ปิแอร์-เอเมริค โอบาเมยอง อดีตกองหน้าของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ อาร์เซน่อล กับปัญหาด้านวินัยที่ส่งผลให้ตัวเขาจำต้องออกจากทั้งสองสโมสร แม้เคยได้ฝากผลงานไว้มากมาย
ปัญหาดังกล่าวมันเกิดขึ้นได้อย่างไรและตัวของเขาไปทำอะไรไว้ ถึงทำให้เส้นทางอาชีพของเขาต้องหาทางออกอยู่เสมอมา
กองหน้าชาวกาบองรายนี้ย้ายจาก แซงต์ เอเตียน สู่ ดอร์ทมุนด์ เมื่อปี 2013 จนถึง 2018 ถล่มประตูไปมากถึง 141 ประตู จาก 213 นัดกับทีมเสือเหลือง ช่วงเวลาของเขาที่นี่ถือว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในอาชีพค้าแข้งของเขา แต่สุดท้ายมันก็เกิดปัญหา
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2016 โอบาเมยอง ถูกลงโทษหลังเดินทางไปเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี โดยไม่แจ้งกับทางสโมสร ต่อมาในปลายปี 2017 เขาก็กระทำผิดอีกครั้ง หลังไปหา อุสมาน เดมเบเล่ ที่บาร์เซโลน่า (พวกเขาเล่นด้วยกันเมื่อฤดูกาล 2016-17) ในช่วงพักเบรกทีมชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสโมสร
ชนวนแห่งปัญหายังไม่จบแค่นั้น เพราะในเวลาต่อมา มีรายงานอีกครั้งว่า โอบาเมยอง มีปัญหาด้านพฤติกรรม หลังไม่มาเข้าร่วมการประชุมทีมก่อนเกมที่ ดอร์ทมุนด์ จะพบกับ โวล์ฟบวร์ก เมื่อปี 2018 นั่นทำให้สโมสรตัดสินใจไม่ให้เขาลงเล่นและมีส่วนร่วมกับทีมใด ๆ ในเกมนี้เลย มากไปกว่านั้น ฝ่ายบริหารของ ดอร์ทมุนด์ อย่าง มิชาเอล ซอร์ก ถึงต้องออกมากล่าวว่า "การตรงต่อเวลา เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจากตัวของ โอบาเมยอง"
จากเหตุการณ์ดังกล่าว นำมาซึ่งการย้ายสู่เกาะอังกฤษกับสโมสร อาร์เซน่อล ทีมที่ โอบาเมยอง ถลุงไป 92 ประตู จาก 162 นัดในทุกรายการที่ได้รับใช้ทัพปืนใหญ่ ซึ่งเจ้าตัวก็ได้เปิดเผยถึงสาเหตุที่เขาออกจากทัพเสือเหลืองว่า
"วันนั้น ผมมาซ้อมสาย และโค้ช (ปีเตอร์ บอสซ์) ก็บอกว่าผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม ต่อมาในตอนเย็น ผมได้ลงสแนปแชต (Snapchat) ส่วนตัวกับเพื่อนๆ ของผมในทีมและเขียนว่า 'ในทีมนี้ มีแต่พวกห่วยแตก' แต่มันกลับไปถึงหูโค้ช ก่อนที่ผมจะโดนเรียกพบและโดนต่อว่าต่อหน้าทุกคนในที่ประชุม"
"ผมพูดกับตัวเองว่า ผู้คนพวกนี้มันห่วยแตก พวกคุณตัดสินใจตัดผม แต่มาอวดครวญตอนแพ้ ตอนที่ผมไม่อยู่ พวกคุณเป็นบ้าอะไรกัน และนั่นแหละจุดแตกหักของผม (กับดอร์ทมุนด์)"
โอบาเมยอง ร่วมทัพปืนใหญ่ในฤดูกาล 2017-18 อย่างไรก็ตาม ถึงช่วง 3 ปีแรกของ โอบาเมยอง ในรังปืนใหญ่จะเหมือนดูไปได้สวย แต่นับตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2022 เส้นทางอาชีพของ โอบาเมยอง ก็สั่นคลอนอีกครั้ง หลังมีรายงานว่าตัวเขามีปัญหาเรื่องพฤติกรรมกับสโมสร ถึงแม้จะสวมปลอกแขนกัปตัน พาสโมสรคว้า ถ้วยเอฟเอ คัพ ได้สำเร็จในปี 2020
เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นในปี 2021 โอบาเมยอง โดนดร็อปออกจากทีม ในเกมที่ทัพปืนใหญ่ชนะ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 2-1 ซึ่งปัญหาเดิมๆ ที่เกิดขึ้นก็คือการบริหารเวลาของ โอบาเมยอง เขามาสายอีกครั้ง จนทำให้นายใหญ่อย่าง มิเกล อาร์เตต้า ตัดชื่อเขาออกจากทีมตัวจริงและได้อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า
"ผมเลือกทำในสิ่งที่ผมคิดว่าถูกต้อง ตอนแรกเขา (โอบาเมยอง) กำลังจะได้ลงเล่นอยู่แล้ว แต่เราดันมาพบกับปัญหาเรื่องวินัยอีกครั้ง เราจึงตัดสินใจตีเส้นตาย เรารู้ถึงความสำคัญของ โอบา ที่มีต่อพวกเราและสโมสรนะ แต่ยังไงปัญหาแบบนี้ก็สมควรจะต้องถูกชำระ ซึ่งเราก็จัดการไปแล้ว ฉะนั้น เราจะเดินหน้าต่อ"
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องวินัยและความรับผิดชอบทั้งในและนอกสนามคือเรื่องสำคัญสำหรับนักเตะทุกคน รวมถึงตัวของผู้จัดการทีมที่มุ่งเน้นในเรื่องแบบนี้โดยเฉพาะกับตัวของ อาร์เตต้า ที่เข้มงวดในเรื่องของพฤติกรรมของนักเตะของเขาในสโมสร นั่นจึงทำให้เราได้เห็นปฏิบัติการที่เด็ดขาดจากบอสชาวสแปนิชรายนี้กับตัวของ โอบาเมยอง
"สำหรับผมนะ เรื่องจำพวกนี้ (วินัยและพฤติกรรมที่เหมาะสม) คือรากฐานและเส้นทางที่สามารถพาสโมสรไปอยู่ในจุดที่ยั่งยืนในระยะยาวได้ ซึ่งถ้าคุณไม่มีวินัย ผมไม่เชื่อเลยว่าความสำเร็จมันจะเกิดขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมถึงพยายามทำและพูดแล้วพูดอีกกับเรื่องแบบนี้" อาร์เตต้า กล่าว
อย่างไรก็ตาม ปัญหาด้านความสัมพันธ์ระหว่างผู้จัดการทีมและนักเตะคือจุดดำที่ยากจะถูกลบ ซึ่งด้าน โอบาเมยอง ได้เปิดเผยว่าเหตุผลที่เขาต้องอำลาทัพปืนใหญ่ไปนั้น ก็เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับ อาร์เตต้า ที่มองว่าเขาเป็นคนทรยศ ไร้วินัยสำหรับสโมสร
"ผมไปถึงที่สนามซ้อมและโค้ชก็เดินมาคว้าผมก่อนเริ่มต่อว่า เขาตะคอกใส่ผมเหมือนผมเป็นคนบ้าคนหนึ่ง เขาบอกผมว่า 'นายเอามีดมาปักไว้ที่หลังฉัน นายไม่สามารถทำแบบนี้กับฉันได้ ในช่วงเวลาแบบนี้' ตอนนั้นผมได้แต่คิดในใจว่าผมจะไม่ตอบโต้เขาใด ๆ เพราะมันจะจบไม่สวยแน่ เขาน่ะรู้ดี (อาร์เตต้า) ว่าทำไมผมถึงตัดสินใจออกมา ซึ่งในตอนนั้นเอง ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้ทำกับผมแบบนี้"
"พอผมกลับมาที่บ้าน ผมก็ได้รับสายหนึ่งจากหมอของสโมสรและเขาบอกผมว่า 'นี่ พรุ่งนี้น่ะ โค้ชไม่ต้องการให้นายมาที่นี่นะ' ซึ่งผมตอบแค่ว่า 'โอเคครับ' ผมรู้ในทันทีเลยว่ามันต้องเป็นเรื่องแน่ๆ ผมถึงกับพูดกับตัวเองว่า 'เดี๋ยวพวกเขา (สื่อและแฟน ๆ) ก็จะพูดถึงเรื่องนี้อีก มันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่โตแน่ๆ นี่มันบ้าอะไรกัน? ผมไม่เข้าใจจริง ๆ'" โอบาเมยอง ได้เปิดเผยกับ Colinterview เมื่อไม่นานนี้
จากปัญหาอันร้อนระอุในช่วงเวลานั้น จึงส่งผลให้ตัวของ โอบาเมยอง ที่เคยมีค่าเหนื่อยสูงถึง 350,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ต้องจำใจอำลาทัพปืนใหญ่ หลังถูกยกเลิกสัญญา ก่อนไปซบทัพต่างดาว บาร์เซโลน่า ในปี 2022 ในที่สุด
"นี่ก็เป็นอีกครั้ง ที่ทำให้ผมเห็นว่าทำไม อาร์เตต้า ต่อต้านตัวผม มันทำให้ผมรู้ว่าเขาต้องการให้ผมเป็นแบบอย่าง (ให้กับคนอื่นในทีม)แต่ผมไม่สามารถทำมันได้ ซึ่งในตอนนั้น ผมก็บอกกับตัวเองว่า 'ผมยอมรับและอยากแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหานี้ที่เกิดขึ้นกับสโมสร แต่เอาจริง ๆ ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจในตัวผม ถ้าคุณมีความเป็นคนมากกว่านี้' ซึ่งหลังจากนั้น มันก็จบเห่ ผมยังคงอยู่กับสโมสรต่อ แต่ต้องแยกซ้อมอย่างลำพังเพื่อรอช่วงเวลาเบรก (ตลาดนักเตะเปิด)"
นั่นคือเรื่องราวปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่าง โอบาเมยอง กับสองสโมสรที่เขาได้สร้างทั้งผลงานและเรื่องราวเอาไว้ให้จำไม่ถ้วน ถึงแม้จะมีโอกาสกลับมาเล่นที่ พรีเมียร์ ลีก อีกครั้งกับ เชลซี ในซัมเมอร์ปี 2022 แต่ฟอร์มการเล่นที่เคยร้อนแรงที่เกาะอังกฤษเมื่อปีก่อนหน้า กลับสวนทางในทัพสิงห์บลูส์ หลังเขาทำไปได้แค่ 3 ประตูจาก 21 เกมที่มีโอกาสลงเล่น ส่งผลให้เขาต้องบินลัดฟ้าสู่แดนน้ำหอมประเทศฝรั่งเศส ก่อนร่วมทัพกับสโมสร มาร์กเซย เมื่อฤดูกาล 2023-24 ที่ผ่านมา
หนึ่งฤดูกาลในลีกเอิง แดนฝรั่งเศส ของ โอบาเมยอง เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาเกิดใหม่ของเขาก็ว่าได้ หลังกองหน้าวัย 34 ปี รายนี้กดไปถึง 30 ประตู 11 แอสซิสต์ จากผลงาน 51 นัด ในทุกรายการ, คว้ารางวัลนักเตะประจำเดือนธันวาคม 2023 ของลีกเอิง และสามารถพา มาร์กเซย ไปไกลถึงรอบรองชนะเลิศถ้วยยูโรป้าลีกได้สำเร็จ ก่อนทำลายสถิติเป็นดาวยิงสูงสุดของรายการหลังถลุงไปถึง 31 ประตู แซงหน้าเจ้าเก่าของสถิติอย่าง ราดาเมล ฟัลเกา "เอล ติเกร" ของชาวโคลัมเบีย