
หากจะพูดถึงตำนานในวงการฟุตบอลหญิง หลายคนอาจจะนึกถึงผู้เล่นอย่าง มาร์ธ่า ของ บราซิล, คริสเตียน ซินแคลร์ ของ แคนาดา รวมไปถึง อเล็กซ์ มอร์แกน กับ เมแกน ราปิโน จาก สหรัฐอเมริกา
แต่ถ้าจะย้อนไปไกลกว่านั้น หนึ่งในตำนานฟุตบอลหญิงที่ได้รับการยอมรับจากแฟน ๆ ต้องมีชื่อของ มีอา แฮมม์ รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน
เธอเป็นใคร ? มาจากไหน ? แล้วเธอโดดเด่นมากแค่ไหนในวงการฟุตบอลหญิง ? ติดตามได้ที่ Main Stand
ก้าวแรกที่ไม่ง่าย
มารีเอล มาร์กาเร็ต "มีอา" แฮมม์ เกิดเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ปี 1972 ที่เมืองเซลมา รัฐอลาบามา เธอเป็นลูกคนที่ 4 จากทั้งหมด 6 คนของคุณพ่อ บิล และคุณแม่ สเตฟานี่ แฮมม์ โดยคุณพ่อเป็นนักบินขับไล่ของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ส่วนคุณแม่เป็นนักบัลเล่ต์
ช่วงวัยเด็กของ มีอา เธอเกิดมาพร้อมกับโรคเท้าปุก (Clubfoot) เป็นภาวะที่ทารกเกิดมามีเท้าบิดผิดรูป โดยปลายเท้าจะชี้ลงและหันเข้าด้านใน ภาวะนี้เกิดจากเอ็นที่อยู่ด้านหลังข้อเท้าสั้นเกินไป ทำให้เท้ามักอยู่ในลักษณะที่บิดงอผิดปกติ อาจเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี อาจส่งผลให้เดินลำบากและมีอาการปวดในภายหลัง
ซึ่ง มีอา แฮมม์ ในวัยที่ยังกระเตาะกระแตะก็ต้องได้รับการดูแลจากผู้ปกครองและแพทย์อย่างใกล้ชิด โชคยังดีที่ มีอา รักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด ใช้แค่การเข้าเฝือกปรับรูปเท้าให้กลับมามีลักษณะตรง ก่อนจะใส่รองเท้าที่ทำขึ้นเฉพาะสำหรับเด็กเล็กที่เป็นโรคเท้าปุกจนเธอกลับมามีรูปเท้าที่เป็นปกติ
นับเป็นก้าวแรกที่ไม่ง่ายเลยสำหรับหนูน้อย มีอา แฮมม์ ณ เวลานั้น แต่อย่างน้อยเธอก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างเต็มที่ รักษาด้วยวิธีการที่ถูกต้องจนเธอสามารถเดินได้แบบไม่มีอาการปวดเท้า
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ มีอา ได้รู้จักกับกีฬาฟุตบอล เกิดจากการที่ครอบครัวของเธอเดินทางเข้าสู่แผ่นดินยุโรป เพราะด้วยงานที่คุณพ่อเป็นนักบินของกองทัพสหรัฐฯ ทำให้ครอบครัว แฮมม์ ต้องเดินทางวนเวียนระหว่างฐานทัพที่ประจำการอยู่ทั่วโลก

และเมื่อ มีอา ในวัย 5 ขวบเดินทางมาที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เธอก็ได้ไปรู้จักกับกีฬาฟุตบอล ซึ่งครอบครัวของเธอก็ให้การสนับสนุน ทำให้ มีอา แฮมม์ รู้สึกตกหลุมรักในฟุตบอลนับตั้งแต่นั้น
วันเวลาผ่านไป ครอบครัวแฮมม์ ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในรัฐเท็กซัส ซึ่งกับที่แห่งนี้ มีอา และการ์เร็ตต์ พี่ชายบุญธรรมของเธอก็ได้เข้าร่วมทีมฟุตบอลทีมแรก โดยมี บิล แฮมม์ คุณพ่อของทั้งสองคนเป็นโค้ชที่คอยอบรมและฝึกฝนให้
สมัยที่ มีอา แฮมม์ ลงเล่นฟุตบอลในชุดเยาวชน ปี 1986 เธอได้เข้าร่วมทีมฟุตบอลพัฒนาโอลิมปิกในเมืองดัลลัส ก่อนที่ผลงานจะไปเข้าตา แอนสัน ดอร์แรนซ์ โค้ชฟุตบอลหญิงของทีมชาติสหรัฐอเมริกา
ทำให้ปีต่อมา โค้ช แอนสัน ดอร์แรนซ์ ก็เรียกตัว มีอา แฮมม์ ในวัยแค่ 15 ปี เข้ามาติดทีมชาติสหรัฐอเมริกาชุดใหญ่เป็นครั้งแรก พร้อมสร้างสถิติเป็นนักเตะอายุน้อยสุดที่เคยเล่นให้กับทีมชาติสหรัฐอเมริกา เด็กกว่าตอนที่ เฟรดดี้ อาดู ลงรับใช้ทีมชาติของฝั่งชายด้วยซ้ำ
การที่ มีอา แฮมม์ เดบิวต์กับทีมชาติชุดใหญ่ในวัยแค่ 15 ปี นี่ก็ถือเป็นก้าวแรกที่ไม่ง่าย แต่เมื่อเธอทำได้ เลยกลายเป็นที่จดจำบนหน้าประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลหญิง
อเมริกันวันเดอร์เกิร์ล
ปี 1988-1989 มีอา แฮมม์ เข้าร่วมทีมฟุตบอลหญิงของโรงเรียนมัธยม เลค แบรดด็อค (Lake Braddock) ในรัฐเวอร์จิเนีย ปักหลักเป็นศูนย์หน้าตัวเก่งประจำทีม
พอเธอจบไฮสคูล มีอา ก็ได้รับการทาบทามจากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา เข้าเป็นนักเตะของทีมประจำสถาบัน นอร์ทแคโรไลนา ทาร์ ฮีลส์ (North Carolina Tar Heels)
ระยะเวลากว่า 5 ปีกับการลงเล่นให้ NC Tar Heels ตัวของ มีอา แฮมม์ ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญพาทีมคว้าแชมป์ NCAA Division I Women's Soccer Championships หรือ แชมป์ฟุตบอลลีกระดับมหาวิทยาลัยของอเมริกา ได้ถึง 4 สมัย
ขณะที่สถิติส่วนตัวเรียกได้ว่าเก่งเกินวัย โดยเธอลงสนามไป 95 นัด กดไป 103 ประตู และจ่ายอีก 72 แอสซิสต์ คว้ารางวัลดาวซัลโวในระดับวิทยาลัยของประเทศถึง 3 สมัย (ปี 1990, 1992, 1993)
นอกจากนี้ เธอยังได้รับเลือกให้ติดทีม All-American ชุดแรก 3 ครั้ง แถมยังคว้ารางวัลนักกีฬาหญิงแห่งปีของ Atlantic Coast Conference (ACC) รวมถึงรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม หรือ Hermann Trophy ของ Missouri Athletic Club (MAC) อย่างละ 2 สมัย และเป็นผู้เล่นแห่งปีของชาติอีก 3 สมัย

ถ้าจะมีผลงานที่เธอรู้สึกเสียดายในช่วงเวลานั้น คือ การลงเล่นในนามทีมมหาวิทยาลัยหญิงของสหรัฐอเมริกา แพ้ให้กับ จีน ในรอบชิงชนะเลิศการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลกฤดูร้อนปี 1993 ที่เมืองบัฟฟาโล่ รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
ด้วยความยอดเยี่ยมของ มีอา แฮมม์ ทำให้มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาตัดสินใจรีไทร์เบอร์เสื้อหมายเลข 19 อย่างเป็นทางการในปี 1994 เพื่อเป็นการซูฮกถึงสุดยอดผลงานที่เธอได้ฝากเอาไว้
ต่อมาในปี 2001 สโมสรใหม่ที่ มีอา ย้ายไปลงเล่น คือ วอชิงตัน ฟรีดอม (Washington Freedom) ซึ่ง ณ เวลานั้น สมาคมฟุตบอลหญิงแห่งสหรัฐอเมริกา (WUSA) ได้มีการก่อตั้งลีกฟุตบอลหญิงอาชีพแห่งแรกของสหรัฐอเมริกา โดยที่ มีอา แฮมม์ คือ หนึ่งในผู้เล่นที่มีส่วนร่วมในการก่อตั้งครั้งนี้ด้วย
ช่วงปี 2001-2003 กับทาง วอชิงตัน ฟรีดอม แม้ว่าการยิงประตูจะไม่ได้ถล่มทลายเหมือนสมัยที่ค้าแข้งกับมหาวิทยาลัย แถมมีอาการบาดเจ็บรบกวนที่หัวเข่าด้วย แต่เธอก็ยังเป็นตัวหลักในการจบสกอร์ให้กับทีมอยู่เหมือนเดิม
และ มีอา แฮมม์ ก็สามารถไขว่คว้าเกียรติประวัติร่วมกับทีมได้ กับการคว้าแชมป์ประจำปีของ WUSA ในชื่อ ฟาวน์เดอร์ส คัพ ในปี 2003 หลังชนะ แอตแลนต้า บีท ในรอบชิงชนะเลิศ 2-1 ซึ่งนั่นคือ ฤดูกาลสุดท้ายของ มีอา แฮมม์ กับฟุตบอลหญิงในระดับสโมสร
โดดเด่นในทีมชาติ
ผลงานในระดับสโมสรว่าโดดเด่นแล้ว แต่ในระดับทีมชาติ มีอา แฮมม์ ยิ่งยกระดับความเก่งและเป็นที่ยอมรับของวงการฟุตบอลหญิงมากขึ้นไปอีก เพราะนับตั้งแต่ที่เธอประเดิมสนามกับทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติสหรัฐอเมริกา ชุดใหญ่ในปี 1987 บนวัยแค่ 15 ปี หลังจากนั้นเธอก็สามารถยิงประตูแรกให้ทีมได้จากการลงสนามนัดที่ 17
ข้ามมาในปี 1991 มีอา แฮมม์ ในวัยแค่ 19 ปีได้รับเลือกให้เข้าร่วมทีมชาติสหรัฐอเมริกา ลุยศึกฟุตบอลโลกหญิงครั้งแรกที่ประเทศจีน ภายใต้การคุมทีมของ แอนสัน ดอร์แรนซ์ ทำให้ มีอา เป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในทีมชุดนั้นอีกด้วย
แมตช์ที่เธอสร้างชื่อในรายการนี้ คือ นัดแรกในรอบแบ่งกลุ่มที่ สหรัฐอเมริกา เฉือนชนะ สวีเดน 3-2 เพราะว่า มีอา แฮมม์ เป็นคนยิงประตูชัยในนาทีที่ 62 ช่วยให้เก็บชัยชนะได้
และไม่ใช่แค่นั้น นัดต่อมาที่ถล่ม บราซิล 5-0 มีอา แฮมม์ ก็สามารถยิงเพิ่มได้อีก 1 ประตู ก่อนทีมหญิงของสหรัฐอเมริกา จบด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม ผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์
หลังจากเข้ารอบน็อกเอาต์ สหรัฐอเมริกา ยังคงดุดันไม่มีแผ่ว ไล่ถลุงคู่แข่งทั้ง ไชนีสไทเป, เยอรมนี และ นอร์เวย์ ในรอบชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกหญิงครั้งแรกไปแบบสวยงาม พร้อมทั้งช่วยให้ มีอา แฮมม์ สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นนักเตะหญิงอายุน้อยที่สุดที่เคยคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกด้วยวัยเพียงแค่ 19 ปีเท่านั้น

4 ปีต่อมาในปี 1995 ฟุตบอลโลกหญิงกลับมาแข่งขันกันอีกครั้งที่ประเทศสวีเดน ซึ่ง มีอา แฮมม์ ก็มีชื่อติดทีมอีกเช่นเคย เดินหน้ายิงประตูและพาแชมป์เก่าผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ได้ตามคาด แต่ปรากฏว่าพวกเธอกลับจอดป้ายแค่รอบรองชนะเลิศ จากฝีมือของ นอร์เวย์ ที่มาล้างตา ก่อนก้าวไปคว้าแชมป์ได้ในปีนั้น
จริงอยู่ที่พวกเธอไม่สามารถป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกได้ แต่ในปี 1999 ทีมฟุตบอลหญิงของสหรัฐอเมริกา ได้กลับไปแก้มืออีกครั้งในฐานะเจ้าภาพ แล้วพวกเธอก็ทำสำเร็จ เถลิงแชมป์ฟุตบอลโลกมาครองเป็นสมัยที่ 2
อีกหนึ่งเกียรติยศที่ มีอา แฮมม์ ได้ฝากฝังเอาไว้ให้เป็นที่เชิดหน้าชูตากับชาติบ้านเกิด คือ การคว้าเหรียญทองในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก เริ่มตั้งแต่ในปี 1996 ที่เมืองแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา อันเป็นครั้งแรกที่มีการชิงเหรียญทองในการแข่งขันฟุตบอลหญิง
รอบชิงปีนั้น สหรัฐอเมริกา เจอกับ จีน ก่อนชนะไป 2-1 คว้าเหรียญทองมาครองได้ที่บ้านของตัวเอง โดยหนึ่งในภาพจำที่ทำเอาได้ใจแฟน ๆ ไปชุดใหญ่ คือ การที่ มีอา แฮมม์ ลงเล่นช่วยชาติทั้งที่มีอาการบาดเจ็บบริเวณเท้าและขาหนีบ แต่เธอก็กัดฟันสู้อย่างเต็มที่จนเล่นต่อไม่ไหวถูกหามออกไปในนาทีสุดท้าย
โอลิมปิกครั้งต่อมาที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ในปี 2000 มีอา แฮมม์ ยังคงนำทีมลงแข่งฟุตบอลหญิงเพื่อหวังชิงเหรียญทอง 2 ครั้งติดต่อกัน ซึ่งพวกเธอก็ได้เข้าชิงจริง ๆ แต่ไปแพ้ให้กับไม้เบื่อไม้เมาอย่าง นอร์เวย์ ด้วยสกอร์ 2-3 ทำได้เพียงแค่คว้าเหรียญเงินมาห้อยคอเท่านั้น
ทว่าในปี 2004 โอลิมปิก ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ทีมฟุตบอลหญิงของสหรัฐอเมริกา และ มีอา แฮมม์ ในวัยเลขสาม ก็ได้เดินทางมาแก้มือเพื่อชิงเหรียญทองอีกครั้ง คราวนี้ในรอบชิง พวกเธอได้เจอกับ บราซิล ที่เคยเอาชนะไปแล้วในรอบแบ่งกลุ่ม ก่อนจะย้ำแค้นเอาชนะไปได้อีกครั้ง คว้าเหรียญทองมาให้ทีมชาติเป็นสมัยที่ 2

ตลอดเวลาที่เธอรับใช้ทีมชาติยาวนานถึง 17 ปี มีอา แฮมม์ ถือเป็นหนึ่งในตำนานดาวยิงของสหรัฐอเมริกา รวมถึงกับวงการฟุตบอลหญิงแบบไม่มีข้อสงสัย
ผลงานส่วนตัวกับทีมชาติ เธอทำเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการลงเล่น 276 นัด ทำไป 158 ประตู 144 แอสซิสต์ มีส่วนร่วมถึง 302 ประตู มากกว่าจำนวนที่ลงเล่นด้วยซ้ำ ถึงขั้นขึ้นเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีมฟุตบอลหญิงสหรัฐอเมริกา ก่อนจะถูก แอบบี้ วัมบัค ทำลายลงในเวลาต่อมา
สุดท้ายหลังจากคว้าเหรียญทองที่กรุงเอเธนส์ ในปีเดียวกัน ตัวของ มีอา แฮมม์ ที่โลดแล่นในวงการลูกหนังมายาวนานเกือบ 20 ปีก็ตัดสินใจประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพอย่างเป็นทางการในวัยแค่ 32 ปี โดยที่เธอให้เหตุผลว่าอยากจะโฟกัสถึงชีวิตส่วนตัวให้มากขึ้น หลังจากที่เธอเริ่มมีครอบครัวรวมถึงหน้าที่อื่น ๆ ที่ต้องดูแลอีกหลายอย่าง
แนวหน้าในทุกด้าน
หลังยุติบทบาทการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ มีอา แฮมม์ ก็สร้างครอบครัวอันสุขสันต์ขึ้นมา ทั้งการแต่งงานกับสามี โนมาร์ การ์เซียปาร์ร่า ที่เป็นอดีตนักกีฬาเบสบอลของ บอสตัน เรดซอกซ์ และเธอยังมีลูกสาวฝาแฝดรวมถึงลูกชายอีก 1 คนด้วย
นอกจากที่เธอต้องรับหน้าที่อันใหญ่หลวงในการดูแลสามีและลูกน้อยที่น่ารัก ตัวของ มีอา ยังเป็นแนวหน้าที่ต้องคอยดูแลจัดการงานต่าง ๆ ที่เธออยากจะทำเพิ่มเติมอีกมากมาย
ยกตัวอย่าง เช่น ระหว่างที่ มีอา กำลังค้าแข้งเป็นนักฟุตบอล ในปี 1997 ตอนนั้น การ์เร็ตต์ แฮมม์ พี่ชายของเธอเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนในโรคโลหิตจาง
ทำให้ในปี 1999 มีอา ได้จัดตั้งมูลนิธิ มีอา แฮมม์ ขึ้นมาเพื่อส่งเสริมความตระหนักรู้และระดมทุนสำหรับครอบครัวที่ต้องการการปลูกถ่ายไขกระดูกหรือเลือดจากสายสะดือ พร้อมทั้งมอบเงินทุนให้กับโรงพยาบาลรวมถึงหน่วยงานที่ดูแลสุขภาพใกล้บ้านของเธอ
และด้วยความที่เธอเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ทำให้ มีอา แฮมม์ กลายเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์ต่าง ๆ มากมายตั้งแต่ขนมขบเคี้ยว ไปจนถึงธนาคารยักษ์ใหญ่ในประเทศ
แถมในปี 2000 ตัวของเธอยังถูกทำเป็นวิดีโอเกมลงนินเทนโด 64 ด้วย ชื่อว่า "Mia Hamm Soccer 64" ซึ่งเป็นเกมที่ขายได้เกือบ 43,000 ชุดในสหรัฐอเมริกา
ก่อนที่ในปี 2023 บริษัท EA Sports ก็ได้ใส่เธอเข้าไปเป็น 1 ใน 5 ตำนานนักเตะหญิงในเกม EA Sports FC 24 โดยเธอมีค่าพลังสูงถึง 93 เทียบเท่ากับตำนานฝั่งชายอย่าง โรนัลดินโญ่ รวมถึง โยฮัน ครัฟฟ์ เลยด้วย

บทบาทของเธอยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ โดย มีอา แฮมม์ ยังเคยรับหน้าที่เป็นทูตประชาสัมพันธ์ระดับโลกให้กับ บาร์เซโลน่า, เป็นเจ้าของร่วมของทีม ลอสแอนเจลิส เอฟซี ใน เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ ต่อด้วยการดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการบริหารของ อาแอส โรม่า
เป็นผู้เขียนหนังสือขายดีระดับประเทศเรื่อง Go For the Goal : A Champion's Guide to Winning in Soccer and Life และหนังสือวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง Winners Never Quit
อีกทั้ง มีอา ยังเคยได้ร่วมงานกับรองประธานาธิบดี ณ ขณะนั้นอย่าง โจ ไบเด้น และสุภาพสตรีหมายเลข 2 อย่าง จิลล์ ไบเดน ในฐานะสมาชิกของคณะผู้แทนสหรัฐอเมริกา ในการแข่งขันฟุตบอลโลกหญิง รอบชิงชนะเลิศ ปี 2015 ที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา อีกด้วย
จากเด็กที่มีอาการผิดปกติตั้งแต่กำเนิด แต่เธอก็ได้รับการดูแลแบบที่ถูกที่ควรจนเป็นปกติ และเจอกับความหลงใหลในกีฬาฟุตบอลอย่างรวดเร็ว โดยครอบครัวของเธอก็ให้การสนับสนุนอย่างสุดกำลัง ซึ่ง มีอา ก็มุ่งมั่นและพยายามเพื่อที่จะเป็นเบอร์ต้น ๆ ของวงการฟุตบอลหญิงให้ได้
จนในปัจจุบัน มีอา แฮมม์ ได้กลายเป็นบุคคลต้นแบบที่วงการฟุตบอลหญิงให้การยกย่องเป็นอย่างมาก ไม่ว่าชื่อเสียงจะโด่งดังแค่ไหน ใหญ่โตเพียงใด แต่ มีอา แฮมม์ ก็ยังคงทุ่มเทกับงานด้านกีฬาที่เธอรักอย่างเต็มที่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าสู่หอเกียรติยศของฟุตบอลโลก รวมถึงหอเกียรติยศอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า มาร์กาเร็ต "มีอา" แฮมม์ คือ หนึ่งในกำลังสำคัญที่ทำให้ฟุตบอลหญิงในสหรัฐฯ รวมถึงฟุตบอลหญิงทั้งวงการขยับขึ้นมาเป็นที่รู้จักและน่าสนใจมากยิ่งขึ้นจวบจนทุกวันนี้
แหล่งอ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/Mia_Hamm
https://www.olympics.com/en/athletes/mia-hamm
https://www.ncsoccerhalloffame.org/Hall-of-fame/mia-hamm
https://toa.or.th/knowledge/clubfoot
https://www.ussoccerhistory.org/national-soccer-hall-of-fame-biographies/national-soccer-hall-of-fame-player-biographies/mia-hamm/
https://encyclopediaofalabama.org/article/mia-hamm/