Rajadamnern World Series หรือ RWS เป็นทัวร์นาเมนต์ที่รวบรวมเอายอดนักชกดาวดังทั่วโลกมาประชันกันเพื่อหาหนึ่งเดียวในแต่ละรุ่น
หนึ่งในรุ่นที่แฟนมวยจับตามองมากที่สุดคือรุ่น 126 ปอนด์ เนื่องจากเป็นรุ่นที่รวมกลุ่มเสือสิงห์ไว้มากมาย แต่นักชกที่ถูกยกให้เป็น “เต็งจ๋า” ในรุ่นดังกล่าวกลับเป็นกำปั้นที่อายุน้อยสุดอย่าง นาบิล อานาน หรือ นาบิล วีนั่มมวยไทยยิม นักชกวัย 18 ปีเจ้าของส่วนสูง 193 เซนติเมตร
เขาเป็นนักชกดาวรุ่งที่กวาดแชมป์มาแล้วหลายรายการทั้งที่เพิ่งชกมวยมาได้เพียงไม่กี่ไฟต์ จนหลายคนมองว่าเขาคือ “ดีเซลน้อย ช.ธนะสุกาญจน์” คนต่อไป
“ผมเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส-ไทย คุณพ่อเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส-แอลจีเรีย ส่วนคุณแม่เป็นคนศรีสะเกษ ผมเกิดที่พัทยา จังหวัดชลบุรีครับ”
นาบิล หรือเพื่อน ๆ ชอบเรียกว่า บิล ใช้ชีวิตเหมือนกับเด็กทั่วไป เขาชอบกีฬาการต่อสู้มากไม่ว่าจะเป็นชนิดไหน กระทั่งอายุ 11 ปีเขาจึงขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่ไปเรียนคาราเต้และเทควันโด จนเรียนมาได้ระยะหนึ่งบิลจึงกลับมาคิดถึงมวยไทย และต้องการที่จะฝึกมวยไทย
“ผมเรียนคาราเต้กับเทควันโดมาได้สักพักก็กลับมาคิดว่าทั้งสองอย่างยังไม่สามารถตอบโจทย์ในเรื่องกีฬาการต่อสู้ได้ ผมก็เลยคิดถึงมวยไทย จึงเรียนมวยไทยไปอีกแขนงหนึ่งเลย”
หลายคนอาจคิดว่าการฝึกมวยไทยของบิลนั้นคงจะเป็นการเรียนรู้เพื่อความสนุกสนานหรือเป็นแค่การออกกำลังกาย แต่กลับกลายเป็นว่าเด็กหนุ่มวัย 11 ปีตั้งใจเรียนรู้และฝึกซ้อมเพื่อจะไปขึ้นชกแบบจริงจัง
“ผมว่าไหน ๆ ก็เรียนแล้วก็ขอแบบขึ้นชกจริง ๆ ไปเลยดีกว่า ถ้าเราเรียนรู้แค่ในชั้นเรียนประสบการณ์เราก็จะได้แค่นั้น ผมเลยคิดว่าขอขึ้นชกบนเวทีกับคู่ต่อสู้เลยดีกว่า”
หลังจากเรียนรู้และฝึกซ้อมมวยไทยมาได้ประมาณ 3 เดือน เวลาที่เขารอคอยก็มาถึง นั่นคือการขึ้นชกที่เวทีมวยเทพประสิทธิ์ พัทยา กับคู่ชกที่มีอายุและประสบการณ์มากกว่านาบิลอย่างเทียบกันไม่ได้
“วันนั้นผมไปเปรียบมวยที่เวทีเทพประสิทธิ์เพราะคิดว่าตัวเองพร้อมแล้ว ถ้าเป็นคนไทยก็ต้องบอกว่าร้อนวิชา วันนั้นผมชกกับเผด็จน้อย ถึงแม้ว่าผมจะได้เปรียบเรื่องรูปร่าง แต่เขาอายุมากกว่าผม 4 ปี แถมต่อยมาแล้วประมาณ 20 กว่าครั้ง”
“เกมการชกวันนั้นผมโดนเตะขาหนักมาก พยายามใช้ทักษะเทควันโดกับคาราเต้มาช่วยด้วย แต่ท้ายสุดผมก็กัดฟันฮึดสู้จนเอาชนะมาได้ รู้สึกเจ็บร้าวไปหมดทั้งตัว แต่ผมกลับชอบเพราะคิดว่านี่มันคือวิถีทางของนักสู้”
เมื่อไฟต์แรกผ่านพ้นไป เด็กชายบิล ก็หลงใหลในวิชาชีพค้ากำปั้นเข้าอย่างจัง และได้ขึ้นชกที่เวทีเทพประสิทธิ์อีกประมาณ 20 ครั้ง โดยซ้อมที่ค่ายมวยเพชรรุ่งเรือง ยิ่งต่อยเยอะนาบิลก็ยิ่งได้โชว์ฝีมือในเชิงมวยเด่นชัดมากขึ้น จนกระทั่ง “ครูนุ” วิษณุชัย เพชรรุ่งเรือง เทรนเนอร์ในค่ายเห็นแววจึงพาเข้ามาหารายการชกที่กรุงเทพฯ นี่เป็นครั้งแรกของการต่อยที่เมืองกรุง
“ครูวิษณุชัยบอกว่า แถบภาคตะวันออกคงไม่มีตัวสู้แล้วไปต่อยกรุงเทพฯ ดีกว่า เดี๋ยวจะหารายการให้ ตัวผมก็คิดว่าเป็นไงเป็นกันมาถึงวันนี้แล้ว และอีกอย่างเป็นความใฝ่ฝันของผมที่จะเข้ามาต่อยที่เวทีมาตรฐานของกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นเวทีราชดำเนินหรือลุมพินี”
นาบิล แจ้งเกิดได้อย่างสวยงามในเวทีที่กรุงเทพฯ เขาไม่แพ้ใครเลยในการชก เนื่องจากความได้เปรียบในเรื่องของสรีระ บวกกับฝีมือที่พัฒนาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
ในบรรดาดาวรุ่งด้วยกัน นาบิล สามารถเก็บชัยชนะมาได้อย่างราบเรียบ จนกระทั่งถึงการชกครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต
“ด้วยความที่ผมหมดตัวต่อย ดาวรุ่งที่มารุ่น ๆ เดียวกันกับผมก็เอาชนะมาได้หมด ทีมงานจึงจัดให้ผมเจอกับ เขี้ยวพยัคฆ์ จิตรเมืองนนท์ ผมก็ยังคิดว่าผมสามารถเอาชนะได้ แต่พอชกกันจริงพี่เขาเก่งมาก ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ หลักเหลี่ยมต่าง ๆ ทำเอาผมไปไม่เป็นในบางจังหวะ วันนั้นผมก็เลยแพ้พี่เขาไป”
จากความพ่ายแพ้ต่อ ยอดมวยปลาไหล อย่างเขี้ยวพยัคฆ์หาได้ทำให้นาบิลท้อใจไม่ แต่ตรงกันข้ามมันกลับเติมเชื้อไฟในใจให้กับเด็กหนุ่มในการที่จะฟิตซ้อมและแก้ไขจุดบกพร่องให้ดีขึ้น
จากนั้นเขาก็ถูกประกบให้พบกับมวยแกร่งรุ่นพี่อย่าง ช่อฟ้า ท.แสงเทียนน้อย แม้ว่านาบิลจะตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อีกคำรบ แต่กลับทำให้นาบิลเป็นมวยที่น่าจับตามากขึ้นกว่าเดิม
แม้ประสบการณ์ในการชกมวยไทยจะน้อยนิด แต่เขาก็สามารถคว้าแชมป์มาการันตีความสามารถได้มากมาย เช่น แชมป์ WBC MUAYTHAI รุ่น 126 ปอนด์, แชมป์ IFMA รุ่น 38 กิโลกรัม, แชมป์ WPMF รุ่น 40 กิโลกรัม และแชมป์คิกบ็อกซิ่ง WKM รุ่น 60 กิโลกรัม
ด้วยความสามารถที่นาบิลมีอยู่ทำให้เขาถูกทีมงานคัดเลือกมาชกในรายการ RWS ในพิกัด 126 ปอนด์ โดยเขาได้เผยถึงความรู้สึกที่จะได้ขึ้นชกในรายการนี้
“ผมรู้สึกดีใจและภูมิใจมากครับที่ได้รับเลือกให้มาชกในรายการนี้ ผมชอบที่จะได้เจอคู่ชกเก่ง ๆ จะได้พัฒนาฝีมือตัวเองไปด้วย หลายคนยกให้ผมเป็นเต็ง 1 ในการได้แชมป์ ผมขอขอบคุณมาก ๆ ครับ แต่ผมก็ไม่รู้สึกกดดันนะครับ”
“แต่มันกลับเป็นแรงผลักดันให้ผมซ้อมหนักและชกให้แฟนมวยถูกใจ พอใจ และสนุกไปกับเกมการชกของเราด้วย แล้วอีกอย่างการได้ต่อยที่เวทีราชดำเนินก็ทำให้ผมดีใจมาก เวทีแห่งนี้เป็นเวทีที่ผมชอบและประทับใจมากที่สุด”
“เนื่องจากที่นี่คือรากฐานและจุดเริ่มต้นของมวยไทย สำหรับคู่ชกที่ผมคิดว่าน่ากลัวก็น่าจะเป็นพี่โยธินกับพี่เพชรรุ่งเรืองนี่แหละครับ พี่เขาเก่งมาก”
หลายคนอาจยังมีความคลางแคลงใจกับสรีระที่สูงโย่งของนาบิลที่ทะลุไปถึง 193 เซนติเมตรว่าจะสามารถทำน้ำหนักได้หรือไม่ แล้วในอนาคตนาบิลควรจะชกในพิกัดไหนจึงจะเหมาะสมกับเขาที่สุด
“ผมสามารถทำน้ำหนัก 126 ปอนด์ได้ไม่มีปัญหาครับ เพราะว่ารายการ RWS มีการชั่งน้ำหนักล่วงหน้า 1 วัน ผมมีเวลาพักผ่อนเต็มที่ ถ้าเป็นรายการชก 5 ยกปกติ น้ำหนัก 128-130 ปอนด์ผมทำได้สบายมากครับ”
ในวัย 18 ปีของนาบิล เชื่อว่าสรีระของเขายังไม่น่าจะหยุดอยู่แค่นี้ เมื่อถามถึงเมื่อวันหนึ่งหากต้องชกในพิกัด 135 ปอนด์แล้วเส้นทางการต่อสู้อาจจะต้องมาเจอกับ รถถัง จิตรเมืองนนท์ เขาจะรับมือไหวหรือไม่
“พี่รถถังนี่ถือว่าเป็นไอดอลของผมเลยครับ ผมชอบการชกของพี่เขา พี่เขาเก่งมาก ถ้าหากผมต้องต่อยกับพี่เขาในตอนนี้คงยังไม่พร้อมครับ ผมคงต้องมีประสบการณ์ในการชกมากกว่านี้”
“แต่ถ้าวันหนึ่งเส้นทางมันหลีกเลี่ยงกันไม่ได้จริง ๆ ผมถือว่าเป็นเกียรติมากครับที่ผมจะได้ชกกับไอดอลของผม”
“ความฝันของผมในการชกมวย ผมอยากทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ทำให้คนที่ดูเรามีความสุข รู้สึกสนุกเมื่อเห็นเราชก ผมอยากเป็นตำนานของมวยไทยครับ”