5 เกมติดต่อกันแล้วที่ ลิเวอร์พูล ได้ประตูชัยในช่วง "นาทีบาป" ท้ายเกม
จาก 1 แต้มกลายเป็น 3 แต้ม และบางเกมก็เปลี่ยนจาก 0 แต้มกลายเป็น 3 แต้มแบบที่ทุกคนสามารถรู้สึกได้ลึก ๆ ว่า เมื่อถึงเวลาของพวกเขา … สกอร์มันจะต้อง "มาแน่"
หลายคนอาจจะบอกว่าฟลุก ดวงดี หรือดวงแข็ง แต่ที่แน่ ๆ ในโลกของฟุตบอล คำว่า "ฟลุก" ไม่น่าจะมีอยู่จริง และมันมีคำตอบที่ดีกว่านั้นที่เราจะหาเหตุผลว่า
"ทำไมบางทีมจึงยิงท้ายเกมเป็นประจำ จนแทบจะติดเป็นนิสัยไปแล้ว ?"
หาคำตอบกับ Main Stand
ใจเย็น ๆ เดี๋ยวก็มา
หากเรามองเรื่องของการทำของยากให้เป็นของง่ายแบบซ้ำ ๆ ทำได้บ่อย ๆ ให้เป็นเรื่องของฟุตบอล เราคงต้องเอาเรื่องของแท็คติก เทคนิค และสืบจากปากคำของเหล่าโค้ชหรือนักเตะมาหาความจริงกันฉากต่อฉากเพื่อให้ได้ความชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราถอยออกสักก้าวและมองเรื่องให้มากกว่าเรื่องฟุตบอล และเป็นเรื่องที่สามารถอธิบายถึงพฤติกรรมของมนุษย์ (แทบ) ทุกคน เราจะได้สิ่งที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เราไปต่อสำหรับคำถามนี้ได้ สิ่งนั้นเรียกว่า "จิตวิทยา" มันมีกฎทางจิตวิทยาที่อธิบายเรื่องการยิงประตูท้ายเกมได้บ่อย ๆ โดยกฎดังกล่าวมีชื่อว่า "กฎของการทำซ้ำ" (The Law of Repetition)
กฎแห่งการทำซ้ำ ถูกค้นพบโดย เอ็ดเวิร์ด ธอร์นไดค์ นักศึกษาและจิตวิทยาชาวอเมริกาผู้ให้กำเนิดทฤษฎีแห่งการเรียนรู้ โดยเจ้าของทฤษฎีนี้ได้กล่าวไว้ว่า
"การกระทำซ้ำหรือการฝึกหัดใด ๆ หากได้ทำบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ จะทำให้การกระทำนั้นค่อย ๆ ถูกเสริมแรงขึ้น ถูกต้องมากขึ้น สมบูรณ์แบบมากขึ้น และมั่นคงมากขึ้น"
กล่าวคือ ต่อให้เป็นสิ่งที่ยากแค่ไหน แต่ถ้ายิ่งทำซ้ำ ก็ยิ่งเข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบ และถ้าหากสามารถทำไปได้เรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่ง คุณจะเหมือนกับมีพลังลับนี้อยู่กับตัว เมื่อถึงสถานการณ์ที่ต้องใช้ มันจะถูกดึงออกมาจากตัวเราได้ทันที
กลับมาที่เรื่องของฟุตบอลก็คงไม่ต่างกันนัก ในเมื่อทีมฟุตบอลทีมหนึ่งเริ่มสะสมความเชี่ยวชาญมาทีละนิด ทำซ้ำ ๆ จนมาถึงจุดหนึ่งที่พวกเขายิงประตูท้ายเกมตัดสินชัยชนะบ่อย ๆ ร่างกายและจิตใจของพวกเขาจะจดจำความรู้สึกหรือการกระทำในวันนั้น ๆ เอาไว้โดยอัตโนมัติ และเมื่อถึงเวลาที่พวกเขาต้องทำมันอีกครั้ง ความมั่นใจพุ่งทะยานขึ้นสูง สมองของพวกเขาจะสั่งการว่า "เดี๋ยวก็ทำได้เหมือนทุกครั้ง"
เรื่องนี้อย่าว่าแต่นักเตะของ ลิเวอร์พูล เลย แม้แต่แฟนบอลของพวกเขา หรือแม้แต่แฟนบอลอื่น ๆ สามารถเข้าใจตรงกันว่า หาก ลิเวอร์พูล กำลังตามหลังคู่แข่ง หรือเสมอกันอยู่ในช่วงท้ายเกม มันมีโอกาสสูงมาก ๆ ที่พวกเขาจะพยายามทุกทางจนทำประตูได้
มันกลายเป็นความรู้สึกเหมือนกับว่า ไม่ว่าจะเจอกับทีมไหน เกมรับอีกฝั่งจะเหนียวแน่นเท่าไหร่ ถ้ามีอะไรมากระตุ้นความรู้สึกของการทำซ้ำให้ตื่นขึ้น โอกาสที่พวกเขาจะทำได้ตามเป้าก็มีสูงมาก
เกร็ก อีแวนส์ นักวิเคราะห์ของ The Athletic วิเคราะห์เรื่องนี้ว่า
"ในหลาย ๆ ครั้ง เมื่อคุณดูสกอร์ของ ลิเวอร์พูล คุณอาจจะคิดว่าเป็นเกมที่สูสี แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าเรานับจากจังหวะการเข้าทำและการสร้างภัยคุกคามให้คู่แข่ง ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ดีกว่าคู่แข่งเสมอ ด้วยคุณภาพทีมที่ดี และที่สำคัญคือพวกเขาลงสนามด้วยความรู้สึกแบบ 'ทีมเต็ง' ที่ต้องการแค่ชัยชนะเท่านั้น"
"การที่พวกเขายิงประตูชัยในช่วงทดเจ็บอีกครั้งจาก เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เป็นแค่อีกหน้าของศาสตร์การยิงท้ายเกมของพวกเขา พวกเขากำลังอยู่ในจุดที่มั่นใจมาก และเป็นทีมที่มีเรื่องของความอดทน มุ่งมั่น และทัศนคติที่ดีโดยธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องปลุกเร้ากันเยอะ ทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเอง ดังนั้น สิ่งที่เป็นธรรมชาติของพวกเขานี่แหละทำให้เรารู้สึกว่า เมื่อใดก็ตามที่ทีม ๆ นี้ต้องการประตู พวกเขามักจะมีเวลามากพอที่จะทำมันได้เสมอ"
หากเราจะเอาด้านจิตวิทยามาอธิบายอย่างเดียว ก็คงจะดูเป็นคำตอบที่ไม่สมบูรณ์นัก การจะเกิดทฤษฎี "กฎของการทำซ้ำ" ที่ดูเหมือนง่ายนี้ มีความยากเชิงฟุตบอลซ่อนอยู่มากมาย และเราจะเข้าไปให้ลึกกว่านั้นว่าเหล่าทีมจอมยิงประตูท้ายเกม มีวิธีการอย่างไรกันบ้าง ?
เมื่อทั้งทีมมองเป้าหมายในทางเดียวกัน
แน่นอนที่สุด ถ้าทีม ๆ ไหนสามารถพลิกกลับมาชนะและได้ประตูจากช่วงท้ายเกมบ่อย ๆ เราสามารถสันนิษฐานได้ทันทีว่าพวกเขาล้วนเป็นทีมที่มีคาแร็คเตอร์ที่แข็งแกร่งทั้งนั้น
เหล่าขาประจำท้ายเกมอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ยุค เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, ลิเวอร์พูล ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ รวมไปถึง อาร์เน่อ ชล็อต หรือแม้กระทั่ง เรอัล มาดริด และ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ล้วนมีคาแร็คเตอร์ที่ใครต่อใครต่างยกย่องเสมอ โค้ชเป็นแบบไหน คาแร็คเตอร์แบบนั้นก็สะท้อนกลับมายังนักเตะของพวกเขาเสมอ
การที่ทีม ๆ หนึ่งจะมีคาแร็คเตอร์ที่ดีได้ หากพูดเป็นภาษาบ้าน ๆ คือพวกสมาชิกในทีมต้องมีใจเท่ากัน เมื่อถึงเวลา "ต้องเอา" ก็เอาพร้อมกันทั้งทีม ทุ่มกันสุดตัว ไม่มีใครเหยาะแหยะกินแรงเพื่อน ๆ มีแต่จะทำงานของตัวเองให้ออกมาดีที่สุด และคอยช่วยเพื่อนในสถานการณ์แย่ ๆ อีกด้วยซ้ำ
โดยทั่วไปแล้วทีมเหล่านี้มักจะมีความสัมพันธ์ในทีมที่ดี มีห้องแต่งตัวที่แข็งแกร่ง แม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่กันอย่างครอบครัว แต่พวกเขาต่างอยู่กันแบบเป็นมืออาชีพ กล่าวคือถ้ามีใครทำผิดพลาดต้องกล้าเตือนกล้าบอก และเมื่อกุนซือได้สั่งให้ทำอะไร พวกเขาก็จะยึดมั่นกับคำสั่งนั้น ซึ่งโค้ชแต่ละคนก็จะมีวิธีสอน-สั่งแตกต่างกันออกไป
ยกตัวอย่างเช่น คาร์โล อันเชล็อตติ ที่เชื่อมั่นว่าการให้พื้นที่กับนักเตะได้ใช้จินตนาการในการเล่น หรือแม้กระทั่งการตัดสินใจต่าง ๆ ในสนามจริง คือสิ่งที่เขาปล่อยให้นักเตะเป็นอิสระ เพียงแต่มีการบอกแท็คติกภาพรวมเอาไว้ทั้งหมดก่อนแข่ง
มีการเปิดเผยว่า ในหลาย ๆ ครั้งที่ต้องการประตู เขามักจะสั่งให้ วินิซิอุส จูเนียร์ โจมตีด้านข้างให้หนักที่สุด แต่เขาก็ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าจะต้องเลี้ยงลุยเข้าไป หรือให้ล้มเอาฟาวล์
เขาปล่อยให้ วินิซิอุส ตัดสินใจตามความรู้สึกและสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญหน้าด้วยสัญชาตญาณ ซึ่ง อันเช่ ก็เคยพูดถึงเรื่องนี้บ่อย ๆ ว่า "เนื้อแท้ของฟุตบอลที่จะทำผลงานได้ดี คือการเล่นอย่างมีจินตนาการ" ซึ่งนี่คือเรื่องที่เขาไม่เคยปิดกั้นนักเตะของเขาเลย
เช่นเดียวกันกับ ลิเวอร์พูล ที่คุณก็น่าจะเห็นว่าเมื่อถึงเวลาจะเอาประตู ตำแหน่งการยืนในสนามของนักเตะแต่ละคนแทบจะพลิกจากตอนออกสตาร์ทเกมแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แบ็คขึ้นมายืนเป็นปีก ปีกเข้าไปรอยิงในเขตโทษ ฟาน ไดค์ ขึ้นมาเป็นตัวโหม่ง หรือใด ๆ ก็ตามเท่าที่พวกเขาจะพลิกแพลงได้
มันคือการเปิดหน้าบุกเต็มรูปแบบ และเริ่มใช้การเข้าทำที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อทลายกำแพงเกมรับของคู่แข่ง และหลายครั้งคู่แข่งของพวกเขาก็เปิดตำราตั้งรับไม่ทันและผิดพลาดกันเอง เช่น การทำเสียจุดโทษ ใบแดง หรือเล่นพลาดแบบไม่น่าพลาด ซึ่งสิ่งเหล่านี้แปรเปลี่ยนเป็นประตูชัยของ หงส์แดง เสมอ
นอกจากนี้ การที่จะทำให้นักเตะแต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองแบบสุดความสามารถ และไม่ลืมที่จะช่วยดู ช่วยซ้อนในเวลาที่เพื่อนผิดพลาด มันยังเป็นสิ่งที่ทุกทีมที่เรากล่าวมามีเหมือนกันหมด นั่นคือพวกเขาต้องมีความสัมพันธ์ในทีม
สิ่งนี้สำคัญมากเพราะอะไร ? คำตอบง่าย ๆ ก็คือหากทีมที่เปิดหน้าแลกแบบสุดตัวเพื่อเอาประตูชัย โดยไร้ความเข้าใจวิธีการเล่นของผู้เล่นคนอื่นรอบ ๆ ตัว มันก็มีโอกาสเป็นดาบสองคม แทนที่จะบุกเพื่อยิงให้ได้ กลายเป็นเปิดหลังบ้านโล่งจนโดนยิงเพิ่ม ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเห็นได้บ่อย ๆ
ส่วนนี้เฮดโค้ชเองก็มีส่วนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานของพวกเขาที่ต้องบริหารจัดการคน
อันเชล็อตติ เดินทางไปกินข้าวกับครอบครัวลูกทีมของเขาทุกคน เพื่อรู้จักตัวตนและปูมหลังของแต่ละคนให้มากขึ้น ซึ่งนักเตะเองก็ถือว่านี่เป็นการซื้อใจที่สำคัญมาก ๆ โดยคนที่ออกมาเปิดเผยคือ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ที่เผยว่าตอนเขาย้ายมาที่ มาดริด ใหม่ ๆ คนแรกที่มาเยี่ยมบ้านเขาก็คือ อันเชล็อตติ นี่แหละ
ขณะที่ฝั่ง ลิเวอร์พูล ในวันที่ คล็อปป์ เข้ามาและสั่งให้นักฟุตบอลลิเวอร์พูลใส่ใจคนอื่นมากขึ้น เขาบอกให้ลูกทีมทุกคนรู้ว่า ลูกของ แอนดรูว์โรเบิร์ตสัน เพิ่งจะคลอด และเขาอยากให้ทุกคนแสดงความยินดี อย่างน้อย ๆ ในฐานะเพื่อนร่วมงานก็ยังดี เพราะในโลกฟุตบอลนั้น ความสัมพันธ์ภายในทีมสำคัญไม่แพ้เรื่องใด ๆ เลย
คล็อปป์ต้องการโต้ตอบกันในกรุ๊ปแชทมากขึ้น และยืนยันว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องฟุตบอล แต่เป็นเรื่องของชีวิต ชวนคุยและสร้างปฏิสัมพันธ์อยู่ตลอด ซึ่งเราก็ได้เห็นว่าตลอดการทำงานของ คล็อปป์ มีเหตุการณ์นักเตะทะเลาะเบาะแว้งกันเองน้อยมาก
ส่วนยุคของ ชล็อต แม้จะยังมีข้อมูลเปิดเผยมาไม่มาก แต่ผลงานในสนามก็บอกชัดว่า พวกเขาทำให้ลูกทีมช่วยดูและกันและกันในสนามได้ดีขนาดไหน
ใช่ว่านักเตะของ ลิเวอร์พูล จะไม่เคยเล่นพลาดในสนาม แต่หลายครั้งความผิดพลาดนั้นไม่รุนแรงถึงผลการแข่งขัน เพราะเพื่อนร่วมทีมช่วยกันอุดรอยรั่วนั้นได้ และทุกอย่างที่ผิดพลาดก็แทบจะถูกลืมไปเมื่อคุณจบเกมด้วยชัยชนะแบบยิงประตูได้ในช่วงท้ายเกมเช่นนี้
เมื่อคุณได้ทีมที่มีคุณภาพทั้งในเชิงของฝีเท้าและทัศนคติแล้ว สิ่งต่อไป มันคือการไปถึงจุดของการ "ทำซ้ำ" อีกหนึ่งอย่าง นั่นคือ "ความกล้าได้กล้าเสีย"
ไม่เสี่ยง ไม่ชนะ
เมื่อทีมตามหลัง หรือกำลังต้องการผลชนะ สิ่งที่คุณเลี่ยงไม่ได้เลยคือการปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ที่แน่ ๆ เมื่อคุณอยากได้ประตู นั่นหมายความว่าคุณพร้อมเสี่ยงที่จะเสียประตูเพิ่มขึ้นในทางกลับกันด้วย
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ชายผู้เปลี่ยนให้การทดเวลาบาดเจ็บเป็นวลี "เฟอร์กี้ ไทม์" ก็พูดถึงเหตุผลที่เขาพลิกผลกรแข่งขันช่วงท้ายเกมได้ ว่าเกิดจากการกล้าเสี่ยง
พวกเขารู้ว่าถึงเวลาต้องเสี่ยงแบบเต็มพิกัด พวกเขาไม่ได้กลัวแพ้ หรือกลัวเสียประตูเพิ่ม เพราะพวกเขาต่างรู้จักลูกทีมของตัวเองเป็นอย่างดี โอกาสสำเร็จ มีมากกว่าโอกาสที่จะล้มเหลว
"หากคุณตามหลัง 1 หรือ 2 ลูกในช่วงเวลา 15 นาทีสุดท้าย คุณต้องหาทางวิธีการเล่นที่จะทำให้คุณมีโอกาสได้ประตูมากที่สุด ลืมไปได้เลยการยืนกองหลัง 4 ตัว และกองหน้า 2 ตัวเหมือนกับต้นเกม เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไร ถึงเวลาเปลี่ยน คุณก็ต้องเปลี่ยน" เฟอร์กี้ อธิบาย
"ส่วนตัวของผม ผมชอบที่จะเสี่ยงเอาผู้เล่นเข้าไปเล่นในเขตโทษให้มากขึ้น จากนั้นคุณจะเริ่มเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของทีมคู่แข่ง (เริ่มสั่น) ถ้าคุณเริ่มเอาบอลเข้าไปยังจุดนั้นให้มากขึ้น และเริ่มเพิ่มคนเข้าไปอีกเพื่อให้ประตูเป็นของคุณ"
"อย่างไรก็ตาม มันคือความเสี่ยงที่คุณจะเสียประตูด้วย เพราะถ้าเราสกัดพลาดเพียงครั้งเดียว การโต้กลับของคู่แข่งจะเกิดขึ้นทันที ทุกวันนี้ผมยังจำได้เลย ในปี 1997 เกมกับ นิวคาสเซิล ที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา วิ่งไล่ตามไปเสียบสกัดเป็นคนสุดท้ายจนต้องรับใบแดง"
สิ่งที่ เฟอร์กี้ อธิบายต่อนั้นชัดมาก และมันเกี่ยวกับทฤษฎี "กฎแห่งการทำซ้ำ" แทบจะตรงเป๊ะ นั่นคือเขาเริ่มอธิบายว่า ความเสี่ยงไม่ได้นำมาซึ่งชัยชนะอย่างเดียวเท่านั้น หากคุณลองทำได้สักครั้ง (ยิงประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ) บรรยากาศจะเปลี่ยนไปตลอดกาล ไม่ว่าจะกับลูกทีมหรือแฟน ๆ ที่เข้ามาชมในสนาม
"ที่ผมบอกว่าคุณควรกล้าเสี่ยงบุกแหลกก็เพราะว่า ถ้าคุณยิงประตูสู่ชัยชนะได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ บรรยกาศในห้องแต่งตัวของทีมจะพุ่งพล่านไปด้วยพลังอย่างสุดๆ" เฟอร์กี้ กล่าว
"ความมั่นใจนี้มันส่งต่อถึงกันหมด แม้กระทั่งแฟนบอล พวกเขากำลังจะเดินทางกลับบ้าน แต่ภายในจิตใจของพวกเขาต่างก็คิดว่า เมื่อไหร่จะถึงสักที จะได้เอาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปเล่าในผับให้เพื่อน ๆ หรือกลับบ้านไปเล่าให้ลูกเมียฟัง ... ประตูชัยท้ายเกมในสนามเหย้ามีคุณค่ายิ่งกว่าแค่ชัยชนะเสมอ และถ้าคุณเล่นให้กับทีมอย่างเรา พวกเราล้วนกล้าที่จะเสี่ยงเสมอ"
ยิ่งทำได้บ่อยก็ยิ่งมั่นใจ คำ ๆ นี้ไม่เกินจริงจากที่ เฟอร์กี้ กล่าวมา
กฎแห่งการทำซ้ำ จากลูกยิงท้ายเกมส่งต่อไปยังทุก ๆ คนที่เกี่ยวข้อง เฮดโค้ช, นักเตะ, แฟนบอล แม้กระทั่งคู่แข่งที่ต้องเจอก็อดขาสั่นไม่ได้เมื่อช่วงท้ายเกมมาถึง
เฟอร์กี้ บอกว่า แค่ลูกเดียวยังสามารถเปลี่ยนแปลงบรรยากาศได้มากขนาดนั้น ... ลองคิดดูว่า ณ เวลานี้ที่ ลิเวอร์พูล ยิงประตูชัยในช่วงท้ายเกม 5 นัดติดต่อกัน ความมั่นใจของนักเตะ โค้ช และแฟน ๆ จะมากขนาดไหน ?
และนั่นเป็นเหตุให้พวกเขาใช้ "กฎแห่งการทำซ้ำ" ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนกลายเป็นภาพจำอย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว
แหล่งอ้างอิง
https://www.nytimes.com/athletic/6634151/2025/09/17/liverpool-3-atletico-madrid-2-van-dijk-isak/
https://gugumofokeng.com/laws-of-the-mind-repetition/
https://wtop.com/sports/2024/03/liverpool-scores-deep-in-stoppage-time-to-win-at-forest-and-extend-epl-lead-to-4-points/
https://psychology.fandom.com/wiki/Law_of_exercise
https://www.bbc.com/sport/football/articles/cd1v7yr0xw3o
https://www.firstpost.com/sports/football-news/europa-leage-semi-final-result-score-leverkusen-roma-atalanta-marseille-13769255.html
https://www.balls.ie/premier-league/alex-ferguson-fergie-time-470457
https://www.liverpool.com/liverpool-fc-news/features/liverpool-jurgen-klopp-premier-league-19484743
https://www.espn.com/soccer/story/_/id/37629037/destiny-magic-miracle-real-madrid-won-champions-league-hard-way