
หากคุณเริ่มสังเกตฟุตบอลในทวีปแอฟริกา ช่วง 5-10 ปีหลัง คุณจะพบว่าแต่ละชาติ โดยเฉพาะชาติแถวหน้าอย่าง ไอวอรีโคสต์, ไนจีเรีย, แคเมอรูน หรือ กานา ได้เปลี่ยนแนวทางการทำทีมไปพอสมควร สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ พวกเขามักไม่ใช้ "โค้ชต่างชาติ" เหมือนในอดีตอีกแล้ว
เหตุใดโค้ชชาวยุโรปที่มีศาสตร์ฟุตบอลแน่น ๆ แบบที่เราได้เห็นพวกเขาคุมทีมชาติในทวีปอื่น ๆ จึงไม่เวิร์กกับชาติส่วนใหญ่ในแอฟริกา?
แล้วโค้ชท้องถิ่นที่แทบจะโนเนม ไม่เคยได้ยินชื่อ มีดีอะไร? ทำไมพวกเขาถึงให้โอกาสคุมทีมในรายการสำคัญอย่าง แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ (AFCON) หรือ ฟุตบอลโลก?
หาคำตอบไปพร้อมกับ Main Stand
สาเหตุที่ทีมแอฟริกันมักจ้างโค้ชยุโรป
เดิมทีชาติในแอฟริกาก็มักจะใช้กุนซือชาวยุโรปคุมทีมเหมือนกับชาติเล็ก ๆ ในโลกฟุตบอลที่ไม่ได้มีรากฐานฟุตบอลแข็งแกร่งอะไร อาทิ ชาติจากเอเชีย หรือชาติจากคอนคาเคฟ
ยุคทองของการใช้โค้ชจากยุโรปของชาติในแอฟริกา เกิดขึ้นในช่วงยุค 1990-2000 เป็นส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น ในฟุตบอลโลก 1998 ตัวแทนจากแอฟริกาทั้ง 6 ทีมใช้โค้ชยุโรปหมดทั้ง 100% ลากยาวจนมาถึงฟุตบอลโลกปี 2010 ก็มีชาติจากแอฟริกาชาติเดียวที่ไม่ใช่โค้ชยุโรป คือ แอลจีเรีย ซึ่งใช้โค้ชท้องถิ่นของตัวเอง
มีการเปิดเผยถึงเหตุผลที่พวกเขาใช้โค้ชจากยุโรป ส่วนใหญ่ก็มาจากการสนับสนุนของชาติในยุโรปที่เป็นพันธมิตร หรือมีผลประโยชน์ร่วมกัน ชาติในยุโรปมักจะส่งโค้ชของพวกเขาให้ไปคุมทีมในแอฟริกาที่เป็นพันธมิตร พร้อมทั้งออกค่าใช้จ่ายและค่าจ้างของทีมงานสตาฟฟ์ให้ส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่อาจเพื่อแลกกับสิทธิ์ในการยกมือโหวตให้พวกเขาได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันต่าง ๆ อะไรทำนองนั้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทั้งหมดที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติในยุโรป เพราะบางชาติในแอฟริกาก็เลือกหาโค้ชของพวกเขาเอง เช่น มิโลวาน ราเยวัช กุนซือชาวเซอร์เบีย ที่สมาคมฟุตบอลกานาเลือกเข้ามาทำงานด้วยตัวเอง และจ่ายค่าจ้างด้วยตัวเองทั้งหมด ซึ่งกรณีแบบราเยวัชนี้มีไม่มากนัก
โดยสรุปแล้ว เหตุผลหลัก ๆ คือการใช้โค้ชที่ชาติพันธมิตรจ่ายเงินและค่าจ้างให้ เป็นอะไรที่ง่ายกว่าในการจัดการ เพราะพวกเขาไม่ต้องควักเงินที่มีอยู่น้อยนิดในกระเป๋าของตัวเองออกมาจ้าง
หนำซ้ำ โค้ชยุโรปก็มีภาพลักษณ์ดีกว่าในสายตาแฟน ๆ ชาวแอฟริกัน ที่ส่วนใหญ่ก็ดูฟุตบอลยุโรปมากกว่าฟุตบอลท้องถิ่นอยู่แล้ว นั่นทำให้ในช่วงเวลายุค 1990 ลากยาวมาอีกเป็นสิบ ๆ ปี จึงแทบไม่มีโค้ชแอฟริกันได้คุมทีมชาติของตัวเองเลย และมันคือสิ่งที่โค้ชชาวแอฟริกันเรียกร้องมาตลอดว่า พวกเขาอยากจะได้โอกาสทำทีมแบบชาวยุโรป หรือชาวต่างชาติเหล่านี้บ้าง
ยุโรปไม่ได้แปลว่าเจ๋ง 100%
นี่ไม่ใช่ประเด็นใหม่ในทวีปแอฟริกา ทุกครั้งที่มีทัวร์นาเมนต์ใหญ่มาถึง ไม่ว่าจะฟุตบอลโลก หรือ AFCON (แอฟริกัน เนชันส์ คัพ) เรื่องนี้จะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดเสมอ
ก่อนฟุตบอลโลก 2010 คินนาห์ ฟิรี อดีตกุนซือทีมชาติมาลาวี ก็เคยบอกกับ BBC World Service ว่า
"มันไม่ยุติธรรมเลยที่โค้ชแอฟริกันไม่ได้รับโอกาสคุมทีมชาติของตัวเอง ทั้งที่พวกเราหลายคนผ่านการฝึกมาอย่างดี ผมเองก็ไปเรียนที่อังกฤษ ปัญหามันอยู่ที่ทัศนคติของพวกเราเอง ที่ไม่เชื่อมั่นในคนของเรา"
เช่นเดียวกับ สตีเฟน เคชิ อดีตกุนซือของไนจีเรียในช่วงต้นยุค 2010 ก็ออกมาพูดคล้าย ๆ กันว่า โค้ชคนขาวได้รับความไว้วางใจมากกว่าโค้ชท้องถิ่นเสมอ บางครั้งต่อให้ผลงานไม่ดี โค้ชคนขาวมักจะได้โอกาสพิสูจน์ตัวเอง แตกต่างกับโค้ชท้องถิ่น ที่บางครั้งแค่ผลการแข่งขันไม่เป็นใจแค่แมตช์เดียว สมาคมฟุตบอลของพวกเขาก็พร้อมจะไล่ออกทันที

"ผมไม่ใช่คนเหยียดผิว แต่โค้ชผิวขาวไม่ได้ทำอะไรที่โค้ชแอฟริกันทำไม่ได้ ถ้าเป็นโค้ชผิวขาว คุณจะบอกว่าเขาต้องใช้เวลาปรับตัว ศึกษาประเทศ ศึกษานักเตะ ทุกคนก็จะบอกว่า 'ไม่เป็นไร ค่อย ๆ ทำไป' แต่นั่นแหละคือความไม่เป็นมืออาชีพ และเป็นหนึ่งในสิ่งที่กำลังฆ่าฟุตบอลแอฟริกา" เคชิว่าแบบนั้น
การจ้างโค้ชต่างชาติที่ผลงานดีที่สุด เห็นจะมีแต่ราเยวัชที่พาทีมไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก 2010 เท่านั้น ขณะที่โค้ชคนอื่น ๆ จากยุโรปไม่สามารถทำผลงานได้โดดเด่น แม้จะมีนักเตะชั้นดีเล่นในลีกดัง ๆ มากมาย และเมื่อผลงานค่อนข้างเป็นเอกฉันท์ จึงไม่แปลกอะไรที่เทรนด์การจ้างโค้ชจากยุโรปจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปหลังจากนั้น
ในความเป็นจริง เคชิได้โอกาสคุมไนจีเรียเต็มตัว ส่วนฟิรีที่เคยคุมมาลาวีแล้วก็โดนปลดออกจากตำแหน่ง จะพูดแบบนั้นก็อาจไม่ถูกทั้ง 100% เพราะทั้งคู่ "เคยได้โอกาส" จากประเทศของตนแล้ว แต่สิ่งที่พวกเขาพูด มันสะท้อนภาพใหญ่กว่านั้นมาก
ลองดู มาลาวี เป็นตัวอย่าง พวกเขาเคยใช้โค้ชต่างชาติมาแล้วนับไม่ถ้วน ทั้งชาวเยอรมัน เดนมาร์ก อังกฤษ แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรเลย มาลาวีไม่เคยไปฟุตบอลโลก และผ่านเข้ารอบ AFCON ได้เพียงสองครั้งในปี 1984 และ 2010 ซึ่งทั้งสองครั้งนั้นใช้โค้ชท้องถิ่น
ชัดเจนที่สุดคือ อียิปต์ ชาติที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ AFCON คว้าแชมป์ถึง 7 สมัย และส่วนใหญ่ได้มากับโค้ชท้องถิ่น โดยเฉพาะแชมป์สามสมัยติดปี 2006, 2008 และ 2010 ภายใต้การคุมทีมของ ฮัสซัน เชฮาตา แต่พอพวกเขาลองมาใช้โค้ชต่างชาติอย่าง บ็อบ แบรดลี่ย์, เอ็คตอร์ คูเปร์, คาร์ลอส เคยรอซ, ฮาเวียร์ อากีร์เร่ และ รุย วิตอเรีย พวกเขากลับไม่สามารถคว้าแชมป์ทวีปได้อีกเลย
โอเซ โคฟี ตำนานนักเตะทีมชาติกานา เปรียบเทียบเรื่องฟุตบอลกับเรื่องเศรษฐกิจของชาติในแอฟริกาว่ามีความคล้ายกันอย่างหนึ่ง นั่นคือแม้พวกเขาจะมีวัตถุดิบชั้นดี แต่พวกเขากลับเชื่อใจคนภายนอก และพร้อมจะมอบสิทธิพิเศษให้แบบสองมาตรฐาน แตกต่างจากโค้ชท้องถิ่นที่ในช่วงเวลานั้นแทบไม่ได้รับการสนับสนุนเลย

"ความจริงก็คือ ทีมชาติในแอฟริกาไม่ได้พัฒนาขึ้นภายใต้โค้ชต่างชาติอย่างจริงจัง และผมเชื่อว่ามันไม่มีอะไรบ่งชี้ว่ามันจะดีขึ้นในอนาคต โค้ชที่เก่งจริงในยุโรป ไม่มีวันทิ้งทุกอย่างมาเสี่ยงในแอฟริกา มันไม่เคยพาแอฟริกาไปไกลได้ มีเพียงทรัพยากรและคนของตัวเองเท่านั้น ที่จะพาฟุตบอลแอฟริกาประสบความสำเร็จบนเวทีโลกได้อย่างแท้จริง"
นี่คือสิ่งที่ โอเซ โคฟี กล่าวไว้เมื่อราว 10 ปีก่อน และตอนนี้สิ่งที่เขาพูดเหมือนจะเป็นจริง อย่างน้อยเทรนด์ก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว เรียกได้ว่านับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2018 เป็นต้นมา กุนซือท้องถิ่นได้โอกาสคุมทีมชาติบ้านเกิดของพวกเขามากขึ้น ไม่ว่าจะในรายการ AFCON หรือฟุตบอลโลก
เพราะแค่แท็กติกมันไม่พอ
สำหรับในรายการ AFCON 2025 ที่กำลังจะเปิดฉากในเร็ว ๆ นี้ ทีมใหญ่ ๆ ของทวีปที่อยู่ในกลุ่มเต็ง 5 อย่าง โมร็อกโก, แคเมอรูน, ไอวอรีโคสต์, ตูนิเซีย, อียิปต์ และเซเนกัล ต่างก็เลือกใช้โค้ชจากท้องถิ่นคุมทีมทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเทรนด์ของชาติในแอฟริกาได้เปลี่ยนไปแล้ว
มาเล็ก ชาฟี นักเขียนของ KingFut เว็บไซต์ที่เน้นเรื่องฟุตบอลแอฟริกา ได้พูดถึงเหตุผลของเทรนด์ที่เปลี่ยนไปว่า สาเหตุที่พวกชาติใหญ่ไม่ใช้โค้ชจากยุโรปอีกแล้ว มีเหตุผลหลายข้อ และข้อแรกที่เขาพูดถึงคือ โค้ชยุโรปที่มาที่นี่ไม่ได้เป็นโค้ชชั้นดีจริง ๆ บางคนอาจจะมาพร้อมศาสตร์ฟุตบอลมากมายจากยุโรป แต่พอต้องเอามาปรับใช้งานจริง จำเป็นต้องใช้ทั้ง "บู๊ และ บุ๋น" ใช้ทักษะการจัดการคน เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงจุดเข้าใจร่วมกันให้ได้ ซึ่งข้อนี้ไม่ใช่โค้ชทุกคนที่จะสามารถเอาศาสตร์จากยุโรปมาปรับใช้กับการทำทีมในแอฟริกาได้

"ข้อเสียมันชัดเจนอยู่แล้ว ภาษา วัฒนธรรม และความเข้าใจฟุตบอลในภูมิภาคคืออุปสรรคใหญ่ และถ้าเจอสมาคมฟุตบอลที่ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ช่วยเรื่องการปรับตัว โค้ชคนนั้นก็แทบเริ่มงานด้วย 'แต้มติดลบ' ทันที"
"นอกจากนี้ ฟุตบอลแอฟริกาไม่ได้มีความสม่ำเสมอเท่าไรนัก ทีมอาจพีคขึ้นมาเป็นช่วง ๆ แล้วก็ดับลงอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งมาจากโปรแกรมการแข่งขันที่อัดแน่น AFCON ทุก 2 ปี รอบคัดเลือกฟุตบอลโลก และตัวฟุตบอลโลกเอง ทำให้แทบไม่มีประเทศไหนยืนระยะความสำเร็จได้ยาว ๆ เลย"
"ผลลัพธ์ของการจ้างโค้ชต่างชาติคือ สำเร็จชั่วคราว > ล้มเหลว > เปลี่ยนโค้ช และเริ่มใหม่แบบวนลูปเดิม นี่คือสิ่งที่ฉุดรั้งฟุตบอลแอฟริกาไม่ให้ก้าวไปไกลกว่านี้"
ความสำเร็จสู่การเปลี่ยนแปลง
เซเนกัล เป็นชาติแรก ๆ ที่กล้าใช้โค้ชท้องถิ่นอย่าง อลิยู ซิสเซ่ ในรายการใหญ่อย่างฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งในทัวร์นาเมนต์นั้น ซิสเซ่ทำทีมได้ลุ้นจนเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ที่พวกเขาตกรอบเพราะแพ้คะแนนแฟร์เพลย์ให้กับญี่ปุ่นเท่านั้น ส่วนชาติอื่น ๆ ในแอฟริกาที่ใช้โค้ชต่างชาติอย่าง ไนจีเรีย, อียิปต์, ตูนิเซีย และโมร็อกโก ก็ตกรอบเช่นกัน ด้วยผลงานโดยรวมที่แย่กว่าเซเนกัลทั้งหมด
จากนั้นลูปการจ้างโค้ชต่างชาติ หรือโค้ชยุโรปที่ค่าจ้างแพง ก็แทบจะจบลงตั้งแต่ฟุตบอลโลกครั้งนั้น สิ่งที่เปลี่ยนไปในตอนนี้คือ ชาติต่าง ๆ ในทวีปแอฟริกาพร้อมจะลองของใหม่ด้วยการกล้าลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มชาติใหญ่ ๆ ที่เริ่มให้โอกาสและความมั่นคงกับโค้ชของตัวเอง
แม้ช่วงแรกอาจต้องแลกด้วยการพลาดฟุตบอลโลกหนึ่งหรือสองครั้ง แต่ในระยะยาวมันอาจสร้างระบบที่แข็งแรง ตั้งแต่ทีมชาติไปจนถึงรากฐานฟุตบอลในประเทศ
ยกตัวอย่างเช่น โมร็อกโก ที่ใช้งานโค้ชท้องถิ่นอย่าง วาลิด เรกรากี คุมทีมในฟุตบอลโลก 2022 และคว้าอันดับ 4 เป็นชาติแรกจากแอฟริกาที่ผ่านไปถึงรอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ ซึ่งผลงานครั้งนั้นของโมร็อกโกแทบจะปลุกกระแสให้ชาติอื่น ๆ ในทวีปหันมาใช้บริการคนกันเองเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะในชาติระดับแถวหน้าของทวีปใน AFCON 2025 ครั้งนี้

เทรนด์ที่เปลี่ยนไปเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ณ เวลานี้ การเลือกโค้ชมันขึ้นอยู่กับว่าใครเข้าใจความเป็นแอฟริกันมากกว่ากัน พวกเขาไม่ต้องการโค้ชที่เปลี่ยนให้นักเตะแอฟริกันต้องเล่นเหมือนกับทีมในยุโรป แต่ต้องดึงความแข็งแกร่งและความเป็นธรรมชาติของตัวเองออกมาใช้ให้ได้มากที่สุด
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ข้อสรุปว่าโค้ชแอฟริกันจะเก่งกว่าโค้ชยุโรป ทว่า ณ เวลานี้โค้ชชาวแอฟริกันก็พัฒนาขึ้นมากจากอดีต หลายคนได้เรียนโค้ชหลักสูตรเดียวกับที่โค้ชยุโรปเรียน และบางคนก็เคยผ่านประสบการณ์ค้าแข้งในระดับสูงมาก่อน จึงทำให้พวกเขามีความเข้าใจมากขึ้น และเริ่มคว้าโอกาสในการทำทีมชาติบ้านเกิดได้
"โค้ชชาวแอฟริกันพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา ฟุตบอลในปัจจุบันเป็นกีฬาสากล เชื้อชาติ สีผิว หรือสัญชาติ ไม่ได้สร้างความแตกต่างอีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณภาพและความสามารถ"
"ในทวีปของเราเอง ผู้คนเริ่มเชื่อว่าเราเก่งที่สุดเท่าที่เราจะเป็นได้แล้ว จากที่อดีตพวกเรามักจะมองหาความช่วยเหลือและความพึ่งพาชาวยุโรปอยู่เสมอ" อลิยู ซิสเซ่ ที่ปัจจุบันคุมทีมชาติลิเบีย กล่าวถึงประเด็นนี้อย่างตรงไปตรงมา และยืนยันว่ายุคของโค้ชชาวแอฟริกันได้เริ่มขึ้นแล้วใน AFCON 2025 ที่กำลังจะเริ่มแข่งขันในเร็ว ๆ นี้
แหล่งอ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/2025_Africa_Cup_of_Nations
https://www.bbc.com/sport/football/articles/cy5pzg7nkgno
https://africasacountry.com/2013/02/why-do-african-countries-hire-white-football-coaches-for-their-national-teams
https://www.kingfut.com/2018/07/04/why-african-teams-local-managers/
https://www.espn.com/espn/story/_/id/47321992/afcon-2025-team-team-guide-key-players-predictions-there-surprise-winner