8 มีนาคมนี้ ไฟต์มวยสากลที่ทั่วโลกจับตามองกำลังจะมาถึง เมื่อ แอนโธนี่ โจชัว อดีตแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวตของ WBA, IBF, WBO ชาวอังกฤษ จะขึ้นสังเวียนพบ ฟรานซิส เอ็นกานนู อดีตแชมป์โลกศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) รุ่นเฮฟวี่เวตของสถาบัน UFC ชาวแคเมอรูน
แน่นอนว่าสิ่งที่น่าสนใจมากประการหนึ่ง หนีไม่พ้น ค่าตัวจากการชก ซึ่งสื่อหลายสำนักเปิดเผยว่า โจชัวจะได้ค่าตัว 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เอ็นกานนูจะได้ค่าตัว 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าตัวที่กล่าวไปนี้ ยังไม่รวมรายได้อื่น ๆ เช่น ส่วนแบ่งเพย์เพอร์วิว
แน่นอนว่าเมื่อเห็นตัวเลขดังกล่าว การเปรียบเทียบกับค่าตัวที่เอ็นกานนูได้สมัยขึ้นสู้ MMA กับ UFC สถาบัน MMA เบอร์ 1 ของโลกย่อมเกิดขึ้น โดยเอ็นกานนูขึ้นสู้ใน UFC มา 14 ไฟต์ ได้ค่าตัว (ไม่รวมโบนัสต่าง ๆ) อยู่ที่ 2,060,000 ดอลลาร์สหรัฐ
โดยไฟต์ที่เอ็นกานนูได้ค่าตัวมากสุด คือไฟต์สุดท้ายของเขาใน UFC ที่ชนะ ซีริล กาน ป้องกันและรวมเข็มขัดแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวตของ UFC เมื่อเดือนมกราคม 2022 อันเป็นไฟต์สุดท้ายก่อนหมดสัญญากับ UFC และถูกยึดแชมป์ ซึ่งได้ค่าตัว 600,000 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนไฟต์ที่ได้น้อยที่สุด คือไฟต์แรกของเขาใน UFC ที่ชนะ หลุยส์ เฮนริเก้ เมื่อปี 2015 ได้ค่าตัวเพียง 10,000 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับไฟต์มวยสากลแรกในชีวิตของเอ็นกานนู ที่แม้จะแพ้ ไทสัน ฟิวรี่ แชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวตของ WBC แต่ก็ได้ค่าตัวสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ส่วนฟิวรี่ได้สูงถึง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เชื่อว่าแฟนกีฬาต่อสู้หมัดมวยคงเห็นภาพว่า เหตุใดหลายคนถึงอยากขึ้นชกมวยสากลไฟต์ใหญ่สักครั้งในชีวิต