Feature

เพราะล้มเหลวจึงเรียนรู้ : ปฏิบัติการสร้าง "โกลเด้น เจเนอเรชั่น" ของ นอร์เวย์ | Main Stand

หลังเอาชนะ เอสโตเนีย ในรอบคัดเลือกได้สำเร็จ ณ ตอนนี้ ทีมชาตินอร์เวย์ ก็เข้ารอบสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2026 ไปแล้ว 99.99% โดยเงื่อนไขเดียวที่จะน็อกพวกเขาเอง คือแพ้ อิตาลี ในเกมสุดท้าย 9 ลูกขึ้นไปเท่านั้น

 

และนี่จะเป็นฟุตบอลโลกครั้งแรกของเหล่านักรบไวกิ้ง นับตั้งแต่ปี 1998 รวมถึงเป็นรายการใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่ ยูโร 2000 เลยทีเดียว

ตลอดช่วงเวลาเกือบ 30 ปีที่หายไป เกิดอะไรขึ้นกับฟุตบอลนอร์เวย์ … และตอนนี้ ทำไมพวกเขาถึงเต็มไปด้วยนักเตะชั้นยอดจนถูกเรียกว่า "โกลเด้น เจเนอเรชัน" 

หาคำตอบไปกับ Main Stand 

 

เมื่อระบบที่เคยเวิร์กเริ่มหมดอายุ

ฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส คือจุดสูงสุดของนอร์เวย์ในยุคใหม่ (ณ เวลานั้น) เนื่องจากพวกเขาเป็นชาติขนาดเล็ก และไม่ได้มีประวัติศาสตร์ด้านฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่นัก แต่ นอร์เวย์ ก็สามารถเอาจุดแข็งของตนเองออกมาปรับใช้ในแนวทางของฟุตบอล นั่นคือการสร้างทีมที่ใช้ความแข็งแกร่งและระเบียบวินัย สู้กับทีมใหญ่ได้อย่างไม่เกรงกลัว 

เนื่องจากลักษณะทางกายภาพของชาวนอร์เวย์ เหมาะกับการเป็นนักกีฬามาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะมีร่างกายสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแน่น และระบบไหลเวียนเลือดที่ปรับตัวได้ดีต่อสภาพอากาศหนาวเย็น ลักษณะทางพันธุกรรมนี้ช่วยให้ผู้เล่นจากภูมิภาคนี้มีทั้งพลังระเบิดสปรินต์ ความแข็งแกร่งในการปะทะ และความทนทาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นคุณสมบัติที่นักฟุตบอลชั้นยอดต้องมี 

และเมื่อหยิบเหล่าลูกยักษ์  และลูกหลานชาวไวกิ้งเหล่านี้มาใส่ในสไตล์ที่เรียกว่า "Drillo Football" หรือ ฟุตบอลสไตล์ตรงและวินัยสูงของ เอกิล โอลเซ่น เจ้าของฉายา "Drillo" (ยอดนักเลี้ยงทางตรง) สมัยค้าแข้ง ก็ถือว่าทำให้ทีมชาตินอร์เวย์ในเวลานั้นพบสูตรแห่งความสำเร็จของประเทศ

แต่เมื่อโลกฟุตบอลเปลี่ยนจากยุคบอลโยนยาว เข้าสู่ยุคเทคนิค ความเร็ว และการครองบอล สไตล์แบบ Drillo กลับกลายเป็น "อดีต" ที่ล้าสมัยในเวลาไม่กี่ปี

ตั้งแต่ปี 2002, 2004 และต่อมาเรื่อย ๆ จนปัจจุบัน นอร์เวย์พลาดทัวร์นาเมนต์ระดับชาติทุกครั้ง นักเตะที่เคยพาทีมไปฟุตบอลโลกทยอยเลิกเล่น แต่ไม่มีคลื่นลูกใหม่ที่พร้อมแทนที่

ขณะที่การฝึกเยาวชนของประเทศในตอนนั้น โดนวิจารณ์ในภายหลังว่าเป็นระบบการสร้างที่ยังยึดติดกับแนวคิดเล่นเพื่อผลลัพธ์ มากกว่าพัฒนาเพื่ออนาคต ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า นอร์เวย์ ไม่ได้เป็นชาติที่มีระบบฟุตบอลลีกที่แข็งแกร่งมากนัก สโมสรระดับรากหญ้ามีโค้ชที่เป็นอาสาสมัครมากกว่ามืออาชีพ ขณะที่สนามฝึกซ้อมและระบบการเรียนรู้ไม่ทันสมัยพอ

ดังนั้นการจะหวังผลลัพธ์ไว้สูง ๆ ตลอด เป็นความเสี่ยงอย่างมาก เพราะถ้าพลาดแพ้ หรือตกรอบคัดเลือกขึ้นมา พวกเขาก็แทบจะไม่มีพื้นฐานรองรับ หรือพูดในภาษาฟุตบอลก็คือ การมีนักเตะเลือดใหม่คอยมาผลัดเปลี่ยน และเพิ่มเติมความสดใหม่เหมือนกับชาติใหญ่ ๆ อื่น ๆ ในยุโรป 

พวกเขาโดนสิ่งที่เรียกว่า "ผีฟุตบอลโลก 1998" ตามหลอกหลอน และยิ่งพยายามจะก้าวข้ามจุดเดิมเท่าไหร่ ก็ยิ่งห่างไกลเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเขากลับหลงลืมพื้นฐานไป ... ฟุตบอลหลังยุค 2000 เป็นต้นมา ถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้นของโมเดิร์นฟุตบอล ที่บางครั้ง "ชื่อชั้น" ก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับคุณสมบัติที่เหมาะสม แต่ทีมชาตินอร์เวย์ ก็ยังมีนักเตะหน้าเดิม ๆ ติดทีมประจำ 

ยกตัวอย่างเช่น โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่เริ่มหมดสภาพกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งแต่ช่วงปี 2004 ด้วยอาการบาดเจ็บ และอายุที่มากขึ้น แต่ในทีมชาตินอร์เวย์ โซลชา กลับเป็นตัวหลักของทีมจนถึงตอนเลิกเล่นในปี 2007 ... ซึ่งถ้าเทียบในทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ณ เวลานั้น โซลชา แทบจะเป็นตัวรุกตัวสำรองอันดับที่ 4 หรือ 5 ของทีมด้วยซ้ำ 

"เราเคยภูมิใจในสิ่งที่เคยทำได้ จนลืมถามตัวเองว่าโลกมันไปถึงไหนแล้ว" นิลส์ โยฮาน เซ็มบ์ อดีตกุนซือทีมชาติ สะท้อนถึงความจริงอันเจ็บปวด ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มฉุกคิดว่า ในความล้มเหลวกว่า 10 ปี และพลาดทัวร์นาเมนต์สำคัญแบบต่อเนื่อง มันเกิดจากความผิดพลาด และทางแก้เดียวคือการเรียนรู้มัน เพื่อหาแนวทางใหม่ที่จะไม่พาทีมชาตินอร์เวย์ วิ่งชนปัญหาเดิม ๆ อีก 

 

เรียนรู้ใหม่ทั้งหมด

หลังจากความล้มเหลวต่อเนื่องในช่วงปี 2000-2010 สหพันธ์ฟุตบอลนอร์เวย์ (NFF) เริ่มมองเห็นว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ "นักเตะ" แต่คือ "ระบบ" ที่ไม่เคยอัปเดตให้ทันยุค และการฉุกคิดหลังจากพลาดตั๋วฟุตบอลโลกปี 2010 ชนิดที่ว่าหมดลุ้นแม้กระทั่งการเพลย์ออฟ ความผิดหวังนั้นนำไปสู่การย้อนกลับไปดูรากฐานด้านฟุตบอลในประเทศอย่างจริงจังอีกครั้ง 

ปี 2011 รัฐบาลนอร์เวย์และ NFF จึงร่วมกันจัดตั้งหน่วยงานใหม่ชื่อว่า "Toppfotballsenteret" หรือแปลเป็นไทยก็คือ "ศูนย์พัฒนาความเป็นเลิศด้านฟุตบอลแห่งชาติ" เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มใหม่ครั้งนี้ 

นี่คือศูนย์กลางข้อมูลฟุตบอลแห่งชาติ ที่ทำหน้าที่คล้ายห้องทดลอง คอยวิเคราะห์ว่าเหตุใดเด็กนอร์เวย์ถึงไม่สามารถพัฒนาไปถึงระดับโลกได้ พวกเขาเริ่มเก็บข้อมูลทุกอย่างอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่รูปแบบการฝึกซ้อม ชั่วโมงการเล่นของเด็กในแต่ละวัย ความหลากหลายของทักษะ ไปจนถึงระดับความสุขของนักเตะเยาวชน

จนกระทั่งผ่านช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขาก็ไปถึงแก่นของเรื่องนี้ด้วยการพบคำตอบว่า เด็กนอร์เวย์ ฝึกซ้อมน้อยเกินไป, ขาดแรงจูงใจ, และ ถูกจำกัดให้เล่นตามแบบแผนที่ตายตัวเกินไป

จากนั้น NFF จึงเริ่มแผนปฏิรูปครั้งใหญ่ในชื่อ "Player Development Plan 2020" แผนนี้วางรากฐานฟุตบอลใหม่หมด โดยมีแนวคิดว่า "ฟุตบอลคือการเรียนรู้ ไม่ใช่การแข่งขันระหว่างเด็กด้วยกัน"

พวกเขาเริ่มจากบังคับให้ทุกสโมสรในประเทศมีโค้ชที่ผ่านการรับรองจาก สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า (ไลเซ่นส์ ต่าง ๆ) เหตุผลก็เพราะโค้ชที่มีองค์ความรู้เหล่านี้จะได้กระจายความรู้ไปยังตัวเด็ก ๆ มากขึ้น นอกจากนี้ยังใส่กิมมิกเข้าไปอีกว่า "ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเก่งหรือไม่ อย่าเพิ่งตัดสินเขา จนกว่าเขาจะได้เรียนรู้และได้โอกาสลงเล่นในวันที่เขาพร้อมจริง ๆ"  

ขณะที่การคัดตัวเยาวชนเข้าสู่สโมสร ถูกเลื่อนออกไปจนถึงอายุ 13 ปี เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้หลากหลายตำแหน่ง ได้โอกาสลงเล่นในเวทีที่ทางผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะรัฐบาลหรือสหพันธ์ฟุตบอลนอร์เวย์ ได้วางโครงการและจัดเวทีให้พวกเขาได้ลงเล่นเก็บประสบการณ์มากขึ้น 

พวกเขาไม่ได้แค่มองแค่ตัวทรัพยากรบุคคลเท่านั้น แต่ไม่นานหลังจากการประกาศแผนพัฒนาครั้งนี้ NFF จัดการโชว์ให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจัง ด้วยการสร้างพื้นที่สำหรับฟุตบอลเยาวชนเพิ่ม สนามหญ้าเทียมถูกสร้างกระจายไปยังทั่วประเทศ เพื่อให้เด็กเล่นฟุตบอลได้ตลอดทั้งปี เพราะอากาศที่ประเทศนอร์เวย์ค่อนข้างหนาวเย็น โดยเฉพาะฤดูหนาวแต่เดิมนั้น เด็ก ๆ แทบไม่มีโอกาสได้ออกมาเล่นนอกบ้านเลยเพราะสภาพอากาศที่ย่ำแย่ 

 

ผลลัพธ์ของระบบที่เชื่อใน "เวลา"

ไม่นานหลังจากระบบใหม่นี้เริ่มเดินหน้า เด็กกลุ่มแรกที่เติบโตจากแนวคิด "เรียนรู้จากความผิดพลาด" ก็เริ่มแจ้งเกิด

แทนที่จะคัดเด็กที่เก่งที่สุด พวกเขาเลือกสอนทุกคนให้ดีขึ้น และเด็กทุกคนในระบบฟุตบอลโรงเรียนจะได้รับโอกาสฝึกซ้อมเท่ากัน มีโค้ชที่ผ่านการรับรอง รวมถึงถูกปลูกฝังแนวคิดต่าง ๆ สำหรับฟุตบอลสมัยใหม่ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจากยุค 1990 ที่พวกเขาเคยหลงทางอยู่นาน 

แนวคิดเหล่านี้ และการสอนเด็กทุกคนด้วยสิ่งที่ถูกต้อง ตลอดจนปลูกฝังแนวคิด การรับผิดชอบตัวเอง และการรู้จักสิ่งที่อยู่ข้างในของตัวเองให้ได้มากที่สุดนี้ ได้เปลี่ยนฟุตบอลนอร์เวย์จากระบบปิด เป็นระบบเปิดที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ด้วยตัวเอง

หนึ่งในนั้นคือ มาร์ติน โอเดการ์ด เด็กจากเมือง ดรัมเมน ที่ได้รับการฝึกฝนให้คิดสร้างสรรค์ในสนามมากกว่าท่องจำ เขาเล่นฟุตบอลแบบที่อยากเล่น และได้รับคำแนะนำมากกว่าคำสั่งจากโค้ชที่คอยดูแลเขา ตั้งแต่ก่อนจะเข้าระบบเยาวชนของสโมสร สตรอมก็อดเซ็ต ด้วยซ้ำ

ขณะที่อีกคนที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะเขาทำให้ผู้อ่านเห็นภาพมากที่สุด นั่นคือ เออร์ลิ่ง เบราต์ ฮาลันด์ เด็กชายจากเมือง บริน ที่ อัลฟ์ อิงเก้ พ่อของเขาเคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่ระบบฝึกเยาวชนใหม่ทำให้เขาได้ฝึกทั้งด้านเทคนิค การคิด และสภาพจิตใจอย่างสมดุล 

เรื่องนี้สามารถยืนยันจากเจ้าตัวได้ เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยสัมภาษณ์ว่า "ตอนเด็ก ๆ ผมเล่นทุกตำแหน่งในสนาม เพราะโค้ชอยากให้ผมได้ลองทุก ๆ อย่าง จนผมรู้ว่าตัวเองชอบอะไรจริง ๆ" 

นั่นคือรากของ "โกลเด้น เจเนอเรชั่น" แห่งนอร์เวย์ยุคใหม่ ที่เชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองมากกว่าความกลัวความผิดพลาด และทำให้พวกเขามีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ เช่น ออสการ์ บ็อบบ์ (แมนฯ ซิตี้), อันเดรียส ชเยลเดอรัป (เบนฟิก้า), ฮูโก้ เว็ตเลเซ่น (เซลติก) และอีกหลายคนที่เติบโตในระบบใหม่ทั้งหมด 

 

ความมั่นคงที่หล่อหลอมจิตใจ

อีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่อาจมองข้าม คือโครงสร้างสังคมของนอร์เวย์ ซึ่งจะว่าตรง ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการสร้างนักฟุตบอลเท่านั้น แต่ระบบรัฐสวัสดิการโดยรัฐบาลนอร์เวย์ มีส่วนอย่างมากในการหา "พรสวรรค์" ของเด็กแต่ละคนให้เจอ และเริ่มผลักดันพวกเขาไปในเส้นทางที่ถนัด จนสามารถใช้สิ่งนี้เลี้ยงดูชีวิตตัวเอง และพัฒนาสังคมในองค์รวมด้วยการเป็นบุคลากรคุณภาพของประเทศ 

เด็กทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงการศึกษา กีฬา และสุขภาพเท่าเทียมกัน ทำให้แทบไม่มีใครต้องเลิกเล่นฟุตบอลเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าชุด หรือค่าเดินทางไปสนาม ระบบนี้ทำให้เด็กๆ เติบโตในสภาพแวดล้อมที่มั่นคง และกล้าฝัน โดยไม่ต้องกลัวความล้มเหลว 

รัฐบาลยังสนับสนุนให้โรงเรียนและสโมสรฟุตบอลทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างสมดุลระหว่าง "ชีวิต-การเรียน-กีฬา" ขณะเดียวกัน โค้ชทุกคนถูกสอนว่าต้องให้ความสำคัญกับจิตใจเด็กมากพอ ๆ กับเทคนิคในสนาม 

ซึ่งดูเหมือนว่าเราจะได้เห็นคาแร็คเตอร์นี้ซ่อนอยู่ในตัวนักเตะแถวหน้าของประเทศอย่าง ฮาลันด์ และ โอเดการ์ด อย่างชัดเจน เพราะสองคนนี้โด่งดังมีชื่อเสียง จนทีมดังในยุโรปอยากได้ตัวตั้งแต่อายุไม่ถึง 15 ปีด้วยซ้ำ 

เรียกได้ว่าทั้งคู่ต่างเติบโตมาพร้อมกับความกดดันและการโดนจับตามองตลอดเวลา แต่จนแล้วจนรอด พวกเขาก็จิตแข็งพอที่จะเติบโตกลายมาเป็นนักเตะแถวหน้าของโลกในเวลานี้ได้ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปในอดีต เราแทบนึกไม่ออกเลยว่าจะมีนักเตะชาวนอร์เวย์คนไหน ที่มีความสามารถส่วนตัวมากขนาดนี้ 

ที่สุดแล้วก็คือ พวกเขาใช้เวลาสร้างและหว่านเมล็ดพันธุ์ครั้งนี้นานถึง 14 ปี และผลคือ ทีมชาตินอร์เวย์ได้สร้างกลุ่มนักเตะที่ "สู้ได้ทุกสถานการณ์" พร้อมทั้งเรื่องคุณภาพฝีเท้าและคาแร็คเตอร์ จนกระทั่งตอนนี้พวกเขาล้างอาถรรพ์สำเร็จไปแล้ว 99.99% หลังเอาชนะ เอสโตเนีย ได้ในเกมเมื่อคืนนี้ ขอแค่ไม่แพ้ อิตาลี เกิน 9 ลูกในนัดสุดท้าย ก็ปิดจ๊อบ 100%

โดยสรุปแล้วก็คือ นอร์เวย์ใช้เวลานานกว่า 28 ปี เพื่อเรียนรู้ว่า ความล้มเหลวไม่ใช่ศัตรูของความสำเร็จ แต่คือครูที่ดีที่สุด  

วันนี้ โกลเด้น เจเนอเรชั่น ของพวกเขา ไม่ได้เกิดจากโชคหรือพรสวรรค์ แต่เกิดจากระบบที่ไม่ยอมแพ้ต่อความล้มเหลว

และนี่คือสิ่งที่ฟุตบอลทุกชาติ ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งทีมชาติไทย ที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากการผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้ายของทีมชาติ นอร์เวย์ ครั้งนี้ 

 

แหล่งอ้างอิง

https://thesefootballtimes.co/2021/06/16/the-fateful-swansong-of-norways-golden-generation-at-euro-2000/
https://www.fotmob.com/topnews/23355-norways-golden-generation-finally-look-close-delivering?
https://blog.transferroom.com/revolution-of-norwegian-football-talent-iq-equal-opportunity-and-artificial-pitches?
https://www.theguardian.com/football/these-football-times/2016/oct/12/norway-football-world-cup-san-marino-qualifiers?
https://www.thenationalnews.com/sport/football/2023/10/15/next-golden-generation-norway-led-by-haaland-have-the-talent-for-a-bright-future/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ