Feature

โรดรี้ : แข้งบัลลงดอร์ผู้เชื่อว่า "ความงดงามที่แท้จริง ไม่เคยเรียกร้องความสนใจ" | Main Stand

การคว้ารางวัลบัลลงดอร์ 2024 ของ โรดรี้ อาจจะมีดราม่าปะปนบ้าง แต่ที่สุดแล้ว ไม่มีใครปฏิเสธได้เต็มปากว่าเขาไม่คู่ควรรางวัลนี้ 

 

สิ่งหนึ่งที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าฟอร์มในสนาม และส่งผลต่อวิธีการเล่น รวมถึงวิธีการคิดของเขา คือสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับนักเตะระดับสตาร์เบอร์ 1 ของโลกอย่างเขา

อยู่หอพัก, ขับรถซิตี้คาร์, เกลียดรอยสัก, หลีกหนีอินสตาแกรม และใช้ชีวิตแสนธรรมดา เพื่อให้ตัวเองกลายเป็นที่สุดของที่สุด

เขาทำได้อย่างไร และเบื้องหลังแนวคิดคืออะไร ? ติดตามที่ Main Stand 

 

เด็กหนุ่มผู้มีโลก 2 ใบ 

สเปน คือดินแดนแห่งฟุตบอลสมัยใหม่ ประเทศนี้มีฟุตบอลในแบบของพวกเขา ชนิดที่ว่าถ้าคุณดูฟุตบอลมาสักระยะ คุณจะนึกภาพออกทันทีว่านักเตะสเปนเป็นอย่างไร 

คล่องแคล่ว ฉลาดเล่น ทักษะยอดเยี่ยม และการมองเห็นเกมที่แตกต่าง สิ่งที่ยืนยันได้เรื่องเซนส์การเล่นฟุตบอลของแข้งแดนกระทิงดุได้คือ นับตั้งแต่ปลายยุค 2000s เป็นต้นมา ตำแหน่งกองกลาง ถือเป็นตำแหน่งที่ทีมชาติสเปนไม่เคยขาดนักเตะระดับโลกเลย 3 เทพแห่ง บาร์เซโลน่า อย่าง เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, ชาบี เอร์นานเดซ และ อันเดรส อิเนียสต้า ไหนจะไล่ไปยังคนอื่น ๆ อย่าง ชาบี อลอนโซ่, เชส ฟาเบรกาส, ดาบิด ซิลบา  และแน่นอน คุณต้องนับ โรดรี้ เข้าไปในกลุ่มนี้ด้วย 

เส้นทางของ โรดรี้ ถือว่าเติบโตมาในช่วงที่กลุ่มนักเตะรายชื่อที่กล่าวมาในข้างต้นกำลังพีกและสร้างชื่อเสียงในเวทีระดับโลก เขาเริ่มเล่นฟุตบอลในช่วงปี 2008 ซึ่งเป็นยุคที่ สเปน เปิดศักราชฟุตบอลด้วยการเป็นแชมป์เมเจอร์ติดต่อกัน 3 รายการ แรงบันดาลใจจากรุ่นพี่ทำให้เขาอยากเป็นนักฟุตบอล และเมื่อเขาได้ลองเล่น เขาก็ใช้คำว่า "เสพติดฟุตบอล" ตั้งแต่วันนั้น 

เพียงแต่ว่าบนโลกใบนี้ มีนักฟุตบอลเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่จะถูกเรียกว่าเป็นระดับโลก หรือได้เล่นในเกมระดับสูง ... ต้องขอบคุณที่ครอบครัวของเขาคิดถึงเรื่องนี้ และพยายามหาทางเดินอีกเส้นทางไว้ให้เขาเสมอ หากวันใดก็ตามที่โลกฟุตบอลที่เกิดขึ้นจริงกับเขา ไม่ได้ตรงกับเรื่องที่เขาคิดและวาดฝันไว้ 

พ่อของ โรดรี้ อาจจะเป็นแฟนบอลในระดับที่เรียกว่า "คนบ้าบอล" ได้แบบไม่เคอะเขิน แต่เขาไม่ได้ให้ลูกชายของเขาเดินไปบนเส้นทางนี้แบบทุ่มสุดตัวชนิดไม่เหลือทางหนีทีไล่ไว้เลย 

อย่าเข้าใจผิดว่าพ่อของเขาไม่ได้บอกให้เขาทุ่มเทกับฟุตบอล ... เขายินดีและสนับสนุนให้ โรดรี้ เล่นฟุตบอลอย่างเต็มที่ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ปลูกฝังว่า "เวลามีพอเสมอ" นั่นหมายความว่า โรดรี้ จะต้องไม่ทิ้งเรื่องการเรียนที่ถือเป็นเครื่องการันตีอนาคตในโลกแห่งความจริงได้ดีที่สุดด้วย 

"ตลอดชีวิตที่เกิดมา ผมใช้ชีวิตบนโลก 2 ใบ ... โลกใบแรกคือฟุตบอล และโลกใบที่สองคือโลกแห่งความจริง" โรดรี้ อธิบายปูมหลังของเขา

โรดรี้ เซ็นสัญญาเป็นนักเตะเยาวชนของ แอตเลติโก มาดริด ตอนอายุ 13 ปี ซึ่งในตอนนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะพ่อของเขาตั้งใจจะให้เขาไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาพอดี แต่เมื่อได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะเยาวชนแล้ว การไปเรียนที่อเมริกาจึงถูกพับเก็บเอาไว้ก่อน ... แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ถูกฉีกทิ้งไปเสียทีเดียว 

หลังจากทีมเยาวชนปิดซีซั่นช่วงซัมเมอร์ เหมือนกับทีมชุดใหญ่ ที่นักเตะจะมีเวลาราว ๆ 4-5 สัปดาห์ในการใช้ชีวิต โลกใบที่ 2 ของโรดรี้ ก็เริ่มขึ้นอย่างจริงจังตอนอายุ 14 ปี แม้จะไม่ได้ไปอยู่อเมริกายาว ๆ แต่เขาก็ไปเรียนซัมเมอร์ที่นั่น ไปใช้ชีวิต ไปเรียนรู้วัฒนธรรม ไปเรียนภาษา ... และที่สำคัญคือไปเห็นโลกที่กว้างและซับซ้อนยิ่งกว่าพื้นที่สี่เหลี่ยมที่เป็นสนามหญ้าอย่างโลกฟุตบอล 

"พ่อผมตั้งใจจะให้ผมไปเรียนที่อเมริกา 1 ปี แต่เพราะเรื่องฟุตบอลที่เป็นความฝันอันดับ 1 ผมจึงทำตามที่พ่อบอกไม่ได้ แต่เมื่อผมอายุได้ 14 ปี พ่อส่งผมไปค่ายฤดูร้อนที่กลางป่าในคอนเนตทิคัต ... ผมไปถึงที่นั่น และผมรู้สึกราวกับว่าผมกำลังก้าวเข้าไปเป็น 1 ในตัวละครของหนังฮอลลีวูด"

"ผมเชื่อว่าคุณคงเคยดูหนังมากันบ้าง มันจะมีหนังที่เด็ก ๆ ไปเข้าค่ายริมทะเลสาบ พายเรือแคนู ทำกิจกรรมเอาท์ดอร์ต่าง ๆ ปีนต้นไม้ นอนในเตนท์ ก่อไฟด้วยตัวเองแล้วก็ย่างมาชเมลโล่ ... ผมได้สัมผัสสิ่งที่ดูผ่านหน้าจอด้วยตัวเอง"

"ผมไปที่นั่นโดยไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีสัญญาณไวไฟ และไปคนเดียวด้วย สิ่งที่ผมทำคือพยายามหาเพื่อนใหม่ ผมแนะนำตัวด้วยภาษาอังกฤษที่ไม่คล่องแคล่วนัก ผมยังจำประโยคนั้นได้ดี 'สวัสดี ฉันชื่อ โรดริโก้ ฉันมาจาก มาดริด ประเทศสเปน'"

โรดรี้ ไม่ได้แค่ทักทายเพื่อน ๆ ในแคมป์ แต่เขากำลังทักทายโลกใบใหม่ ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของเขาไปทั้งชีวิต ... สิ่งนั้นคือโลกแห่งการเรียนรู้ ที่ส่งผลอย่างมากต่ออาชีพนักฟุตบอลของเขาในภายหลัง 

 

ชีวิตที่ไร้เพดานกั้น

กุญแจของชีวิตที่สำเร็จก็คือการจัดการชีวิตได้อย่างมีระเบียบและเลือกสิ่งที่ดีและเหมาะกับตัวเองเสมอ โรดรี้ เชื่อแบบนั้นมาตลอด 

หลังจากเล่นฟุตบอลในระดับเยาวชนที่ แอตฯ มาดริด ได้ 6 ปี พอถึงปี 2013 โรดรี้ ก็ต้องรับมือกับความเข้มข้นของโลกฟุตบอลแล้ว เมื่อ แอตฯ มาดริด ไม่ได้ต่อสัญญาเขา ทำให้ตอนอายุ 17 ปี โรดรี้ จึงได้ย้ายไปอยู่กับ บียาร์เรอัล สโมสรที่ลดระดับการแข่งขันเรื่องฟุตบอลลงมาเล็กน้อย แต่สำหรับเขามันไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นตระหนกอะไรนัก เพราะสำหรับเขาชีวิตคือทางยาว และเขายังมีเวลามากพอที่จะทำอะไร ๆ ให้มันถูกต้องและลงตัว เพื่ออนาคตที่ดีกว่าเดิม

"ผมต้องการไล่ตามความฝันในการเป็นนักฟุตบอลเหมือนเดิม ผมเลยย้ายไป บียาร์เรอัล ตอนอายุ 17 ปี ในระหว่างที่ได้สัญญาผมก็ลงเรียนในระดับมหาวิทยาลัยไปด้วย ... ช่วงแรก ๆ ผมก็อยู่ในหอพักที่อคาเดมี่ของ บียาร์เรอัล จัดไว้ให้ แต่พออายุครบ 18 ปี ผมก็กลายเป็นผู้ใหญ่ และถึงตอนนั้นผมก็ต้องเริ่มหาที่อยู่เอง แล้วแม่ผมก็บอกว่า 'ทำไมไม่เข้าไปอยู่ในหอพักมหาวิทยาลัยล่ะ?'" 

ความคิดนั้นอาจจะดูแปลกสำหรับนักเตะอายุ 18 ปี ที่เข้าใกล้สถานะการเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ บียาร์เรอัล ในระดับ ลา ลีกา เต็มที่แล้ว ... เมื่อคุณนึกถึงที่อยู่อาศัยของนักบอลระดับอาชีพในลีกระดับท็อป พวกเขามักจะต้องเช่าอพาร์ทเมนต์ เช่าโรงแรม หรือไม่ก็บ้านสักหลังเพื่อความสะดวกสบาย แต่ โรดรี้ เอาไอเดียของแม่เขามาคิดวิเคราะห์ดู และพบว่ามันเป็นอะไรที่ง่ายและสะดวกดี เพราะกฎยิบย่อยของหอพักมหาวิทยาลัย เช่นการเข้า-ออกตรงเวลา การใช้ห้องร่วมกับรูเมต เป็นสิ่งที่เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่ปัญหาและไม่ขัดกับไลฟ์สไตล์ของเขาแต่อย่างใด 

"ตอนนั้นผมยังเล่นในทีมชุดบีอยู่เลย ผมไม่มีได้มีเงินมากนัก ผมไม่มีรถเป็นของตัวเองด้วย แต่หอนักศึกษาใกล้ศูนย์ฝึกของ บียาร์เรอัล แค่ 15 นาที แน่นอนว่าผมไม่มีเงินขึ้นแท็กซี่ทุกวัน ผมเลยซื้อจักรยาน 1 คันและปั่นไปสนามซ้อม ... ผมทำอย่างนั้นจนเริ่มมีเงินเก็บสัก 3,000 ยูโร จึงไปซื้อรถ Opel Corsa มือ 2 ต่อจากผู้หญิงคนหนึ่ง สิ่งที่ไฮเทคที่สุดในรถคนนั้นคือจอสัมผัสที่คุณสามารถแตะมันเพื่อเปิดวิทยุ ตอนนั้นเพื่อนร่วมทีมชอบแซวผมนะ แต่ผมก็ไมได้สนใจอะไร ผมชอบรถคันนี้มาก ๆ เลย" 

โรดรี้ เรียนการบริหารด้านธุรกิจควบคู่ไปกับการไต่ระดับสู่ทีมชุดใหญ่ และเขาก็ทำสำเร็จตอนอายุ 18 ปี เขาได้เล่นใน ลา ลีกา ครั้งแรก และแน่นอนเขายังอาศัยในหอพักมหาวิทยาลัยตามสิทธิ์ของการเป็นนักศึกษา เรื่องนี้ฟังดูเรียบง่ายสบายดีเหลือเกิน แต่ในความจริงแล้ว โรดรี้ ทุ่มพลังไปกับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างมาก ตอนเช้าเขาจะซ้อมกับทีม ตอนบ่ายเขาจะกลับมาเรียน และตอนกลางคืนก็จะมีการพบปะเพื่อน ๆ ในหอพักบ้าง แต่เขาไม่เคยออกไปเที่ยวคลับ หรือกินดื่มแบบวัยรุ่นเลย เนื่องจากความรับผิดชอบมากมายที่แบกอยู่ รวมถึงกิจวัตรที่แน่นเอี๊ยดเกินกว่าจะผ่อนคลายแบบปล่อยเกียร์ว่างเพื่อเป็นรางวัลชีวิตอะไรทำนองนั้น 

เขาใช้ชีวิตในแบบที่เพื่อนร่วมทีมก็ไม่ได้สงสัยว่ากำลังเรียนในระดับปริญญาตรีด้วย เช่นเดียวกับเพื่อนในมหาวิทยาลัยที่ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นนักเตะอาชีพระดับลงเล่นใน ลา ลีกา เช่นกัน ... ที่สำคัญ ทั้ง 2 หน้าที่ที่เขาทำเพื่อตัวเองแบบเงียบ ๆ นั้นก็เป็นไปได้ด้วยดี การเรียนไม่ขาดตกบกพร่อง และเรื่องฟุตบอลก็ไปได้สวยมาก เพราะเขายิ่งเล่นก็ยิ่งโดดเด่นขึ้นในตำแหน่งกองกลางตัวรับดาวรุ่งน่าจับตามองของ ลา ลีกา 

โรดรี้ เล่นในชุดใหญ่ของ บียาร์เรอัล เต็ม ๆ แค่ 2 ซีซั่นเท่าน้น แอตฯ มาดริด ก็จ่ายเงินซื้อตัวเขากลับไปด้วยราคา 25 ล้านยูโร การกลับมาที่ แอตฯ มาดริด หนนี้ เรื่องฟุตบอลมีความเข้มข้นเยอะขึ้นมาก และเขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับฟุตบอลมากเป็นพิเศษ ภายใต้การแข่งขันที่สูงขึ้น 

"2 ปีที่ บียาร์เรอัล คือการเรียนรู้เพื่อเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่ 1 ปีที่ แอตฯ มาดริด คือช่วงเวลาที่ผมได้เรียนรู้ถึงการแข่งขันที่เข้มข้นอย่างแท้จริง และได้เห็นความผิดพลาดของตัวเองมากมาย"

"ตอนอยู่ที่ บียาร์เรอัล ผมเคยคิดว่าผมเป็นคนที่ครองบอลได้ดี แต่ที่ แอตฯ มาดริด ผมพบว่าผมอ่อนแอเกินไป ... ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ สอนให้ผมเล่นฟุตบอลแบบมีความดุดันและโหดเหี้ยมมากขึ้น มันเป็นฟุตบอลอีกแบบที่ไม่มีการปราณีกัน คุณจะต้องทำให้คู่แข่งของคุณหัวหมุนและเจอกับเรื่องยาก ๆ ตลอดเวลา ฟุตบอลก็เหมือนชีวิต คุณต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ รอบตัวคุณเสมอ เพื่อให้คุณอยู่กับมันอย่างลงตัวที่สุด" โรดรี้ กล่าว

เขาเล่นให้ แอตฯ มาดริด ปีเดียวก็โดดเด่นขึ้นมากทั้งในแง่สถิติตัวเลข และชื่อของเขาที่ปรากฏบนหน้าสื่อ ในความจริง นี่คือชีวิตที่เขาฝันไว้ทุกอย่าง ได้เล่นให้กับทีมรักตั้งแต่เด็ก มีรายได้ที่ดี มีเวลาอยู่ใกล้และมีเวลาให้ครอบครัว แต่มันช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่การจัดการชีวิตทั้งในและนอกสนามอย่างมีระเบียบ ทำให้ไม่มีเพดานมากั้นความสำเร็จและก้าวหน้าของเขา 

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สุดยอดกุนซือที่ขึ้นชื่อเรื่องแนวคิดด้านฟุตบอลของโลกปัจจุบัน เห็นรายงานการเล่นของ โรดรี้ กับทีมตราหมี และพบว่าเขาคือกองกลางตัวรับที่เหมาะกับฟุตบอลในแบบของ แมนฯ ซิตี้ และเมื่อ ซิตี้ อยากจะได้ใครสักคนขึ้นมา พวกเขาไม่เคยพลาดเป้า

ซึ่งการย้ายทีมครั้งนี้ คือการเรียนรู้ครั้งสำคัญที่สุดในด้านฟุตบอล ที่ทำให้ โรดรี้ ดีดตัวผ่านชั้นบรรยากาศของนักเตะเกมรับที่มักเป็นคนแบกเปียโน สู่ชั้นบรรยากาศของซูเปอร์สตาร์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมันจะเป็นพื้นที่ของนักเตะเกมรุกที่ยิงประตูเยอะ ๆ และสร้างความตื่นตาตื่นใจเสียมากกว่า 

 

ปริญญาตรีด้านการศึกษา - มหาบัณฑิตด้านฟุตบอล

การมาอยู่กับ แมนฯ ซิตี้ ถือเป็นเวทีสำคัญที่สุดของเขาเลยก็ว่าได้ การอยู่ท่ามกลางนักเตะระดับแถวหน้า มีโค้ชระดับที่เป็นเบอร์ 1 ของโลก และในลีกที่การแข่งขันสูงมาก ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ และนักฟุตบอลแถวหน้าในพรีเมียร์ลีกมักอยู่ในฐานะความเป็นสตาร์ มีชีวิตเหมือนความฝันเหมือนเด็กหนุ่มเกือบทั้งโลก 

แต่อย่างแรกสำหรับ โรดรี้ เขาต้องปรับตัวให้ได้ก่อน ... ค่าตัว 50 ล้านปอนด์ที่เขาแบกอยู่ไม่ได้กดดันเขา เท่ากับความอยากจะเป็นนักเตะที่ดีที่สุดเท่าที่ศักยภาพตัวเองจะเป็นไปได้ 

อิลคาย กุนโดกัน เล่าว่าปีแรกที่ โรดรี้ มายัง แมนฯ ซิตี้ เขาเป็นนักเตะที่ "มาซ้อมเร็ว และกลับบ้านช้า" ... นี่คือสูตรสำเร็จในแบบที่คุณคงเคยได้ยินผ่านประวัตินักเตะดัง ๆ มากหลายคน แต่สำหรับ โรดรี้ ค่อนข้างจะต่างเล็กน้อย เพราะมันไม่ใช่แค่การซ้อมเสร็จแล้วก็เข้าโรงยิมต่อ แต่เขาจะใช้เวลาเพื่อคุยกับทั้งเฮดโค้ช สตาฟฟ์โค้ช และเพื่อนร่วมทีม เพื่อให้เขาปรับตัวได้เร็วที่สุด

"ในปีแรกมันเป็นแบบนั้นเลย (แบบที่ กุนโดกันบอก) ไม่ใช่เรื่องง่ายที่นักฟุตบอลคนหนึ่งจะปรับตัวให้เข้ากับฟุตบอลที่ลึกล้ำของ เป๊ป ดังนั้นสำหรับผม การเข้าไปในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ผมต้องการเห็นทุกอย่าง ต้องการข้อมูลทุกสิ่งที่พอจะหาได้ ผมจดจำ เรียนรู้ เอาไปทำซ้ำ ทบทวนอยู่ตลอด"

"ผมเข้าหาเขา ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการจากผมด้วย ... อันที่จริงแล้วในฐานะนักฟุตบอลตัวกลาง ผมมองว่าเรื่องของภาคปฏิบัติอาจจะไม่ได้ซีเรียสมากนัก เพราะการรับส่ง เคลื่อนที่ จ่ายบอล เป็นสิ่งที่เมื่อมาถึงจุดนี้คุณย่อมมีมันติดตัวมาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่คุณไม่มีก็คือ 'ไอเดีย' คุณจ่ายบอลเป็น แต่จะดีกว่าถ้าคุณรู้แน่ชัดว่าคุณต้องจ่ายไปตรงไหน การตัดสินใจแต่ละครั้งในสนามให้ถูกต้องคืออะไร การคุยกับเป๊ปโดยตรงเลยมันง่าย และตรงไปตรงมามากที่สุดแล้ว" 

หากคุณยังจำกันได้ในปีแรก ๆ โรดรี้ ก็ไม่ได้เป็นนักเตะที่โดดเด่นก้าวหน้าขนาดที่ใครจะจับตามองเท่ากับนักเตะ แมนฯ ซิตี้ คนอื่น ๆ แต่การเรียนรู้แบบเข้าถึงแก่นไปเรื่อย ๆ ต่างหากที่ทำให้ขีดจำกัดของเขาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ... สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่านิสัยของคนช่างเรียนรู้ในวัยเด็ก ส่งผลอย่างมากต่ออาชีพของเขาในทุกวันนี้

"การเรียนด้านการบริหารจัดการเอามาปรับใช้กับฟุตบอลได้ คุณจะเข้าใจฟุตบอลของคุณ เหมือนกับคุณเป็นสถาปนิกที่ออกแบบมันขึ้นมา ตัวของผมพยายามจะเพิ่มเรื่องการเคลื่อนไหวในแต่ละจังหวะ การขับเคลื่อนเกม และการเชื่อมต่อกับผู้เล่นรอบตัวให้เร็วและแม่นยำ ผมพยายามตีโจทย์ให้แตกว่า แต่ละครั้งที่บอลออกจากเท้าของผม มันจะต้องไปจบยังที่ที่ผมต้องการ"

"ผมพยายามฝึกจนมันเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในหัวของผม เป็นสัญชาตญาณที่ทำออกมาได้ทันที มันคือการรู้แจ้งว่าเมื่อไหร่ควรเร็ว เมื่อไหร่ควรช้า เมื่อไหร่ควรจะเคลื่อนที่ไปตรงไหน ความคิดเหล่านี้จะวนเวียนอยู่ในหัวของผมเสมอ" 

นับจากวันนั้นผ่านมาแล้ว 6 ปี โรดรี้ พัฒนาตัวเองจากหนุ่มนักเรียนรู้ สู่มหาบัณฑิตในตำแหน่งมิดฟิลด์ของโลก จากนักเตะที่คนไม่รู้จัก แต่ แมนฯ ซิตี้ กลับยอมจ่ายเงินถึง 50 ล้าปอนด์เพื่อคว้าตัวมาร่วมทีม กลายมาเป็นนักเตะที่แฟน ๆ มองหาตลอดเวลาที่เขาไม่ลงสนาม เพราะเขามีส่วนกับเกมของ แมนฯ ซิตี้ มากจริง ๆ ชนิดที่ว่าไม่จำเป็นต้องเห็นเขา แค่คุณเห็นรูปเกมของ แมนฯ ซิตี้ หรือทีมชาติสเปน คุณก็สามารถคาดเดาได้ทันทีว่า โรดรี้อยู่ในสนามเกมนี้หรือไม่

เรื่องการเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก มีการพูดถึง โรดรี้ มาตลอดในช่วงปีสองปีหลังสุด บางคนบอกว่าเขาเป็นนักเตะที่จืดชืดเกินไป ไม่มีความโดดเด่นในเชิงการตลาด เขาจึงไม่มีรางวัลส่วนตัวที่คู่ควร ... แต่สำหรับ โรดรี้ รางวัลส่วนตัวไม่ได้มีความหมายกับเขานัก

โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์ในตอนที่ แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์ยุโรปว่า ต่อให้ไม่ได้รางวัลก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะเขามองโลกฟุตบอลในแบบที่แตกต่างออกไป และเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ตอบโจทย์กับตลาด หรือการทำตัวเองให้โดดเด่นในโซเชี่ยลมีเดียอย่างแน่นอน 

"ผมไมได้เล่นฟุตบอลเพื่อบัลลงดอร์ ... บางทีคนอื่นอาจจะอยากให้ผมมีความเป็นที่ต้องการของหลักการตลาดมากขึ้น พวกเขามักจะบอกว่าผมควรจะทำแบบโน้น ต้องทำแบบนี้ แต่ขอโทษทีที่ผมมองโลกฟุตบอลและเข้าใจฟุตบอลในแบบที่แตกต่างออกไป ผมรู้ว่าฟุตบอลของผมทำงานแบบไหน"

"ดังนั้นผมจึงไม่หงุดหงิดเลยที่ผมมักจะถูกมองข้าม ถ้าวันหนึ่งมีคนต้องการให้รางวัลเหล่านั้นตอบแทนการทำงานของผมมันก็เป็นเรื่องดี ... และต่อให้ผมจะไม่ได้รางวัลนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องกังวลเลย" โรดรี้ กล่าวไว้เมื่อปี 2023 และถึงตอนนี้คุณคงรู้ว่าเขาได้รางวัลนั้นมาครอบครองแล้ว 

และอย่าได้หวังว่าเขาจะโพสต์ภาพแห่งความประทับใจนี้ลงในโซเชี่ยลเพื่อยืนยันความยอดเยี่ยมของตัวเองเด็ดขาด เพราะ โรดรี้ ยังคงมีชีวิตติดดินเหมือนตลอดเวลาที่เขาเคยเป็นมา เขาไม่ได้เล่นอินสตาแกรม เขาไม่ได้มีรอยสัก และไม่ได้ขับซูเปอร์คาร์ตามฐานะ และสถานะทางสังคม 

หลังคว้ารางวัลเขาคงดื่มด่ำกับความสำเร็จนี้ ความสำเร็จที่มีเพียงหนึ่งเดียวในรอบปี ท่ามกลางนักฟุตบอลอาชีพที่ต้องการมันเป็นแสน ๆ คน ... อาจจะมีการฉลองบ้างตามโอกาสพิเศษ แต่ โรดรี้ จะยังคงเป็น โรดรี้ ผู้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายบนโลกของฟุตบอล และในโลกของความจริง

"อย่าเชื่อสิ่งที่คุณเห็นบนโซเชียลมีเดียเสมอไป ความเป็นจริงมักซับซ้อนกว่ากว่าที่คุณมองเห็นด้วยตาเปล่าเสมอ ...และตลอดชีวิตของผม ผมใช้ชีวิตอยู่ระหว่างสองโลกนี้ โลกหนึ่งคือฟุตบอล อีกโลกคือโลกแห่งความจริง"

ประโยคคลาสสิกจากเขาบ่งบอกถึงตัวตนและคาแร็คเตอร์ที่ยอดเยี่ยมสมกับรางวัลบัลลงดอร์ 2024 อย่างแท้จริง

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.thesun.co.uk/sport/29057049/spain-man-city-rodri-laura-iglesias/
https://www.thesun.co.uk/sport/football/9321197/rodri-man-city-student-business-management-degree/
https://www.theguardian.com/football/article/2024/jul/08/rodri-always-watch-games-back-alone-spain-euro-2024-manchester-city
https://www.premierleague.com/news/4108212
https://www.theplayerstribune.com/posts/rodri-premier-league-manchester-city-soccer-spain

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ