News

แพ้จริงหรืออุบัติเหตุ? : ทำไมตะกร้อไทยถึงแพ้มาเลเซียคาบ้านในรอบ 34 ปี | Main Stand

ช็อกกันทั้งวงการเมื่อ “ทีมตะกร้อชายทีมชาติไทย” แพ้มาเลเซีย ในประเภททีมชุดเป็นครั้งแรกในรอบ 34 ปี ในมหกรรมกีฬาซีเกมส์ หรือหนล่าสุดคือในซีเกมส์ครั้งที่ 16 ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ปี 2534

 


ถึงแม้การแข่งขันกีฬาจะมี “แพ้-ชนะ” แต่การพลาดท่าแพ้คาบ้านต่อคู่ปรับสำคัญ อย่างประเทศมาเลเซีย ถือเป็นสิ่งที่ใครหลายคนมองว่าไม่ควรเกิดขึ้นให้เห็น ซึ่งยิ่งหากลองวิเคราะห์ถึงปัจจัยต่าง ๆ ความพ่ายแพ้ของทีมชาติไทยในครั้งนี้ อาจจะเกิดขึ้นโดยมีเหตุและผล ไม่ใช่อุบัติเหตุทางกีฬาแต่อย่างใด

ในรอบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา วงการตะกร้อมาเลเซียตกเป็นเบี้ยล่างของไทยมาตลอด พวกเขานั่งมองความสำเร็จของทีมไทยมายาวนาน แต่เพียงพวกเขาไม่ได้หยุดนิ่ง และค่อย ๆ พัฒนากีฬาตะกร้อภายในประเทศไปทีละก้าวอย่างมั่นคง

ที่ผ่านมา “เสือเหลือง” มาเลเซีย เคยยอมลดอีโก้ของตัวเองแล้วยอมเปิดใจดึง “โค้ชไทย” ไปเป็นผู้ฝึกสอนคอยเทรนเทคนิคและเคล็ดลับต่าง ๆ มาแล้ว รวมถึงยังจ้างนักตะกร้อไทยไปเป็นคู่ซ้อมให้กับตัวเอง และจ้างทีมสเก๊าต์กว่า 10 ชีวิต เพื่อเก็บข้อมูลนักกีฬาไทยในทุกทัวร์นาเมนต์

ที่สำคัญ มาเลเซียได้ก่อตั้ง “ตะกร้อลีก” อย่างเป็นทางการมาแล้วหลายปี พร้อมทุ่มงบประมาณมหาศาลยกระดับสู่ลีกอาชีพอย่างเต็มรูปแบบ จากความร่วมมือของสโมสรต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทั้งระบบการแข่งขันที่เป็นมืออาชีพ สนามแข่งขันได้มาตรฐาน มีการถ่ายทอดสดครบถ้วน ไปจนถึงการทุ่มค่าเหนื่อยระดับหลักแสนให้กับนักกีฬาตัวท็อป

นอกจากนี้ยังมีการดึงอดีตนักกีฬาทีมชาติไทย อาทิ วีระวุฒิ ณ หนองคาย, รัถเดช น้อยเจริญ ตลอดจนดาวรุ่งไทยฟอร์มแรงที่มีลุ้นก้าวสู่ทีมชาติอย่าง สุทธิเกียรติ พันแสนแก้ว และนักกีฬาอีกหลายรายเข้ามาร่วมลีก

สิ่งเหล่านี้จึงทำให้ “วงการตะกร้อเสือเหลือง” กลับมาคึกคักและมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง จนทำให้ทีมชาติมีการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเริ่มต่อกรและเอาชนะไทย ในประเภททีมเดี่ยว, ตะกร้อคู่ และตะกร้อ 4 คนมาแล้ว ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณเตือน “ทัพตะกร้อไทย” มาตลอดว่า หากพลาดเมื่อไหร่ “เสือหลับ” ตัวนี้ก็พร้อมขย้ำแบบจมเขี้ยวแน่นอน

แต่หันกลับมามองกันทาง “ฝั่งทีมตะกร้อไทย” ที่ยังยึดติดกับความสำเร็จและเชื่อมั่นในการทำทีมแบบเดิม ๆ ไม่มีทีมสเก๊าต์ ไม่มีการเก็บข้อมูลคู่แข่ง และยังยึดติดกับผู้เล่นหน้าเดิม ๆ

ที่สำคัญไม่เคยมีแผนการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการพัฒนาตะกร้อลีก ที่หยุดแข่งขันมาแล้ว 4 ปี ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งผลกระทบสำคัญที่ทำให้ตะกร้อบ้านเราไม่พัฒนา ไม่มีเวทีให้นักกีฬาลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ และแทบไม่มีผู้เล่นหน้าใหม่ดี ๆ ขึ้นมาทดแทน

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ผลการแข่งขันที่พลิกความคาดหมายในวันนี้ และอาจถูกมองว่าเป็นทั้งความประมาทและบทเรียนครั้งสำคัญของ “สมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย” ที่หลังจากนี้จำเป็นต้องกลับไปทบทวนและยกระดับการพัฒนาวงการตะกร้อไทยให้มากยิ่งขึ้น เพราะหากยังชะล่าใจ พัฒนาการของคู่แข่งในเวลานี้ อาจส่งผลกระทบต่อความสำเร็จของประเทศไทยในระยะยาว

 

Author

Main Stand

Stand ForAll สื่อกีฬาที่เข้าถึงทุกคน

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ