นี่คือเรื่องราวของ คารี่ สเวนสัน นักกีฬาสาวชาวสหรัฐอเมริกาที่การออกไปซ้อมวิ่งธรรมดา กลับลงเอยด้วยการถูก 2 พ่อลูกโรคจิตผู้หนีจากสังคมเมืองออกมาใช้ชีวิตในป่าจับตัวไป
เหตุผลไม่ใช่เรื่องของเงินและความแค้น แต่มันคือเรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางเข้าใจแน่นอนว่า พวกเขาทำไปเพื่ออะไร? และเธอรอดหรือไม่? ติดตามทั้งหมดได้ที่นี่
โอลิมปิกฤดูหนาว คือมหกรรมกีฬาที่คนไทยไม่คุ้นเคยนักแต่การแข่งขันนี้มีมาอย่างยาวนาน ในฐานะ มหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติของกีฬาประเภทที่เกี่ยวข้องกับความหนาวเย็น ไม่ว่าจะเป็น สกี หรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งแม้แต่ประเทศที่ไม่มีหิมะตกก็สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้
Photo : Mishgan
ทีมชาติสหรัฐอเมริกา คือชาติที่ต้องการความสำเร็จในทุกการแข่งขัน และมีกีฬาชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Biathlon (กีฬาที่เล่นสกีไปพร้อมๆ กับการยิงปืนไรเฟิล) ซึ่งมีนักกีฬาดาวรุ่งวัย 21 ปี ชื่อ คารี่ สเวนสัน ผู้ที่เพิ่งคว้าอันดับ 3 ในศึกชิงแชมป์โลกที่ประเทศฝรั่งเศสเมื่อเดือน มีนาคม ปี 1984
คารี่ กำลังอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดในชีวิตนักกีฬาของเธอ เธอได้รับคำชม ความคาดหวัง และถูกวางตัวให้เป็นตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ทั้งในศึกชิงแชมป์โลกต้นปี 1985 และโอลิมปิกฤดูหนาวปี 1988 อีกด้วย
"ฉันตื่นเต้นมากๆ เลยที่จะได้เป็นหนึ่งในทีมของสหรัฐอเมริกา ฉันได้รางวัล ฉันได้คำชม และมาไกลจนได้แข่งชิงแชมป์โลกในปี 1984" เธอเคยเขียนไว้ในจดหมายฉบับหนึ่ง
ในอีกด้านหนึ่งของชีวิต คารี่ เป็นหญิงสาวที่ชอบทำกิจกรรมและลองอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิตอยู่เสมอ เธอได้ทุนเข้ามาศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีคณะ ชีววิทยา ที่มหาวิทยาลัย มอนตาน่า สเตท ตามรอยคุณพ่อของเธอซึ่งเป็นอาจารย์ในสถาบันแห่งนี้ มหาวิทยาลัยดังกล่าวตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา มีอาณาเขตติดกับประเทศแคนาดา และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในรัฐนี้คือ "ป่าที่อุดมสมบูรณ์" หันไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวให้เห็น
รัฐนี้มีป่าและสัตว์ป่ามากมาย บรรยากาศในเมืองเหมือนกับหนังแนวคันทรี่ยุคคาวบอยอะไรทำนองนั้น ถนนหนทางกว้างขวาง รถยนต์ไม่มาก การจราจรไม่แออัดและที่เด็ดที่สุดคือธรรมชาติอย่าง เกลเซีย เนชั่นแนลพาร์ค หรือ อุทยานธารน้ำแข็ง ที่ได้รับฉายาว่าเป็นมงกุฎแห่งทวีป ส่วนผู้คนที่นี่จากปากคำของคนที่เคยไปเยี่ยมชมและท่องเที่ยวบอกกันว่ามีความเป็นมิตรและอัธยาศัยดีกว่าเมืองใหญ่มากโขเลยทีเดียว
Photo : Mishgan
ด้วยสิ่งแวดล้อมดังกล่าวทำให้ คารี่ มักจะหาเวลาไปออกกำลังกายทุกวัน เธอจะเริ่มออกวิ่งจ๊อกกิ้งประมาณช่วงเวลา 5 โมงเย็น บริเวณอุทยานที่ชื่อว่า "บิ๊กสกาย แอเรีย" และเพราะว่ามันคือเมืองที่สงบและมีเพื่อนร่วมเมืองที่ทำให้มีความรู้สึกอบอุ่น นั่นจึงทำให้เธอไม่เคยเจอเรื่องร้ายๆ เกี่ยวกับการซ้อมวิ่งในป่าในเขาเลยสักครั้ง และแม้จบการศึกษาไปแล้ว นี่ก็ยังเป็นกิจวัตรประจำวันของเธอ
ความสม่ำเสมอทำให้ร่างกายของเธอแข็งแรงและพร้อมสำหรับการแข่งขันใดๆ ก็ตามที่รออยู่ ทว่าในขณะเดียวกันมันกับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เธอถูกอ่านพฤติกรรมได้ง่ายมาก ... "5 โมงเย็น ณ บิ๊กสกาย ไปรอเถอะ เจอเธอแน่" นั่นคือสิ่งที่ใครต่อใครก็รู้กัน และมันทำให้เธอต้องเจอกับสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล
หญิงสาววัยใส กับกางเกงขาสั้นเข้ารูปเพื่อความสะดวกในการวิ่ง คือภาพซึ่งผู้ชายทุกคนยอมรับว่าเป็นอะไรที่น่าดูชวนมองเป็นอย่างยิ่ง ผู้ชายส่วนใหญ่อาจจะแค่มองและจบไปแต่ไม่ใช่กับชาย 2 คนที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าที่เห็น คารี่ มาเนิ่นนานและมีแผนการสำหรับเธอโดยเฉพาะ และต้องเป็นเธอคนเดียวเท่านั้น
ขณะที่ คารี่ กำลังวิ่งเข้าไปส่วนของพื้นที่ที่มีป่าทึบ ลึกเข้าเรื่อยๆ ชายสองคนเดินออกมาและบอกให้เธอหยุด ... คารี่ รู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี ผู้ชายสองคนนี้แต่งตัวด้วยชุดเหมือนคนท้องถิ่นปกติเพียงแต่ว่ามันสกปรกมากราวกับไม่เคยผ่านการซักมาก่อน ผมเผ้าและหนวดเครารุงรัง และกลิ่นตัวเหม็นหึ่ง ไม่ต้องเดาให้ยุ่งยากนี่คือ "คนป่า" ในเวอร์ชั่นที่เคยเป็นคนเมืองมาก่อน
เธอเริ่มใช้พลังที่เหลือทั้งหมดวิ่งหนีการสกัดของชายทั้ง 2 คน เธอเล็งว่าจะวิ่งไปบริเวณสันเขาและหวังว่าจะเจอนักปีนเขาสักคน พนักงานของรัฐที่กำลังซ่อมถนน หรือพนักงานเอกชนที่กำลังตัดต้นไม้ ... ใครก็ได้สักคนที่จะพาเธออกไปจากสถานการณ์นี้ แต่โชคไม่ดีที่ไม่มีใคร และเธอหกล้มเหมือนกับในหนังฆาตกรรม ทั้งสองคนเชี่ยวชาญกว่าในที่แห่งนี้ พวกเขาดักเธอไว้แบบล้อมหน้าล้อมหลัง
"สวัสดี" คารี่ รวบรวมสติและทำเสียงให้ปกติที่สุด "ทางนี้คือทางผ่านไป แจ็ค ครีก ใช่หรือเปล่าคะ?" เธอลองตั้งคำถามเพื่อหยั่งเชิงดูก่อน
"อืม ... ไป แจ็ค ครีก ทางนี้แหละ" ชายที่อายุมากกว่าตอบและส่งรอยยิ้มที่อธิบายไม่ถูกว่ามันเกิดจากความรู้สึกอะไร ... คารี่ ได้ยินและรีบหันกลับเพื่อจะวิ่งไปทางที่เธอมาแต่ก็ไม่ทัน ไม่ทันไรชายคนที่อายุน้อยกว่าก็โผล่พรวดเข้ามารวบเอวของเธอและเธอเองก็ดิ้นไม่หลุด เขาจับแขนเธอไพล่หลังและบีบแน่นจนเธอรู้สึกว่ากระดูกของเธออาจจะหักแล้วก็ได้
"ปล่อยฉันไปนะ ได้โปรด" เธอ ไม่รู้จะหาคำพูดอะไรที่ดีกว่านี้ได้แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบจากชายแก่ที่เป็นเหมือนหัวหน้าตอบกลับด้วยเสียงที่สงบเยือกเย็นว่า "ไม่หรอก ... เราไม่ปล่อยคุณแน่"
ทุกอย่างเงียบไปหลายวินาที ต่างฝ่ายต่างรอท่าทีของอีกฝ่ายว่าจะเป็นอย่างไร คารี่ รวมสติได้และพยายามจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ปกติที่สุด เธอพยายามจะกลับมาคุมสถานการณ์ให้ได้ แม้จะรู้ว่า ณ ตอนนี้เธอกำลังมีความเสี่ยงถึงชีวิตก็ตาม
"คุณต้องการอะไร ทำไมถึงไม่ยอมปล่อยฉันไป?" คารี่ เอาชนะความกลัวและพูดออกมา
"เอาล่ะ ... เราอยู่ในป่าในเขามานาน เราไม่เคยเจอผู้หญิงสวยอย่างคุณบ่อยนักหรอก เราแค่อยากจะคุยกับคุณโดยใช้เวลาสักพักเท่านั้น ... ย้ำนะแค่คุยจริงๆ" ชายแก่ ยังเป็นคนตอบคำถามของเธออีกเช่นเคย
คารี่ คิดว่าเธอถือไพ่เหนือกว่า เธอคิดว่าชาย 2 คนนี้เป็นชาวป่าชาวเขาที่แค่ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป หากเธอยืนกรานเสียงแข็งทั้งสองคนก็อาจจะมีท่าทีที่อ่อนลงก็เป็นได้ และเธอบอกไปว่า "ขอโทษด้วยนะ ฉันมั่นใจมากๆ ว่าไม่มีอะไรจะคุยกับพวกคุณทั้งสองคน"
จบประโยคเธอสลัดมือและจะออกวิ่ง แต่หนนี้ชายแก่ลงมือเอง และเป็นการลงมือที่หนักกว่าเดิน เขาบิดแขนเธอสุดแรงเกินและย้ำด้วยน้ำเสียงที่เพิ่มอารมณ์โมโห
"อืม ... ถ้าคุณกลัวว่าเราจะข่มขืน จงทำใจให้สบาย เราจะไม่ข่มขืนคุณแน่ ผมขอย้ำอีกครั้งว่า "เรา ... แค่ ... อยาก ... คุย ... ด้วย" เขาเน้นคำแบบช้าๆ และชัดๆให้ คารี่ เข้าใจอีกครั้ง
พวกเขาไม่อยากได้เงิน พวกเขาจะไม่ข่มขืนเธอ แล้วพวกเขาต้องการอะไรกันแน่? ... คารี่ เองก็สงสัยเรื่องนี้ ตอนนี้เธอสงบลงมากและเริ่มทำตามที่พวกนั้นบอกนั่นคือ "นั่งสนทนากัน"
"คุณแต่งงานแล้วหรือยัง?"
Photo : the-line-up.com
"แน่นอนที่สุดแต่งแล้ว สามีของฉันชื่อ บิลลี่ โซอา" เธอพยายามตอบด้วยชื่อแปลกๆ ไปก่อนเพราะคิดจะขู่ให้พวกนั้นกลัวว่าสามีของเธอจะมาล้างแค้นในภายหลัง ซึ่งความจริงแล้วเธอยังโสด
"หึ ..." ชายแก่กระแอม "แล้วทำไมไม่สวมแหวนแต่งงาน?"
"ฉันไม่ใส่มันเพราะฉันต้องทำงานที่โรงครัว บางทีหากโชคร้าย แหวนมันจะไปขัดกับเครื่องจักรแล้วทำให้นิ้วฉันขาดได้น่ะ สามีฉันที่ทำงานด้วยกันก็ไม่ใส่" เธอโกหกอีกครั้ง แต่ก็เป็นการโกหกที่มีพื้นฐานจากเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง
"แกเชื่อเธอไหมเนี่ยแดนนี่?" ชายแก่เริ่มเรียกชื่อคนที่หนุ่มกว่าว่า "แดนนี่" ก่อนที่ แดนนี่ จะบอกว่าด้วยท่าทีที่เลิ่กลั่กและไม่มีความเป็นมืออาชีพเหมือน "ดอน" ชายชราคนนั้นที่เป็นพ่อของเขา
"พ่ออย่าไปเชื่อ ผู้หญิงพวกนี้มันโกหก พาเธอไปจากที่นี่เถอะ" แดนนี่ บอกกับพ่อของเขา
ดอนนี่ ลุกขึ้นยืนเพื่อมาคุยกับ คารี่ เป็นครั้งสุดท้าย เขาบอกว่าจะไม่ฆ่าเธอแน่ พวกเขาจะเก็บเธอไว้ในฐานะภรรยา ไม่ใช่สำหรับตัวของเขา และไม่ใช่สำหรับของแดนนี่ แต่ เคารี่ จะต้องรับบทภรรยาของทั้ง 2 คน ซึ่งตัวของ ดอนนี่ วางแผนไว้ว่าเขาจะใช้ชีวิตครอบครัวแบบ 3 ผัวเมียที่สงบสุขในป่าลึกร่วมกันกับ คารี่ และ แดนนี่ ... แน่นอนว่าเมื่อถึงตรงนี้ เขาเป็นพวกโรคจิตจริงๆ แล้ว
"ฉันถูกบังคับให้ยืนขึ้นและเดินหน้า พร้อมกับโดนตบเข้าที่หน้าด้วย พวกเขาผลักฉันจนล้มลงพื้นและล่ามโซ่ฉันเอาไว้ติดกับ แดน พวกเขาใช้ทั้งปืนและมีดขู่บังคับฉันเหมือนกับสัตว์ตัวหนึ่ง เราเดินผ่านแนวต้นไม้ในยามค่ำคืนไปเรื่อยๆ วนไปอยู่แบบนั้น" คารี่ อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
สภาพร่างกายของคารี่ เริ่มอิดโรยในช่วงกลางดึก สองพ่อลูกตัดสินใจว่าจะก่อไฟและพักแรมก่อน และจากนั้นตอนเช้าจะเดินทางไปยังกระท่อมกลางป่าของพวกเขา คารี่โดนมัดติดกับต้นไม้ด้วยโซ่ที่แน่นหนา เธอคิดว่าเธอคงไม่รอดแน่ อย่างไรเสียก็หนีไม่พ้น ... แต่เธอยังมีโชค
Photo : www.bozemandailychronicle.com
กลุ่มเพื่อนนักวิ่งที่เจอกับเธอประจำในทุกวันๆ ผิดสังเกตว่าเหตุใดวันนี้คารี่ ถึงวิ่งเข้าป่าและยังไม่กลับมา พวกเขาไม่รอให้ครบ 24 ชั่วโมงซึ่งเป็นเวลาที่กำหนดไว้สำหรับแจ้งคนหาย แต่กลุ่มนักวิ่งที่เหลือรวมตัวกันจัดทีมค้นหา โดยคนที่รุดหน้ามาก่อนใครคือ อลัน โกลสตีน นักวิ่งคนสนิทเพื่อนซี้ของ คารี่ และเพื่อนอีกคนหนึ่งที่วิ่งตามเส้นทางเดียวกันบ่อยๆ พวกเขาเริ่มออกหาคารี่ ตั้งแต่ฟ้ามืดและนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อเวลาใกล้สว่าง โกลสตีน สามารถมาถึงจุดที่ 2 พ่อลูก และ คารี่ พักแรมแล้ว
โกลสตีน มาถึงเวลาฟ้าสาง เขาเห็นคารี่ ถูกมัดอยู่และคิดจะเข้าไปช่วยทันที แต่ คารี่ ก็กรีดร้องให้ดังที่สุดเพื่อต้องการจะบอกกับเขาว่า "อย่างเพิ่งเข้ามา"
"ฉันเริ่มกรีดร้องและตะโกนบอก อลัน ว่าอย่างทะเล่อทะล่าเข้ามาเพราะเขามีปืน" คารี่ กล่าว ... แน่นอน ดอน ผู้เป็นพ่อได้ยินเสียงนั้นจึงส่งปืนให้ลูกชาย 1 กระบอก เตรียมเริ่มเปิดการต่อสู้เต็มรูปแบบ โชคร้ายมากที่ อลัน โกลสตีน ไม่มีปืนติดตัวมาด้วย ...
"แกไม่รอดแน่ ตอนนี้กำลังมีคนตามมาอีก 200 คนพร้อมอาวุธด้วย" โกลสตีน ตะโกนขู่ทั้งที่ความจริงอาจจะไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น
"แคร็ก" เสียงนี้ดังขึ้น และทุกคนหยุดมอง ชายแก่ยกปืนขึ้นมาและเหนี่ยวไกพร้อมยิง ทุกอย่างหยุดนิ่ง ณ เวลานั้น
"พวกเราต้องการแค่ความเป็นมิตรจากสุภาพสตรีคนนี้เท่านั้น และใครก็ตามที่คิดจะช่วยเธอเราก็ต้องขอโทษด้วยที่คนคนนั้นจะต้องถูกฆ่าทิ้งเสียตั้งแต่ตรงนี้" ชายแก่ย้ำอีกครั้งเพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน และหลังจากนั้นอึดใจเดียวชนิดที่ว่านับ 1 ไม่ถึง 3 เขาก็ตัดสินใจยิงขึ้นมา 1 นัด
"เปรี้ยง" ความแม่นยำไม่ต้องพูดถึง เขาอยู่ป่ามาแล้วเป็น 10 ปี ใช้ชีวิตกับการล่าสัตว์ ดังนั้นกระสุนนัดเดียวก็สามารถเจาะอก โกลสตีน ทันที ผู้เข้ามาช่วยคนแรกล้มลงไป ทำให้เพื่อนอีกคนผู้มาพร้อมกับ โกลสตีน ตัดสินใจวิ่งหนีกลับไปขอกำลังเสริมและความช่วยเหลือเพิ่มเติม
โอกาสรอดของ คารี่ มาแล้ว เธอตะโกนดังยิ่งกว่าเดิม กรีดร้องหนักยิ่งกว่าเก่าเพื่อบอกจุดที่อยู่จุดนี้ ดอนนี่ บอกให้ลูกชายของเขาหาอะไรอุดปากให้เธอเงียบซะ แต่ แดนนี่ ที่อายุแค่ 14 ปีในตอนนั้น ร้อนรนจนเกินไป เขาใจสั่นกับสิ่งที่เห็น ศพของโกลสตีนที่นอนอยู่ข้างๆ กองไฟ จนเกิดความผิดพลาด ปืนในมือของเขาลั่นขึ้น 1 นัด เจาะอกของ คารี่ พอดิบพอดี
สถานการณ์ตอนนี้เละเกินการควบคุม มีคนตายแล้ว 1 ศพ ส่วนอีกคนหนึ่งที่โดนยิงกำลังจะกลายเป็นศพที่ 2 หนำซ้ำยังมี 1 คนหนีรอดและกำลังไปตามความช่วยเหลือ และเมื่อเขาบอกเล่าว่าเห็นอะไรบ้างแน่นอนว่าคนที่ตามมาจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างแน่นอน ดอนนี่ และ แดนนี่ จึงหนีไปดื้อๆ เพียงแต่ว่าก่อนจะหนีเจ้าหนูแดนนี่แก้มัดให้ คารี่ และให้ถุงนอนกับเธอเพื่อความอบอุ่น ... เขาไม่รู้ว่าเธอจะรอดไหม แต่แค่ทนเห็นภาพเธอโดนมัดทั้งๆ ที่เลือดไหลออกจากหน้าอกไม่ได้เท่านั้นเอง
คารี่ รวมแรงเฮือกสุดท้ายเอาตัวใส่ถุงนอน เดินคลานกระเสือกกระสนมาที่กองไฟเพื่อบรรเทาความหนาว เธอ ต้องพยายามทำให้ตัวเองไม่หลับตลอดช่วงเวลาที่เหลือจนกว่าทีมช่วยเหลือจะมาถึง เพราะถ้าหมดสติไปเธอตายแน่
"ฉันตกใจ และคิดว่ากำลังจะตายจริงๆ" คารี่ อธิบายถึงความรู้สึกนั้น
4 ชั่วโมงข้างกองไฟกลางป่าที่ต้องแข็งใจไม่ให้หลับ คารี่ ทำได้ ทีมช่วยเหลือมาช่วยเธอไว้ได้และส่งตัวเธอเข้ารักษาที่โรงพยาบาล หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ใช้เวลาตามจับ ดอนนี่ และ แดนนี่ ได้ในเวลาหลังจากนั้น 5 เดือน ขณะที่ทั้งคู่ออกมาล่าสัตว์หาเสบียง
Photo : Mishgan
ทั้งสองคนมีชื่อเต็มๆ ว่า ดอน นิโคลส์ และ แดน นิโคลส์ เรื่องทั้งหมดมันเริ่มจากดอนผู้เป็นพ่อหมดศรัทธากับกฎหมายในประเทศซึ่งเขาไม่ได้ระบุว่ามันคือเรื่องอะไร แต่มันทำให้เขาหอบเอาแดนนี่ เข้ามาอยู่ในป่าและตัดขาดจากโลกภายนอกตั้งแต่ยังเล็ก
"ผมไม่เชื่อในโรงเรียน ผมสมเพชกฎหมาย พวกเขาก็ทำเป็นเหมือนคนมีอารยธรรม ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นๆ เหมือนกับคนป่านั่นแหละ ... อะไรที่ผมเสียใจน่ะเหรอ? สิ่งที่ผมร้องไห้มีอย่างเดียวคือวันที่หมาจิ้งจอกไคโยตี้ที่เป็นสัตว์เลี้ยงของแดนตายนั่นแหละ" เขาเล่าถึงสิ่งที่ตัวเองเป็นและยืนยันว่าจะไม่เสียใจและเสียน้ำตากับสิ่งที่เขาทำต่อ คารี่ และ โกลสตีน
Photo : www.seattletimes.com
ดอน รับสารภาพแต่เพียงผู้เดียวทั้งหมดและบอกว่าเขาเป็นคนลงมือทำทุกเรื่อง นั่นทำให้แดนที่เป็นลูกชายโดนแค่คดีอาชญากรรมลักพาตัวเท่านั้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาบอกหลังจากนั้นน่าตกใจยิ่งกว่า เพราะ คารี่ ไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่เขาลักพาตัวเข้ามาในป่า
ดอน เริ่มลักพาตัวผู้หญิงมาแล้วเป็นเวลาถึง 6 ปี แต่เขาบอกว่าถ้าผู้หญิงไม่ทำตัวมีปัญหาเขาจะไม่ข่มขืนหรือทำร้าย เขาแค่อยากหาเพื่อนคุยเท่านั้นจริงๆ
"ผมบอกกับเธอ (คารี่) แล้วว่า ผมจะไม่ข่มขืนหรือทำอะไรแบบนั้น จะเก็บเธอไว้เป็นเพื่อน เธอก็แค่ดูดีและควรจะเป็นของเราพ่อลูกแค่นั้นเอง ... มิสสเวนสันโชคดีมากที่มีคนมาช่วยก่อนที่เราพ่อลูกจะมีอารมณ์ทางเพศขึ้นมาจริงๆ" ดอน ยังกล่าวต่อไปแบบไม่สะทกสะท้าน
"ผมไม่ได้สนใจสักนิดเลยว่าคนอย่างพวกคุณจะคิดยังไง" เขากล่าวทิ้งท้ายกับ มาร์ค ราคิค็อต อัยการในคดีดังกล่าว
Photo : www.bozemandailychronicle.com
ดอน ถูกโทษจำคุก 85 ปี ขณะที่แดน ลูกชายนั้นถูกจำคุก 10 ปี แต่เพียง 6 ปี ก็ได้รับทัณฑ์บนปล่อยตัวออกมาในปี 1991 ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ก่อคดีอีกมากมาย เข้าๆ ออกๆ คุกเป็นระยะ ขณะที่ตัวการใหญ่อย่าง ดอน ผู้เป็นพ่อ ได้รับการลดหย่อนและเพิ่งพ้นโทษออกมาจากคุกในปี 2017 ที่ผ่านมา ตอนนี้เขาอายุ 82 ปีและยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ส่วนคนที่น่าเห็นใจที่สุดคือ คารี่ สเวนสัน ที่ต้องเจอกับจุดเปลี่ยนมากที่สุด เพราะหลังจากนั้นร่างกายของเธอก็ไม่สามารถเล่นกีฬาหนักๆ ได้อีกเลยจากปอดที่เสียหาย ปัจจุบันเธอทำงานเป็นสัตวแพทย์ในรัฐมอนตาน่า และใช้ชีวิตแบบสงบเงียบหลังจากผ่านนรก 17 ชั่วโมงที่เปลี่ยนชีวิตเธอในวันนั้น
สิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุดในเรื่องนี้สำหรับคารี่ คือ ปัจจุบัน 2 คนที่เปลี่ยนชีวิตเธอยังคงมีชีวิตอยู่และเป็นอิสระแล้ว ... ซึ่งจากการกระทำในประวัติอาชญากรรมที่ผ่านมามันบอกได้ว่าคนพวกนั้นไม่ได้สำนักผิดหรือเกรงกลัวต่อบาปมากขึ้นหรืออย่างไรเลย
แม้พ่อลูกทั้งสองจะชดใช้กรรมหลังลูกกรงมาแล้วก็ตาม
แหล่งอ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/Kari_Swenson
http://abackpackersjourney.ca/only-in-america/
https://the-line-up.com/kari-swenson-the-former-athlete-who-was-abducted-and-held-captive-in-the-woods
https://patch.com/montana/across-mt/kari-swenson-kidnapping-after-32-years-abductor-freed
https://www.theguardian.com/us-news/2017/aug/24/mountain-man-freed-32-years-after-kidnapping-athlete-to-be-sons-bride
https://www.latimes.com/archives/la-xpm-1989-07-10-vw-2601-story.html