ใครยังจำเกมในวันนั้นได้บ้างกับบิ๊กแมตซ์พรีเมียร์ ลีกฤดูกาล 2022-23 ที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟิลด์ เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปอย่างถล่มทลายถึง 7-0 จากการเรียงหน้ากันยิงตั้งแต่ โคดี้ กักโป 2 ประตู, ดาร์วิน นูนเญส 2 ประตู, โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ 2 ประตู และโรแบร์โต ฟีร์มิโน่ 1 ประตู ซึ่งเกมนี้ได้กลายเป็นศึกแดงเดือดที่ขาดลอยที่สุดในประวัติศาสตร์ รวมถึงยังมีสถิติเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นด้วยกันคือ
- ความพ่ายแพ้ด้วยสกอร์ห่างที่สุดในประวัติศาสตร์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นครั้งที่ 4 ร่วมกับ ปี 1926 แพ้แบล็กเบิร์น 7-0, ปี 1930 แพ้แอสตัน วิลล่า 7-0, ปี 1931 แพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน 7-0 และล่าสุด ปี 2023 แพ้ ลิเวอร์พูล 7-0
- ความพ่ายแพ้ด้วยสกอร์ห่างที่สุดในยุคพรีเมียร์ ลีก ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
- ชัยชนะที่มากที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในศึกแดงเดือด
- โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ กลายเป็นผู้ทำประตูใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึกพรีเมียร์ ลีก ได้มากที่สุด ร่วมกับ อลัน เชียเรอร์ ตำนานของ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ด้วยจำนวน 10 ประตู
หลังจบเกมแดงเดือดครั้งประวัติศาสตร์ได้สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่ววงการฟุตบอลอังกฤษถึงความห่างชั้นที่ไม่เคยมีมาก่อนในศึกแดงเดือด และเป็นการตอกย้ำถึงจุดยืนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ยังไม่สามารถกลับไปเป็นทีมระดับลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีก ดังเช่นอดีตที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พาปีศาจแดงประสบความสำเร็จ
นอกจากนี้คาแรคเตอร์ผู้ชนะที่เคยเป็นดั่งจุดแข็งของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เริ่มมีให้เห็นน้อยลง โดยสังเกตุเห็นได้จากคำให้สัมภาษณ์ของ เอริค เทน ฮาก ในช่วงหลัง ๆ ที่ยอมรับว่าศักยภาพของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังตามหลังคู่อริร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี อยู่มาก หรือแม้แต่การกล่าวว่าจะขอสู้เพื่ออันดับที่ 5 ของตารางพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2023-24 เพราะโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อาจตกถึง แมนยูฯ ก็เป็นได้
และที่สำคัญ มันจะเป็นเกมที่แฟนแมนยูฯ จะต้องทนได้ยินแฟนลิเวอร์พูล หยิบยกผลการแข่งขันในนัดนี้ มาล้ออีกตลอดกาล หรือจนกว่าที่ แมนยูฯ จะกลับมาชนะ ลิเวอร์พูล ด้วยสกอร์ที่ขาดลอยกว่าในอนาคต
สำหรับศึกแดงเดือดจะกลับมาระเบิดความมันอีกครั้งในศึกเอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องเปิดสนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด รับการมาเยือนของ ลิเวอร์พูล ในวันที่ 17 มีนาคม เวลา 22.30 น. ตามเวลาประเทศไทย