“มันเป็นของที่ต้องอาศัยการรับรส ถ้าคุณชอบ คุณก็จะชอบไปเลย แต่ถ้าคุณไม่ชอบ คุณก็จะไม่มีทางหยิบมันขึ้นมาใช้อีก มันไม่ควรเป็นเรื่องที่จะต้องเอามาพูดกันแล้ว ผมคิดว่ากัญชาก็คือกัญชา มันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน มันมีแต่จะช่วยและสร้างสิ่งดี ๆ ผมรู้สึกว่ามันไม่ควรจะเป็นเรื่องใหญ่อีกต่อไป”
นี่คือมุมมองต่อกัญชาสำหรับ “เควิน ดูแรนท์” แห่ง บรูคลิน เน็ตส์ นักบาสเกตบอลอาชีพตำแหน่งพาวเวอร์ ฟอร์เวิร์ดดาวรุ่ง ผู้ซึ่งเคยออกมาเรียกร้องให้มีการยกเลิกการแบนกัญชาในลีกบาสเกตบอล NBA ในปี 2020 ท่ามกลางกระแสที่เต็มไปด้วยการถกเถียง ว่าเรื่องดังกล่าวควรถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงหรือไม่
ดูแรนท์ เคยตกเป็นเป้าของสื่อเมื่อปี 2015 ในฐานะผู้ครอบครองกัญชา จนปัจจุบัน เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอีกต่อไป เพราะหลายคนที่ติดตามดูแรนท์ ก็ได้ทราบว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้ใช้จริงและมีธุรกิจสตาร์ตอัปที่ร่วมสร้างกับเพื่อนของเขาอย่าง “ริช ไคลแมน” ที่มีบริษัทคู่ค้าที่มุ่งเน้นผลักดันธุรกิจและการลงทุนเกี่ยวกับกัญชาอย่าง “ริฟ แคปิตอล” อีกด้วย
แม้ว่ากัญชาจะเป็นสารเสพติด แต่คนในวงการบาสเกตบอลและลีกกีฬาในอเมริกามากกว่าครึ่งก็เป็นนักพี้ตัวยง ไล่มาตั้งแต่โค้ช ผู้จัดการ ไปจนถึงผู้เล่น
เป็นไปได้หรือไม่ว่าทัศนคติและมุมมองต่อกัญชาในวงการกีฬาสหรัฐอเมริกากำลังจะเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น?
แท้จริงแล้วเรื่องนี้ยิ่งใหญ่กว่าการพันลำ พืชสมุนไพรชนิดนี้ยังเกี่ยวข้องกับเม็ดเงินของวงการกีฬาและโยงไปถึงไลฟ์สไตล์อเมริกันเกมส์ แต่มันเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดที่ เควิน ดูแรนท์ จำเป็นจะต้องออกมาพูดหรือไม่ ? Main Stand ชวนมาค้นหาคำตอบไปพร้อมกัน
ให้คุณหรือให้โทษ
กัญชา (Cannabis) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “มาริฮวนน่า” เป็นสารเสพติดที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท มีสารประกอบที่สำคัญอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ สาร THC (Tetrahydrocannabinol) และ CBD (Cannabidiol)
สารทั้งสองชนิดนี้ แม้จะมีความคล้ายคลึงกันแต่ทำงานต่อระบบประสาทต่างกัน กล่าวคือ THC เป็นสารที่ให้ความผ่อนคลายและเข้าไปกระตุ้นระบบประสาท
แต่ในทางกลับกัน CBD ไม่ส่งผลกระตุ้นต่อระบบประสาท เพียงแต่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเท่านั้น เพราะเหตุนี้ นอกจากจะใช้เพื่อความผ่อนคลาย กัญชายังเป็นสารเสพติดที่เริ่มเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ เพื่อนำมาใช้รักษาหรือบรรเทาอาการเจ็บปวดต่อผู้ป่วย
อย่างไรก็ดี สัดส่วนของสารทั้งสองที่พบในกัญชานั้นมีไม่เท่ากัน โดยสารประกอบ THC มีอยู่ที่ 12% ส่วน CBD นั้นมีอยู่เพียง 0.30% ดังนั้น หากจะใช้สาร CBD ให้ถูกวัตถุประสงค์ในการรักษา จำเป็นจะต้องสกัด CBD ออกมา และนำไปแปรรูปเสียก่อน ไม่อย่างนั้น ผู้ใช้จะได้รับ THC มากจนเกินไปและอาจส่งผลเสียต่อการทำงานของระบบประสาทและแสดงออกมาทางกายแทน
ผลกระทบที่ผู้ใช้อาจได้รับเนื่องจากรับสาร THC มากไป เช่น อาการตาแดง ปากแห้ง หัวใจเต้นเร็ว ตลอดจนทำให้รู้สึกวิตกกังวลและตื่นตะหนก
ทั้งนี้ทั้งนั้น ความแตกต่างของสาร THC และ CBD ที่พบได้ในกัญชานั้น ก็จะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ สายพันธุ์ของกัญชานั้นสามารถจำแนกออกเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ๆ ได้แก่ ซาติวา (Sativa), อินดิคา (Indica) และ รูเดอราลิส (Ruderalis) โดยทั่วไป จะพบสาร THC ปริมาณมากในสายพันธุ์ซาติวา ส่วนสาร CBD จะพบได้มากในสายพันธุ์อินดิคาและรูเดอราลิส
แท้จริงแล้ว ความรู้สึกผ่อนคลายที่ผู้ใช้กัญชาได้รับ คือการได้รับสาร CBD เข้าไปอย่างเหมาะสมและจะสัมพันธ์กับตัวรับสาร CBD (Cannabinoid Receptor) ที่ผลิตออกมาจากร่างกายของเรา
จากผลการวิจัยในปี 2017 ในรายงานการค้นคว้าเรื่องความปลอดภัยและผลข้างเคียงในการใช้สาร CBD ชื่อ “An Update on Safety and Side Effects of Cannabidiol: A Review of Clinical Data and Relevant Animal Studies” โดย “แคสติน อิฟลันด์" และ “ฟรังโย โครเตนเฮแมน" นักวิจัยจากสถาบันโนวา ประเทศเยอรมนีได้ข้อสรุปว่า สารสกัด CBD ที่ได้จากกัญชานั้น มีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการปวดและลดอาการอักเสบจากการเล่นกีฬาได้
อย่างไรก็ตาม ก็อาจได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ เช่น อาการเหนื่อยล้า ท้องร่วง น้ำหนักลด และพฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไป และได้มีรายงานจาก องค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ออกมาว่า สาร CBD ที่พบในกัญชานั้น ไม่ได้เป็นสารที่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ที่จะต้องควบคุมในระดับสากล
ต่อมาในปี 2018 หลังจากที่ได้มีการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน มีรายงานว่าสาร CBD มีแนวโน้มที่จะไม่ถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ดีและในบางประเทศอย่าง สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา อังกฤษ ก็เริ่มผ่อนปรนกฎระเบียบเรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสาร CBD ที่ผลิตขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์แล้ว “องค์การต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก” (World Anti-Doping Agency : WADA) ยังได้ปลดสาร CBD ออกจากรายชื่อของสารต้องห้าม แต่สาร THC ยังคงเป็นสารต้องห้ามอยู่ต่อไป
ด้วยเหตุนี้ การใช้กัญชาและผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัด CBD จึงเริ่มแพร่หลายในหมู่นักกีฬามากยิ่งขึ้น เพื่อการฟื้นฟูร่างกายและผ่อนคลายความเครียดบ้างเป็นบางเวลา
กัญชากับอุตสาหกรรมกีฬาในสหรัฐฯ
แน่นอนว่าเรื่องการใช้กัญชายังคงเป็นเรื่องที่มีประเด็นการถกเถียงกันมาอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่รัฐบาลจะบัญญัติให้กัญชาเป็นสารเสพติดที่ถูกกฎหมายแล้วในบางรัฐ อาทิ แคลิฟอร์เนีย, โอเรกอน, วอร์ชิงตัน ดี.ซี. หรือ นิวยอร์ก แต่ในบางรัฐ เช่น แคนซัส, เทนเนสซี่ หรือ เซาท์ แคโรไลนา กัญชายังถือเป็นสารเสพติดที่ผิดกฎหมายอยู่ ไม่สามารถนำมาใช้เพื่อความผ่อนคลายหรือนำมาใช้ในทางการแพทย์ได้ทั้งนั้น
ความย้อนแย้งของเรื่องนี้คือ นักกีฬาส่วนใหญ่ในลีกกีฬา ในสหรัฐอเมริกาล้วนใช้กัญชากันทั้งสิ้น จากผลสำรวจในภาพรวมของลีกกีฬาในสหรัฐฯ ระหว่าง NBA, NFL, NHL, และ MLB รวมกัน มีทีมกีฬากว่า 101 ทีม จาก 123 ทีม ที่อยู่ในรัฐที่กัญชาถูกกฎหมาย คิดเป็นสัดส่วนตัวเลขได้ถึง 82.1% และหลาย ๆ ลีก ก็เริ่มจะไม่เข้มงวดต่อเรื่องดังกล่าวเท่าไรแล้ว
การใช้กัญชาในวงการบาสเกตบอลนั้น ดูจะเปิดกว้างมากขึ้น ในซีซั่น 2019-20 ที่ผ่านมา เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19
กฎการสุ่มตรวจสารเสพติดในร่างกายของนักกีฬาได้เปลี่ยนไป เดิมที จากที่มีการสุ่มตรวจ 4 ครั้งภายใน 1 ซีซั่น โดยทางลีก NBA มองว่า การสุ่มตรวจหาสารเสพติดในร่างกายสำหรับนักกีฬานั้นไม่มีความจำเป็นและไม่ใช่เรื่องหลักที่จะต้องให้ความสำคัญ
นอกจากวงการบาสเกตบอล ใน ข้อตกลงการเจรจาร่วมกัน (NFL Collective Bargaining Agreement) ระหว่าง สมาคมผู้เล่นฟุตบอลลีกแห่งชาติ (National Football League Players Association : NFLPA) และ สมาคมฟุตบอลแห่งชาติ (National Football League : NFL) ของวงการอเมริกันฟุตบอล ปี 2020 ได้มีการลดระยะเวลาในการตรวจหาสารเสพติดในร่างกายจาก 4 เดือน เหลือเพียง 2 สัปดาห์ และปริมาณสาร THC ในร่างกาย จากที่จำกัดไว้ที่ 35 นาโนกรัม ได้ขยายเพิ่มขึ้นไปถึง 150 นาโนกรัม
หากพบสารเสพติดในร่างกาย ทางลีกได้เลือกที่จะช่วยเหลือในการบำบัดแทนการลงโทษ โดยการตัดสินใจเข้ารับการบำบัดจะขึ้นอยู่กับผู้บริหาร
ในขณะที่ผู้เล่นในวงการเบสบอลและฮอกกี้นั้นสามารถสบายใจได้มากกว่าใคร ทางลีกเบสบอลอาชีพ (Major League Baseball : MLB) ได้ถอนกัญชาออกจากรายชื่อสารเสพติดต้องห้ามแล้ว ในปี 2020 ต่างจากเมื่อก่อนที่หากพบสาร THC ในร่างกาย ผู้เล่นจะถูกบังคับให้เข้ารับการบำบัดและถูกปรับเงินเป็นจำนวน 35,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 1,116,500 บาทไทย
ส่วนในลีกกีฬาฮอกกี้อย่าง สมาคมฮอกกี้แห่งชาติ (National Hockey League : NHL) ไม่ได้มีรายชื่อของ THC และ CBD ที่อยู่ในรายชื่อสารเสพติดที่ถูกแบนด้วยซ้ำ 28 จาก 31 ทีม ในลีก เล่นอยู่ในเมืองที่อนุญาตให้มีการใช้กัญชาอย่างถูกกฎหมาย คิดเป็นตัวเลขกว่า 90.3% อย่างไรก็ตาม ทางลีกเองก็ไม่ได้สนับสนุนให้ผู้เล่นใช้สารเสพติด แต่ก็ไม่ได้มีความพยายามที่จะห้ามใช้แต่อย่างใด
แน่นอนว่าการใช้กัญชาในวงการกีฬานั้นยังไม่ถูกยอมรับอย่างสมบูรณ์ แม้จะเริ่มมีการผ่อนปรนในเรื่องของกฎในการใช้บ้างแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีใครออกมาส่งเสริมในเรื่องการใช้สารเสพติดชนิดนี้อย่างจริงจัง สรุปแล้วว่าสมุนไพรที่มีทั้งคุณและโทษเช่นนี้ สมควรที่จะได้รับการอนุมัติให้ใช้กันอย่างทั่วถึงแล้วหรือยัง
ธุรกิจทำเงิน
หนึ่งในความเชื่อมโยงที่น่าสนใจและชวนประหลาดใจไปพร้อมกันระหว่างวงการกีฬาและธุรกิจกัญชาคือ อดีตนักกีฬาอาชีพบางคนในลีกของสหรัฐอเมริกา ได้ผันตัวเองออกมาทำธุกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชาเป็นจำนวนมาก
เรื่องดังกล่าว คงไม่ทำให้เราประหลาดใจไปมากกว่านี้ หากเราลองสืบค้นไปที่จุดเริ่มต้นของความสนใจของพวกเขาต่อกัญชา ทุกอย่างดูจะสมเหตุสมผลขึ้นมาทันที หากเราได้ทราบว่าเขาใช้กัญชาเพื่อลดความเครียดในการแข่งขัน หรือบรรเทาอาการเจ็บปวดจากการเล่น เพราะพวกเขาเหล่านี้เคยผ่านประสบการณ์การจริงมาแล้วทั้งนั้น
“อัล แฮร์ริงตัน” อดีตนักบาสเกตบอลอาชีพในตำแหน่งพาวสเวอร์ฟอร์เวิร์ด ที่เคยอยู่กับทีมดังมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส, นิวยอร์ก นิกส์, และ ออร์แลนโด แมจิค ได้ผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจสายเขียวอย่างจริงจัง กับบริษัทของเขาที่มีชื่อว่า “วิโอล่า” ที่ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2011 ในรัฐโคโลราโด ที่กัญชาถูกกฎหมายแล้ว สินค้าของบริษัทเขา มีจำหน่ายตั้งแต่ดอกกัญชา กัญชามวนสำเร็จ ไปจนถึงสารสกัดที่เป็นแวกซ์
แฮร์ริงตันเริ่มสนใจในกัญชา มาตั้งแต่ตอนที่เขาใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขัน นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายและร่างกายของเขาก็เจ็บปวดน้อยลง การตั้งชื่อบริษัทว่า “วิโอล่า” ยังเป็นการให้เกียรติแก่คุณย่าของเขาที่ใช้กัญชาเพื่อการรักษาโรคต้อหินอีกด้วย
มูลค่าบริษัทของเขา สามารถระดมทุนได้สูงถึง 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทหุ้นส่วนอย่าง “ก็อตแธม กรีน พาร์ตเนอร์” ที่มุ่งเน้นผลักดันเรื่องการใช้กัญชาในหลาย ๆ รูปแบบ ทั้งในด้านความบันเทิง โภชนาการ และการแพทย์
นอกจากแฮร์ริงตันแล้ว ยังมีบริษัทของ “โจ มอนทาน่า” อดีตนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ผู้เล่นในตำแหน่งควอเตอร์แบ็คของทีม “ซานฟรานซิสโก โฟร์ตี้ไนน์เนอร์ส” ที่ชื่อ “ลิขวิดทูเวนเจอร์” ที่ลงทุนร่วมกับ “คาลิว่า” บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกัญชาในแคลิฟอร์เนีย โดยการลงทุนของเขากับบริษัทดังกล่าวมีมูลค่าสูงถึง 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในฐานะผู้ลงทุนและผู้ให้การสนับสนุน เขาเชื่อว่ากัญชาจะสามารถสร้างความรู้สึกจรรโลงใจให้แก่ผู้คนและสามารถช่วยหยุดอาการติดฝิ่นได้อย่างจริงจัง
จากผลสำรวจในปี 2020 การซื้อขายกัญชาคุณภาพระดับสูงในรัฐที่ถูกกฎหมายแล้ว มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 326 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 10,390 บาท) ต่อ 1 ออนซ์ (ประมาณเกือบ 30 กรัม) และระดับกลางอยู่ที่ 266 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 8475 บาท) หากคิดเป็นราคาต่อมวน เฉลี่ยตกมวนละ 7.59 ดอลลาร์สหรัฐฯ (241 บาท) สำหรับกัญชาคุณภาพสูง และกัญชาคุณภาพระดับกลาง เฉลี่ยราคามวนละ 6.18 ดอลลาร์สหรัฐ (196 บาท)
แม้ว่ากัญชาจะเป็นสารเสพติด แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าสารเสพติดชนิดนี้ ในบางรัฐของสหรัฐอเมริกาบัญญัติให้ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ซึ่งจะนำมาซึ่งเม็ดเงินจำนวนมหาศาล สังเกตได้จากมูลค่าเฉลี่ยของการซื้อขายในสหรัฐอเมริกาที่ค่อนข้างสูงและความนิยมในกัญชาของคนอเมริกันก็สูงขึ้นตามไปด้วย จากผลสำรวจในปีเดียวกันแสดงให้เห็นว่ามีคนอเมริกันจำนวนกว่า 22.2 ล้านคนเป็นผู้ใช้กัญชา และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในอนาคต หากทุกรัฐบัญญัติให้กัญชาเป็นสารเสพติดที่ถูกกฎหมาย
สิ่งใดที่ให้ประโยชน์ สิ่งนั้นย่อมให้โทษ เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน ภาพที่มีต่อกัญชาของแต่ละคนก็อาจจะแตกต่างกันออกไป เรื่องนี้บอกอะไรกับเราบ้าง หากมองในแง่ของธุรกิจ กัญชาก็อาจจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่น่าสนใจในการลงทุน หากมองในแง่ของความสุนทรี ก็อาจจะขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางสุขภาพจิต สุขภาพกายของแต่ละบุคคล วิธีการใช้และปริมาณก็อาจจะมีความแตกต่างกันไป สุดท้ายก็อาจจะมีทั้งคนที่ชอบหรือไม่ชอบก็ได้
กว่าที่เรื่องของกัญชาจะเริ่มเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศก็ต้องผ่านการศึกษาและใช้เวลาวิจัยอย่างจริงจังมาเป็นเวลานาน การจะใช้กัญชาให้เกิดประสิทธิภาพนั้น สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือความรับผิดชอบ หากเรารู้จักประเมินและรู้ขอบเขต ไม่ว่าจะต่อเรื่องอะไรก็ตามแต่ ผลลัพธ์ที่ได้ ก็อาจจะเป็นผลดีมากกว่าผลเสียก็เป็นได้
แหล่งอ้างอิง :
https://www.benzinga.com/markets/cannabis/20/03/15444501/kevin-durant-says-nba-players-should-be-allowed-to-use-marijuana-compares-it-to-wine
https://www.bluntlifestyle.com/the-nba-is-suspending-their-cannabis-testing-protocol/
https://disa.com/map-of-marijuana-legality-by-state
https://www.dmh.go.th/news/view.asp?id=2264
https://www.espn.com/nhl/story/_/id/26046596/is-nhl-future-marijuana-pro-sports-why-be
https://www.forbes.com/sites/bencurren/2021/01/28/the-nbas-slam-dunk-cannabis-shift/?sh=240dc231fec1
https://www.forbes.com/sites/warrenbobrow/2020/05/13/al-harrington-founder-of-viola-cannabis-digs-deeply-into-five-questions/?sh=fc85520584be
https://www.thegrowthop.com/cannabis-news/joe-montana-herb-caliva
https://harrisbricken.com/cannalawblog/trial-and-error-cannabis-and-the-big-four-sports-leagues/
https://www.healthline.com/health/cbd-for-athletes#nonpsychoactive-pain-treatment
https://www.medcannabis.go.th/blog/สายพันธุ์กัญชา
https://oxfordtreatment.com/substance-abuse/marijuana/average-cost-of-marijuana/
https://www.sportingnews.com/us/nfl/news/nfl-new-marijuana-policy-rules-cba-2020/1svd83aq5q0m71x4t2rftto1m5
https://www.sportscasting.com/5-former-athletes-succeeding-in-the-marijuana-industry/
https://weedmaps.com/news/2020/03/mlb-baseball-players-can-smoke-cannabis-but-cant-be-sponsored-by-weed-companies/