนะได้ยากที่สุด ... เหนือสิ่งอื่นใด เขาบอกว่า "เวนเกอร์ พาฟุตบอลอังกฤษไปอีกระดับ" อีกด้วย
"เมื่อ อาร์แซน มาถึง อาร์เซนอล เขาก็เปลี่ยนแปลงนิสัยการกินและระบบออกกำลังกายหลายอย่างของสโมสร" เฟอร์กี้ กล่าว และยังยอมรับว่าเรื่องของรูปแบบเกม อาร์เซน่อล ได้แซงหน้า แมนฯ ยูไนเต็ด ไปแล้วในช่วงปลายยุค 1990s
"เขาเป็นผู้นำเกมในเวลานั้น เราเอาตัวอย่างมาใช้เสมอ เพราะเราพยายามเอาตัวอย่างจากใครก็ตามที่กำลังพัฒนาอยู่เสมอ ... ก็เหมือนตอนคุณขับรถบนถนนนั่นแหละ คุณอดไม่ได้หรอกที่จะมองกระจกด้านข้างเพื่อจะได้รู้ว่าใครกำลังจะเป็นคนที่แซงหน้าคุณ" เฟอร์กี้ ทิ้งท้าย
ไม่แปลกที่ เวนเกอร์ จะได้ฉายาจากสื่อไทยในยุคนั้นว่า "ขงเบ้งเลือดน้ำหอม" เพราะเป็นคนที่มีพร้อมทั้งวินัย การปกครองคน ทัศนคติการมองเกม และแท็คติกที่แยบยลทำตามยาก เหนือสิ่งอื่นใดที่ เวนเกอร์ ได้คำชมมาตลอดนั่นก็คือเรื่องของการใช้งบประมาณในการเสริมทัพที่ "น้อยแต่มาก" กล่าวคือเขามักจะหยิบของดีราคาไม่แพงจนเกินไปมาปั้นจนกลายเป็นสตาร์ที่ขายทำเงินได้มากมาย อาทิ นิโกล่าส์ อเนลก้า, มาร์ค โอเวอร์มาร์ส และ เอ็มมานูเอล เปอตีต์ ที่เป็นขุนพลชุดสำคัญของพวกเขาในการขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของเกาะอังกฤษในช่วงเวลานั้น
เอาเป็นว่าความสำเร็จที่ เวนเกอร์ พามาสู่ทีม ไม่ว่าจะเป็นการเป็นแชมป์ลีก หรือการคว้าดับเบิลแชมป์ในประเทศ รวมถึงการซื้อมาขายไปที่ได้ทั้งกำไร และได้คนใหม่เข้ามาแทนที่เหมาะสม ทำให้บอร์ดบริหารของ อาร์เซน่อล ในยุคนั้น รวมถึงตัวเวนเกอร์ เห็นพ้องต้องกันว่า สโมสรต้องการไปสู่อีกระดับ
เรื่องดังกล่าวส่งสัญญามาตั้งแต่ช่วงฤดูกาล 1998-99 และ 1999-2000 อาร์เซน่อล ขออนุญาต สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ เอฟเอ และ สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า เปลี่ยนไปใช้ เวมบลีย์ สเตเดียม เพื่อรองรับแฟน ๆ ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
เหตุผลหลัก ๆ ก็เพราะในแต่ละเกมที่เล่นใน เวมบลีย์ มีคนเข้ามาดูราว ๆ 7 หมื่นคน เพราะสนามเหย้าของพวกเขาอย่าง ไฮบิวรี่ มีความจุแค่ 38,419 ที่นั่ง ถ้าเทียบกับทีมอื่น ๆ แมนฯ ยูไนเต็ด เวลานั้น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ความจุราว 60,000 ที่นั่ง, บาร์เซโลน่า ความจุ 90,000 ที่นั่ง, เรอัล มาดริด ความจุ 80,000 ที่นั่ง
ที่สุดแล้ว ปี 2000 บอร์ดบริหาร จึงตัดสินใจว่า สมควรแก่เวลาแล้วที่ อาร์เซน่อล ต้องย้ายสนาม ไปหาสนามที่ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับแฟน ๆ และที่สำคัญ เพื่อโอกาสทำรายได้ที่มากขึ้นด้วย
การลงทุนครั้งนี้กับสนามเหย้าแห่งใหม่ในชื่อ "แอชเบอร์ตัน โกรฟ" หรือที่เรารู้จักกันในปัจจุบันว่า เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ทำให้สโมสรต้องใช้งบประมาณกว่า 450 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าเยอะมาก ๆ ในยุคทีฟุตบอลยังไม่ใช่ธุรกิจที่ทำเงินได้มากเหมือนในปัจจุบันนี้
สนามใหม่อาจจะนำมาซึ่งแฟนบอลจำนวนมาก รายได้ที่มากขึ้น และเป็นการยกระดับให้สโมสรเป็นทีมแถวหน้าของยุโรป ทว่าสิ่งหนึ่งที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือ มันเป็นบ่อเกิดแห่ง "หนี้" ด้วยเช่นกัน ... ซึ่งหนี้ก้อนนี้มาจากดอกเบี้ยที่กู้มาทำสนาม และมันพร้อมจะบานขึ้นทุกวัน ดังนั้นสโมสรต้องวางแผนการใช้เงินใหม่ และต้องวางแผนในระยะยาวด้วย ... ซึ่งจากตรงนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ อาร์เซน่อล และ เวนเกอร์ ต้องถอยหลังอย่างน้อย 1 ก้าว เพื่อก้าวที่ไกลกว่าในอนาคต
และมาตรการที่พวกเขาเตรียมไว้ ก็กลายเป็น 1 ในช่วงเวลาที่แฟนบอล อาร์เซน่อล ไม่เคยลืม โดยเฉพาะกับนักเตะหลาย ๆ คนที่ดูจะเก้ ๆ กัง ๆ จะเก่งก็ไม่ใช่ จะอ่อนก็ไม่เชิง เรียกให้ถูกเป็นกลุ่มที่ทำให้คุณภาพเกมของทีมที่เคยถูกยกให้เป็นเบอร์ 1 ในแง่ของความสวยงาม ต้องลดลงไปมาก และแฟน ๆ อาร์เซน่อล ก็แซวนักเตะกลุ่มนี้ด้วยความรักด้วยการใช้คำนำหน้าว่า "มหาเทพ"
จุดกำเนิดเหล่ามหาเทพ
หลังจาก อาร์เซน่อล เริ่มลงมือสร้าง เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม พวกเขาก็ใช้งบประมาณในการซื้อนักเตะน้อยมาก ๆ โดย 4 ฤดูกาลสุดท้ายก่อนจะย้ายจาก ไฮบิวรี่ ไปสนามใหม่ เวนเกอร์ ใช้งบน้อยจนน่าตกใจ ในฤดูกาล 2002-23 พวกเขาใช้เงินแค่ 6.6 ล้านปอนด์, ฤดูกาล 2003-04 หรือปีที่พวกเขาได้แชมป์พรีเมียร์ลีกไร้พ่ายนั้น ใช้งบไปแค่ 1.75 ล้านปอนด์เท่านั้น, ฤดูกาล 2004-05 ใช้ไป 2 ล้านปอนด์
ขณะที่ในฤดูกาล 2005-06 ปีสุดท้ายก่อนย้ายสนามมีการใช้เงินเพิ่มขึ้นเป็น 22.4 ล้านปอนด์ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าในปีนั้นทีมขายสตาร์ดังอย่าง ปาทริค วิเอร่า ออกไปให้ ยูเวนตุส และได้เงินจากการขายดาวรุ่งอย่าง เดวิด เบนท์ลี่ย์ และ เจอร์เมน เพนแนนท์ จึงทำให้ทีมต้องเอาเงินทีได้ส่วนนี้มาซื้อนักเตะใหม่มาทดแทน
มีการซุบซิบกันในหมู่สื่ออังกฤษว่า อาร์เซน่อล ไม่ได้ตั้งเป้าหมายใหญ่โตมากนักในช่วงที่เป็นหนี้ พวกเขาดีดลูกคิดคำนวณมาแล้วว่าเป้าหมายหลักคือการไปเล่นฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ให้ได้ทุกปี เพื่อที่จะได้เงินค่าลิขสิทธิ์ราว 40 ล้านปอนด์ เข้ามา และเอาเงินจำนวนนี้ไปใช้หนี้ ส่วนการเสริมทัพนั้น ยิ่งนานวันเราก็จะได้เห็นอะไรที่แปลก ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะการมาของกลุ่มนักเตะมหาเทพ ที่แฟนอาร์เซน่อล หลายคนไม่เข้าใจว่า "ไปเอามาได้ยังไง ?"
มหาเทพในยุคแรกนั้นจะเป็นกลุ่มนักเตะที่ เวนเกอร์ เชิญมาทดสอบฝีเท้า และทำผลงานได้ดีจึงได้มีการยื่นสัญญาถาวร ซึ่งนักเตะกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ถูกวางไว้ในฐานะอะไหล่ของทีม เอามาเสริมในเวลาที่เหล่าสตาร์ตัวหลักของทีมไม่พร้อมลงเล่น ซึ่งชื่ออย่าง อิกอร์ สเตปานอฟส์, โทมัส ดานิลิวิเชียส, สตาธิส ทาฟลาริดิส และ มิชาล ปาปาโดปูลอส คงเป็นชื่อที่แฟนบอล อาร์เซน่อล ยุคนั้นจำกันได้ดี แม้ชื่ออาจจำยากไปนิดก็ตาม
นักเตะกลุ่มนี้ไม่ได้โอกาสมากนัก แต่พอได้โอกาสก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันด้วยมาตรฐานที่ยังห่างจากระดับพรีเมียร์ลีกพอสมควร แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาไม่ได้สร้างผลเสียต่อมากนัก เพราะ อาร์เซน่อล ยุคนั้นยังมีตัวแบกทีมหลายรายทั้ง เธียร์รี่ อองรี, โรแบร์ ปิแรส และ เดนิส เบิร์กแคมป์ เป็นต้น
ทว่าเมื่อทีมย้ายมารังเหย้าใหม่ที่เปิดใช้ในปี 2006 กลุ่มนักเตะชุดไร้พ่ายเริ่มอายุมากขึ้น และหลายคนต้องย้ายออกไป มันก็เป็นวัฏจักรของฟุตบอลที่ทุกสโมสรต้องเจอนั่นก็คือ "การผลัดใบ" ซึ่งแน่นอนว่า การผลัดใบแต่ละครั้งจำเป็นจะต้องใช้งบประมาณพอสมควรเพื่อรักษามาตรฐานเดิมเอาไว้
แต่อย่างที่เราได้กล่าวไว้ข้างต้น ด้วยภาระหนี้ที่สโมสรมี อาร์เซน่อล มีทางเลือกไม่มากนัก พวกเขาดันเด็กเยาวชนขึ้นมาหลายคน คนที่เก่งจริง ๆ คงหนีไม่พ้นจอมทัพอย่าง เชส ฟาเบรกาส ที่ขึ้นมาเป็นตัวจริงของทีมตั้งแต่อายุ 17 ปี ... ส่วนที่เหลือนั้น เราจะติดโลโก้พวกเขาว่า "มหาเทพ" ก็คงไม่เคอะเขินนัก
ฟิลิปป์ เซนเดอรอส, โยฮัน ฌูรู, จัสติน ฮอยท์, เฌเรมี่ อาลิอาดิแยร์, อาบู ดิยาบี้ นักเตะเหล่านี้แฟนบอลปืนใหญ่คุ้นหูทั้งนั้น บางคนอาจจะมีช่วงเวลาที่ดีบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่านักเตะเหล่านี้คงยากจะสอดแทรกขึ้นมาในทีมชุดใหญ่ได้ในช่วงเวลาที่สควอดของทีมแน่น ๆ อย่างเช่นในยุคไร้พ่าย
เวนเกอร์ พยายามอย่างมาก แม้จะรู้ว่านักเตะเหล่านี้ไม่สามารถตอบโจทย์ในระยะยาว แต่เขาก็ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างดาวรุ่งหลาย ๆ คน เขาพยายามผสมผสานนักเตะเยาวชนที่ทีมมี บวกเข้ากับกลุ่มนักเตะที่เข้ามาใหม่ผ่านระบบแมวมอง ที่ต้องใส่วงเล็บทุกครั้งว่า "ต้องเป็นนักเตะที่ราคาสมเหตุสมผล"
เราจึงได้เห็น เวนเกอร์ คว้าตัวนักเตะโนเนมหลายคนเข้ามา หลายคนกลายเป็นของดีอย่าง อเล็กซานเดอร์ เคล็บ, มาติเยอ ฟลามินี่, ซามีร์ นาสรี่, เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ และ ซานติ การ์ซอล่า เป็นต้น
ขณะที่ใครอีกหลายคนก็กลายเป็น "มหาเทพ" ไปโดยปริยาย อาทิ มิคาเอล ซิลแวสตร์, พัค ชู ยอง, อังเดร ซานโต๊ส หรือ เดนิลสัน เป็นต้น
จากยุคเก่าที่มีแต่นักเตะระดับแชมเปี้ยนเดินชนกันเต็มห้องแต่งตัว หลังปี 2005 เป็นต้นมา ต้องบอกว่าด้วยข้อจำกัดที่มีทำให้ เวนเกอร์ ต้องพยายามผลักดันมหาเทพเหล่านี้ขึ้นมาเป็นตัวหลัก มันจึงเป็นช่วงเวลาที่สโมสร เดินหน้าสู่ขาลง จากทีมที่เคยลุ้นแชมป์กับ แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี อย่างสนุก อาร์เซน่อล และ เวนเกอร์ เริ่มถูกล้อว่าเป็น "นักล่าท็อป 4 ตลอดกาล" ไปเสียแล้ว
สู้ด้วยสิ่งที่มี และสิ่งที่เป็น
แม้แฟนบอลทีมอื่นจะล้อว่านักเตะของ อาร์เซน่อล เป็นพวก "ตัวตลก" หรือแนวทางของ เวนเกอร์ เริ่มถูกมองว่า "ตัน" แต่สิ่งที่มหาเทพเหล่านี้ รวมถึงเจ้านายของเขาทำสำเร็จมาโดยตลอด นั่นก็คือการสู้กับแรงกดดันในทุกสัปดาห์ และการจบฤดูกาลด้วยการทำตามเป้าหมายเหลักของทีม ซึ่งพวกเขาจบท็อป 4 เอาเงินก้อนใหญ่มาช่วยจ่ายหนี้ให้ทีมได้เสมอ ... แม้พวกเขาจะไม่ใช่ทีมที่เก่งนัก แต่พวกเขาเหล่านี้สู้ด้วยสิ่งที่ตัวเองมี และพยายามแสดงความเป็น อาร์เซน่อล ออกมาให้ได้มากที่สุด
ซึ่งเรื่องการรักษาตัวตน ถือเป็นเรื่องน่าชื่นชมมากเพราะไม่ว่านักเตะที่มีจะแย่และดูคุณภาพไม่ค่อยดีแค่ไหน แต่ เวนเกอร์ ไม่เคยเปลี่ยนแนวทางซึ่งเป็นแนวทางที่เขาใช้สร้างทีม ๆ นี้ขึ้นมา ฟุตบอลของ อาร์เซน่อล ยังคงดูสนุก สวยงาม เพลินตาเหมือนเดิม ต่างกันแค่มันอาจจะไม่ต่อเนื่องหรือมีมาตรฐานเท่าเดิม เพราะคุณภาพนักเตะที่ลดลง
ซึ่งเอาเข้าจริง แค่นี้คุณก็ไม่สามารถติเตียน เวนเกอร์ ได้เลย เพราะรายชื่อนักเตะที่กล่าวมาในข้างต้น รวมถึงมหาเทพอีกหลายคนที่ถือเกิดขึ้นมาใหม่ในทุก ๆ ปี คงไม่มีใครทำให้พวกเขาเล่นฟุตบอลได้สนุกและสวยเหมือนกับที่ เวนเกอร์ ทำอีกแล้ว ซึ่งยืนยันได้จากเหล่าแข้งมหาเทพเหล่านี้ได้ออกมาพูดถึงความยอดเยี่ยมของ เวนเกอร์ ในช่วงทำทีมใช้หนี้ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและผลงานที่เวนเกอร์ทำ ถือว่าเป็นความมหัศจรรย์อย่างที่สุดแล้ว
"เวนเกอร์ เป็นคนที่ถ่ายทอดปรัชญาฟุตบอล ความเชื่อ และทัศนคติให้กับลูกทีมทุกคน สำหรับเขาไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะต้องเก่งทะลุฟ้ามาจากไหน แต่เขาจะพยายามสอนและถ่ายทอดทุกสิ่งที่เขามีเพื่อทำให้คุณเป็นนักเตะที่ดีขึ้น และทำให้ทีมเล่นในแบบที่เขาต้องการ" ฟิลิปป์ เซนเดอรอส ผู้ถูกแซวว่าเป็น "สมันน้อยของ ดิดิเยร์ ดร็อกบา" เล่าย้อนความกลับไปในช่วงเวลานั้น
"นักเตะที่ เวนเกอร์ ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นนักเตะเยาวชนหรือซื้อเข้ามานั้น ล้วนเป็นนักเตะที่เขาอ่านเข้าไปถึงเรื่องทัศนคติ เขารู้ดีว่านักเตะที่เขาเลือกจะเปิดใจยอมรับกับวิธีการทำทีมของเขา และส่วนใหญ่มันเป็นแบบนั้น เวนเกอร์ ทำให้คนธรรมดา ๆ กลายเป็นคนพิเศษขึ้นมาได้ แถมทำติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 20 ปีท่ามกลางความเครียดที่เขาต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง เพราะอยากให้ทีมอยู่ในระดับสูงไปอีกหลาย ๆ ปี เขาจึงเครียดมากกับผลงานแบบเกมต่อเกม ... และนี่คือผู้ชายที่น่าทึ่ง ไม่ว่าคุณจะโดนสื่อเล่นงานแค่ไหน แต่เขาจะเป็นคนที่ออกหน้ารับผิดชอบ และปกป้องทีมของเขาเสมอ"
ไม่ใช่แค่ เซนเดอรอส เท่านั้น นักเตะอย่าง ฌูรู ที่เติบโตมากับทีมไร้พ่าย และเป็นกำลังหลักในยุคใช้สนามใหม่ ก็ให้ความเห็นตรงกัน เขาบอกว่า สิ่งที่คุณเห็นผ่านนักเตะ อาร์เซน่อล ที่ถูกเรียกว่าเป็นบ่อ หรือจุดอ่อน จริง ๆ แล้วนักเตะเหล่านี้ ถูก เวนเกอร์ รีดศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่ จนหลายคนแข็งแกร่งเกินกว่าที่ตัวเองคิดไว้ด้วยซ้ำ ซึ่งตัวอย่างก็คือตัวของเขาเอง
"อาร์แซน เหมือนกับพ่อคนที่สองของผม เขามอบความั่นใจให้กับเด็กหนุ่มในทีมรวมถึงผมด้วย การได้มาเป็นส่วนหนึ่งของ อาร์เซน่อล และได้เป็นส่วนหนึ่งในปรัชญาการทำทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ ถือเป็นพรอันประเสริฐสำหรับนักเตะหนุ่มจากสวิสอย่างผม" ฌูรู กล่าว
โค้ชผู้สร้างในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
จากปากคำของอดีตนักเตะ และสิ่งที่ เวนเกอร์ แสดงออกมาตลอดอาชีพของเขา มันแสดงให้เห็นว่าเขาคือโค้ชผู้สร้างตัวจริง โค้ชแบบนี้ไม่ได้หาง่าย ๆ กล่าวคือเขาสามารถเข้าใจสถานการณ์ของทีมโดยที่ไม่งอแงขอเงินทำทีมเพิ่มเติม
เขามองไปยังทุกซอกทุกมุมของสโมสร เพื่อหยิบจับสิ่งที่พอจะใช้ได้ เอามาปรับปรุง แต่งเติมใหม่ เพื่อให้มันมีประโยชน์ต่อทีมมากขึ้น เช่นนักเตะหลาย ๆ คนที่ได้โอกาสเล่นชุดใหญ่จากเขา เวนเกอร์ สอน สั่ง และให้โอกาสเด็ก ๆ ในทีมเสมอ และทำงานด้วยงบประมาณที่จำกัด ด้วยเป้าหมายที่อาจจะมีเขาคนเดียวบนโลกนี้ที่ทำได้นั่นคือการคุมทีมที่เต็มไปด้วยมหาเทพเหล่านี้ ให้จบท็อป 4 ได้ทุกซีซั่น
สิ่งที่ เวนเกอร์ ทำนั้นอัศจรรย์ ไม่ว่าคุณจะมองในแง่ผลงาน แนวทางหรือปรัชญาทำทีม แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือคนอย่าง เวนเกอร์ นั้นเป็น "ของแท้" และเป็นคนที่ทีมไหน ๆ ก็อยากจะได้ไปคุมทีมทั้งนั้น แต่ว่าเขาก็เลือกที่จะลงมือ ลงแรง และลงความเครียดเพื่อสร้างให้ทีมที่เต็มไปด้วยมหาเทพเหล่านี้ เดินไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้จนได้ เพราะเขารู้ดีว่า "เขาอาจจะเป็นคนเดียวที่ทำภารกิจนี้ได้"
มีการเปิดเผยจาก เดวิด ดีน อดีตผู้บริหารสโมสร อาร์เซน่อล ว่าหลังจากที่ทีมเริ่มเป็นหนี้ในการสร้างสนามเมื่อปี 2002 เวนเกอร์ เข้ามาคุยกับเขาและเปิดอกอย่างตรงประเด็นว่า เวนเกอร์ ได้ข้อเสนอจากทีมดังทั่วยุโรป แต่เขาตัดสินใจจะอยู่ที่ อาร์เซน่อล ต่อ เพราะนโยบายการทำทีมที่เปลี่ยนไปตามกล่าวมาในข้างต้น คงไม่มีใครรู้จักนักเตะในทีมเยาวชนดีเท่ากับเขาแล้ว เช่นเดียวกับไม่มีกุนซือแถวหน้าของโลกคนไหนที่อยากจะทำทีมที่มีงบประมาณซื้อตัวเพียงแค่หยิบมืออย่างที่เขาได้รับมาโดยตลอด
ดังนั้น เวนเกอร์ จึงยอมเป็นผู้นำในช่วงเวลาที่ยากลำบากของทีม พร้อมด้วยการแบกเอากลุ่มมหาเทพเหล่านี้ที่ใครหัวเราะ ให้กลายเป็นขุนพลที่พาทีมจบอันดับท็อป 4 ได้ทุกครั้งชนิดที่ว่า ทีมเศรษฐีใหม่ หรือทีมที่งบประมาณทำทีมมากกว่าพวกเขายังไม่สามารถทำได้เลยด้วยซ้ำไป
"เวนเกอร์ ได้รับข้อเสนอจากทีมอื่นตลอดเวลา ทั้งจาก บาร์เซโลน่า, เรอัล มาดริด, เปแอสเช, บาเยิร์น มิวนิค, เชลซี, แมนฯ ซิตี้, แมนฯ ยูไนเต็ด รวมถึง ทีมชาติอังกฤษ ... แต่สุดท้ายเขาไม่ย้ายไปไหน และเลือกจะอยู่กับ อาร์เซน่อล ต่อไป เพื่อฝ่าฟันวิกฤติไปด้วยกัน" เดวิด ดีน เล่าถึงอดีตอันยิ่งใหญ่และความเคารพที่เขามีต่อโค้ชอย่าง เวนเกอร์
แน่นอนที่สุดว่าช่วงเวลาที่ยากลำบากของ อาร์เซน่อล ในอดีตได้ผ่านไปแล้ว ในยุคปัจจุบัน มิเกล อาร์เตต้า พาทีมกลับมาเป็นทีมที่พร้อมลุ้นแชมป์ มีนักเตะดี ๆ มีงบประมาณเสริมทัพมากมาย ต่างจากเดิมในยุคมหาเทพอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถลืมได้เลยว่าเส้นทางอันสดใส ณ ปัจจุบันคงไม่เกิดขึ้น หากโค้ชอย่าง เวนเกอร์ และเหล่ามหาเทพผู้รับคำล้อเลียนตลอดเวลาจะช่วยกันถากถางทางเส้นนี้ให้โล่งเตียน
และเรื่องนี้แสดงให้เราเห็นว่า โค้ชที่ดีคือโค้ชที่ทำทีมได้ตามเป้าหมายตามศักยภาพเท่าที่ทีมเป็น เช่นเดียวกันกับการทำทีมด้วยวิธีการที่ชัดเจนแน่ และพยายามสอนให้นักเตะที่มีให้เป็นนักเตะที่ดีขึ้นทั้งในและนอกสนาม คือกุญแจที่ทำให้ชื่อของ เวนเกอร์ ยังคงยิ่งใหญ่และเป็นหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรแห่งนี้
เช่นเดียวกันกับเหล่ามหาเทพทั้งหลายที่เราได้กล่าวถึงและไม่ได้กล่าวถึง ... พวกเขาคือผู้บุกเบิกอย่างแท้จริง และคุณสามารถรับรู้ได้ว่าแม้ช่วงเวลานั้นจะยากลำบากแค่ไหน แต่ ณ ตอนนี้มหาเทพของ อาร์เซน่อล เหล่านั้นกลับมองช่วงเวลาดังกล่าวในฐานะช่วงชีวิตที่ประสบความสำเร็จ และเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ อย่างแท้จริง
แหล่งอ้างอิง
https://www.skysports.com/football/news/11670/10884787/sir-alex-ferguson-says-pressure-on-arsene-wenger-is-ridiculous
https://metro.co.uk/2018/04/29/sir-alex-ferguson-reveals-how-arsene-wenger-influenced-his-manchester-united-champions-7507510/
https://www.theguardian.com/football/2018/may/09/philippe-senderos-arsenal-houston-dynamo-arsene-wenger
https://www.planetfootball.com/nostalgia/philippe-senderos-at-arsenal-the-giant-who-denied-ronaldo-raul-zidane-co
https://www.theguardian.com/football/2020/nov/18/johan-djourou-arsene-wenger-arsenal-nordsjaelland-switzerland-interview